บทที่ 193 เชือดเฉือนคารม

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 193

เชือดเฉือนคารม

น่าแปลกที่กวนโป๋ผู้เป็นนายของอู๋เซี่ยน ไม่ได้มีท่าทีวางก้าม เฉกเช่นลูกน้อง เขาถามเย่เย่ขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เจ้าคือประธานหอการค้าหยูเย่งั้นรึ เหตุใดข้าถึงได้ยินข่าวลือมาว่าประธานหอการค้าแดนประจิมตอนใต้เป็นหญิงกันล่ะ? ถ้าข้าจำไม่ผิดรู้สึกว่านางจะใช้แซ่เสวี่ย”

“เสวี่ยหยู นางเป็นผู้จัดการหอการค้า ส่วนข้าเป็นประธาน” เย่เย่รู้ได้ทันทีว่าคำถามนี่เป็นการลองเชิง เขาจึงไม่ลังเลที่จะให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง

กวนโป๋จ้องเย่เย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นาน ก่อนที่ในท้ายที่สุดเขาก็ปักใจเชื่อในสิ่งที่เย่เย่พูด

“ท่านผู้บัญชาการกวน เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันหรือขอรับ?” อู๋เซี่ยนเห็นท่าทีที่ระแวดระวังของกวนโป๋ หัวใจของเขาก็ตกไปถึงตาตุ่มราวกับพอจับสังเกตบางอย่างได้ ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ

หวางเสี่ยวตกตะลึงเล็กน้อย เขามองหน้าเย่เย่สลับกับผู้บัญชาการทหารเฝ้าประตูประมาณ 4 ครั้งเห็นจะได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังก่อสงครามประสาทกันอยู่

ผั๊วะ!

กวนโป๋หลังแหวนสั่งสอนอู๋เซี่ยนลูกน้องที่ไม่ได้ความของเขาอย่างรุนแรง

“เจ้าโง่ สั่งสอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ ทำงานมั่วซั่วแบบนี้ถึงไม่ได้เลื่อนยศสักทีไงล่ะ! เจ้าบังอาจรังแกท่านเย่เย่ แห่งหอการค้าหยูเย่ที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน! เขาเป็นถึงนายเหนือหัวแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นจอมยุทธ์ระดับจิตพิสุทธิ์! เจ้าไม่โดนเขาฆ่าก็บุญหัวแล้ว”

สิ้นเสียงของกวนโป่ ทั้งคุกใต้ดินก็เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงโอดโอยของอู๋เซี่ยนเท่านั้น

หวางเสี่ยวยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่เขากระทำกับเย่เย่นั้นยากเกินอภัย ทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้ม เหงื่อท่วมตัวด้วยความหวาดกลัวในฉับพลัน

“จอมยุทธ์จิตพิสุทธิ์งั้นรึ!” ลู่จุ้นที่อยู่ในกรงขังตรงกันข้าม ก็มองเย่เย่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แผนสุดบรรเจิดก็แล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง

“ท่านกวน ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถอะ!” อู๋เซี่ยนคลานมากอดขาผู้บังคับบัญชา ด้วยน้ำหูน้ำตาที่ไหลพรากด้วยความเจ็บปวด

“ไปให้พ้น! มีผู้ใต้บังคับบัญชาเยี่ยงเจ้า ข้าละอายแก่ใจนัก!” กวนโป๋ถีบหัวส่งอู๋เซี่ยน และอัดหวางเสี่ยวเข้าที่ท้องน้อย

“อย่ามาทำตัวสำออย ลุกขึ้น คุกเข่าขอขมาต่อท่านเย่เดี๋ยวนี้!” กวนโป๋ยื่นคำขาด ก่อนเดินไปคุกเข่าต่อหน้าเย่เย่

“ท่านเย่เย่ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า ให้อภัยพวกลูกน้องที่ไม่ได้ความของข้าสักครั้งเถอะ!” กวนโป๋ประสานมือ โน้มตัวลงขอขมาเย่เย่อย่างนอบน้อม

ในฐานะผู้บังคับบัญชาทหารเฝ้าประตู ทำให้เขาได้อ่านรายงานเกี่ยวกับประชากรที่เข้าออกเมืองอยู่เป็นประจำ ทำให้พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับภูมิภาคอื่นๆอยู่บ้าง

อู๋เซี่ยน หวางเสี่ยวต่างคุกเข่าลงต่อหน้าเย่เย่ตามคำสั่ง “ข้าน้อยมีแววตาหามีแววไม่ ได้โปรดให้อภัยด้วย!”

