บทที่ 194 ทะเยอทะยาน

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 194

ทะเยอทะยาน

“ท่านเย่ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเกรงว่าท่านจะไม่มีอำนาจในส่วนนี้” กวนโป๋ลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวปฏิเสธกับเย่เย่อย่างตรงไปตรงมา

“ระหว่างที่พวกท่านกำลังกลับมายังคุกใต้ดิน ข้าได้คุยกับชายท่านนี้ และพบว่าสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งนัก หากเขาเป็นโจรขโมยหัวมันจริงอย่างท่านว่ามีรึเขาจะกล้าต่อปากต่อคำกับข้า ท่านต้องการค่าประกันตัวเท่าไหร่ก็ว่ามาเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม”

อู๋เซี่ยนและหวางเสี่ยวหน้าแดงก่ำด้วยความฉุนเฉียว มือกำฝักดาบไว้แน่นราวกับอยากจะชักออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แม้แต่กวนโป๋ที่เก็บซ่อนอารมณ์เก่ง ก็อดคิ้วกระตุกขึ้นมาไม่ได้

ครั้งนี้ถึงแม้เย่เย่จะไล่ต้อนเขาสักแค่ไหน ผู้บัญชาการกวนก็ไม่ยอมถอยให้ได้โดยง่าย

“เรียนท่านเย่ตามตรง หากท่านต้องการใช้ชีวิตในหวางตู้ด้วยความผาสุกล่ะก็ ได้โปรดอย่าข้องแวะกับกิจการภายในมากนัก ถึงแม้เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับจิตพิสุทธิ์แต่หากไปขวางหูขวางตาเบื้อง บนเข้า ข้าเองก็จนปัญญาช่วยท่านได้” กวนโป๋ตักเตือนเย่เย่ด้วยเหตุผล ถึงแม้การผูกมิตรกับเย่เย่จะล้มเหลว แต่ผู้บัญชาการทหารยามผู้นี้ก็คำนึงถึงชีวิตและหน้าที่การงานของตนเป็นสำคัญ

“ฮ่า ฮ่า เทพอสูรแห่งหวางตู้ช่างกล้าหาญหาผู้ใดเปรียบ แม้เจ้ารู้ระดับวรยุทธ์ของข้า แต่ยังกล้าต่อปากต่อคำกับผู้มีวรยุทธ์สูงกว่าเช่นนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก” แม้ท่าทีจะนอบน้อม แต่คำพูดและน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความประชดประชัน

“แต่! ข้า เย่เย่ผู้นี้นึกทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ จะไม่มานึกเสียใจภายหลังเด็ดขาด!”

ชั่วพริบตาที่สิ้นเสียง เย่เย่ก็ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงในระดับจิตพิสุทธิ์ออกมา คลื่นแรงกดดันแผ่ซ่านไปทั่วคุกใต้ดิน แม้แต่นักโทษที่แหกปากขอความช่วยเหลือ ก็ต้องสงบปากสงบคำลง

อู๋เซี่ยนและหวางเสี่ยว ถอยหลังออกไปหลายก้าว แม้แต่กวนโป๋ที่มีวรยุทธ์เทพอสูรก็หน้าถอดสีด้วยแรงกดดันที่แผ่ออกมารอบกายเย่เย่

‘วรยุทธ์จิตพิสุทธิ์ช่างร้ายกาจ’

กวนโป๋ตระหนักได้ทันทีว่าวรยุทธ์นั้นห่างชั้นกันเกินไป ถึงแม้ราชโองการจะเป็นประกาศิต แต่ตัวเขาที่อยู่หน้างานก็ไม่คิดเอาชีวิตอันมีค่าเข้าแลก

เมื่อเห็นคำตอบผ่านสีหน้าของกวนโป๋ เย่เย่ก็ยิ้มออกมาและกวักมือเรียกลู่จุ้นออกมาจากตาราง

“ไปกันได้แล้ว มีงานรอให้เจ้าสะสางอยู่เพียบ” เมื่อเย่เย่พูดจบ ประตูกรงขังของลู่จุ้นก็เปิดออก ด้วยพลังอำนาจของเย่เย่

ลู่จุ้นสุขสมอารมณ์หมาย กระโดดออกจากกรงมายืนข้างกายเย่เย่อย่างรู้งาน พลางชะม้อยชะม้าย ตามองหนึ่งราชทัณฑ์ สองทหารยามด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“ท่านกวน รบกวนท่านนำทางไปยังร้านค้าที่ว่าเถอะ” เย่เย่กล่าวอย่างสุภาพราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กวนโป๋สะบัดผ้าคลุมด้วยความหงุดหงิด และเดินนำทางทั้งสองไปอย่างเงียบๆ

จริงอย่างที่ผู้บัญชาการทหารเฝ้าประตูพูดทุกประการ แม้หอนี้จะไม่ได้กว้างขวาง แต่การประดับประดานั้นสมคำกล่าวขาน บรรยากาศในร้านประดับด้วยม่านลูกไม้บาง ดูลึกลับหน้าค้นหา เย่เย่รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ทั้งขนาดที่กะทัดรัดและทำเลใจกลางจัตุรัส ไม่มีที่ไหนเหมาะสมไปกว่าที่นี่อีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจลงหลักปักฐานหอการค้าหยูเย่สาขาเมืองหลวงขึ้นที่นี่

เมื่อกวนโป๋จำใจโอนอสังหาริมทรัพย์เรียบร้อยแล้ว เขาก็อำลาเย่เย่และสะบัดผ้าคลุมเดินจากไป

แม้ว่าเย่เย่จะละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไปบ้าง แต่คงไม่มีวิธีใดที่จะเอาคืนอย่างเหมาะสมไปกว่าวิธีนี้อีกแล้ว เมื่อกวนโป๋เดินไปจนลับสายตา เย่เย่ก็เริ่มสั่งให้