“ท่านกวน ท่านเห็นว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร? ท่านรู้หรือไม่ว่าสมุนของท่านย่ำยีข้าเยี่ยงไร ถ้าหากว่าท่านคิดว่าข้าจะให้อภัยเพียงเพราะคำขอโทษไม่กี่คำ ท่านคิดผิดแล้ว” เย่เย่ก็ยังคงเป็นเย่เย่ ดื้อดึง ไม่โอนอ่อนต่อความอยุติธรรม แม้กวนโป๋ผู้บัญชาการทหารยามเมืองหลวงจะคุกเข่าลงต่อหน้าเขาก็ตาม

แม้กวนโป๋จะเจ็บใจ แต่เขารู้ดีว่าตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ เย่เย่ “เช่นนั้น สองคนนั้นข้ามอบให้ท่านจัดการ”

“ทะ ท่านกวน! ให้อภัยข้าด้วยเถอะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านกวน!” ทั้งอู๋เซี่ยนและหวางเสี่ยวตะโกนเสียงหลงขอความเห็นใจต่อผู้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าขาวซีด เมื่อรู้ว่าไม่เป็นผล พวกเขาจะคลานเข่าขอความเมตตาจากเย่เย่อย่างน่าสมเพช ไม่ต่างอะไรกับการดิ้นรนของสัตว์

ไม่เพียงเย่เย่ ลู่จุ้นที่เป็นคู่หูประตูถัดไปของเขาก็โล่งใจ เมื่อเห็นบัญชีเก่าถูกสะสางไปได้ด้วยดี แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนลงมือเองก็ตาม แต่กระนั้นเย่เย่ก็ไม่ได้ลงมือฆ่าทั้งสอง สาเหตุที่เขาไม่หนีไปตั้งแต่แรกไม่ใช่เพียงเพราะต้องการชำระแค้น

“เอ้อ จริงสิ เรียนผู้บัญชาการตามตรง ข้ามาที่นี่เพื่อศึกษาหาทำเลขยายธุรกิจของข้า ฉะนั้นแล้วความผิดของพวกเขาข้ารับคำขอโทษเป็นตั๋วทองเท่านั้น” เย่เย่กล่าวขึ้นด้วยความเคารพ

ได้ฟังน้ำเสียงของเย่เย่ กวนโป๋ก็เข้าใจความคิดของเย่เย่ในทันที ถึงแม้จะลำบากใจ แต่โอกาสในการผูกมิตรกับจอมยุทธ์ระดับสูงนั้นหาได้ยากยิ่ง เมื่อเขาชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย และไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงยื่นข้อเสนอให้กับเย่เย่

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเข้าใจความหมายของท่านดี ที่จริงแล้วในหวางตู้นี้มีร้านค้าร้านหนึ่งตั้งอยู่ในจัตุรัสที่พลุกพล่าน แม้ขนาดร้านไม่ได้กว้างขวาง แต่การประดับประดานั้นประณีต และสง่างามเหมาะสมกับจอมยุทธ์ผู้สูงส่งเช่นท่าน ถ้าท่านไม่รังเกียจข้าขอมอบให้ท่านเป็นของขวัญในการมาเยือนหวางตู้”

ค่าที่ดินของหวางตู้ แม้จะเป็นทำเลที่ขายไม่ออก แต่ราคาก็สูงลิ่วกว่าหลิงเฉิงหลายเท่าตัว ไม่ต้องพูดถึงทำเลใจกลางเมืองในจัตุรัสที่เต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นเย่เย่จึงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย

“ข้าน้อยขอรับไว้ด้วยใจ ข้าหวังว่ามันจะเป็นดั่งท่านว่า”

“แน่นอน ข้า กวนโป๋มีรึจะโกหกท่านจอมยุทธ์ได้” หลังจากได้ยินคำตอบของเย่เย่ กวนโป๋ก็โล่งอก อย่างไรก็ตามสงครามจิตวิทยาครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำยังต้องวางเดิมพันสูงลิ่วเพื่อคอยเอาอกเอาใจเย่เย่อีกด้วย เป็นเหตุให้กวนโป๋เจ็บใจจนแทบกระอักเลือดออกมา

เมื่อประตูห้องขังถูกเปิดออก ในขณะที่เย่เย่ลุกขึ้นและกำลังเดินออกไปพร้อมกับกวนโป๋นั้นเอง เสียงของลู่จุ้นก็ดังขึ้น “ช้าก่อน! ไหนว่าเจ้าสัญญาว่าเจ้าจะพาข้าออกไปด้วยไง? ให้ตายสินี่เจ้าลืมมิตรภาพระหว่างเราแล้วหรือ?”

กวนโป๋ หวางเสี่ยว และอู๋เซี่ยนชำเลืองมองเย่เย่ และลู่จุ้นด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว

“หนึ่งล้านตั๋วทอง เก็บเงินต้นทาง ไม่มีปัญญาจ่ายก็ไม่ต้องออกมา” เย่เย่ยังไม่ลดละความพยายาม

สองทหารยาม หนึ่งราชทัณฑ์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา จากท่าทีและคำพูดที่เย่เย่ใช้กับลู่จุ้นทำให้ทั้งสามรู้ได้ทันทีว่า ลู่จุ้นยังไม่ได้เอ่ยปากเล่าอะไรให้เย่เย่ฟังเลยแม้แต่น้อย

“หนึ่งคำก็หนึ่งล้าน สองคำก็หนึ่งล้าน ใยเจ้าจึงหน้าเงินนักนะ!? ก็ได้ๆเซ้าซี้จัง เอาข้าออกไปที” ลู่จุ้นรับข้อเสนอแบบขอไปที

“ท่านเย่ ได้โปรดอย่าไปฟังคนเสียสติเลย ลู่จุ้นผู้นี้เป็นเด็กกำพร้าข้างถนน วันหนึ่งไปขโมยหัวมันจึงถูกจับมายังคุกใต้ดิน โจรขโมยหัวมันไม่มีทางมีเงินมากมายขนาดนั้นมาจ่ายท่านหรอก” กวนโป๋ที่รู้ชาติกำเนิดของเขาดี ใส่สีตีไข่กุเรื่องขึ้นอย่างหน้าด้านๆ

“ท่านกวนพูดได้ถูกต้อง ข้าเป็นคนจับเขามาเองกับมือ” อู๋เซี่ยนกล่าวสนับสนุนกวนโป๋ และได้แต่ภาวนาให้เย่เย่ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย

สีหน้าของลู่จุ้นฉุนเฉียว เมื่อถูกสองทหารยามเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของตน

“หึ ถ้าข้าเป็นโจรขโมยหัวมันอย่างเจ้าว่าจริง ป่านนี้ข้าไม่ถูกปล่อยตัวไปแล้วรึ!?”

“นี่ กายาเหล็ก! พาข้าออกไปที เจ้าร้อนเงินไม่ใช่รึไง โอกาสได้จับเงินล้านฟรีๆเช่นนี้ไม่มีอีกแล้วนะ!”

“เลิกเรียกข้าว่ากายาเหล็กสักที ข้ามีนามว่าเย่เย่ จำเอาไว้ซะ” จากความประทับใจแรกที่มีต่อชาวหวางตู้ ทำให้เย่เย่ไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับใครมั่วซั่วอีก เขาหันหลังให้ลู่จุ้นและเดินจากไป

“ขืนเจ้าพูดอีก ข้าจะตัดลิ้นเจ้า!” หวางเสี่ยวชี้นิ้วข่มขู่

เมื่อลู่จุ้นเห็นว่าโอกาสสุดท้ายในการหนีออกจากคุกใต้ดินกำลังจะหลุดลอยไป เขาก็งัดไม้เด็ดออกมาใช้ “รังแกองค์ชายแบบนี้ ไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งข้าเป็นใหญ่ขึ้นมา จะจับพวกเจ้าตัดหัวฆ่าล้างโคตรรึไง?”

“องค์ชาย? องค์ชายบ้าบออะไรกัน เพ้อเจ้อสิ้นดี! หวางเสี่ยวจะลงโทษนักโทษก็เบาๆมือหน่อย ข้าไม่อยากได้พวกเสียสติเพิ่ม มันรกหูรกตาข้า ไปกันได้แล้ว!” กวนโป๋พูดจาดูถูก ลู่จุ้นอย่างไม่ผิดสังเกต ก่อนจะรีบนำทางเย่เย่ออกไป

“ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่มีวันบอกที่อยู่ของรัชทายาทให้เจ้า! คอยดูเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะมาคิดบัญชีแค้นกับพวกเจ้า!” องค์ชายลู่พยายามอย่างสุดตัวเพื่อให้เย่เย่เอะใจ

ทันทีที่เย่เย่ก้าวขึ้นบันไดคุกใต้ดินขั้นแรก น้ำเสียงของ ลู่จุ้นก็ทำให้เขาชะงักเท้าลงและหันมาพูดกับกวนโป๋

“โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนว่าข้าจะลืมอะไรบางอย่างไป ท่านกวนหอการค้าสาขาใหญ่นี้ข้าคงดูแลคนเดียวไม่ไหว สหายข้าเจ้าชื่อ ลู่จุ้นใช่ไหม เอาอย่างนี้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าแรง 1 ปีของเจ้าก็แล้วกัน”

“ไม่ว่าให้ข้าทำสิ่งใด ข้าจะไม่ปริปากบ่น ได้โปรดพาข้าออกไปที” ลู่จุ้นตอบรับอย่างไม่ลังเล

“ท่านผู้เจริญ พาข้าไปด้วยคนสิ ข้าเคยเป็นช่างมาก่อน เรื่องงานจิปาถะวางใจข้าได้!”

“ข้าด้วยๆ”

เหตุการณ์นี้ทำให้กวนโป๋ อู๋เซี่ยน และหวางเสี่ยวแทบอยากจะชักกระบี่ออกมากระหน่ำแทงใส่เย่เย่ให้สาแก่ใจ หากไม่ใช่วรยุทธ์ที่ล้ำเลิศของเย่เย่แล้ว ทั้งสามคงเปลี่ยนคุกใต้ดินเป็นสมรภูมิเลือดไปแล้ว…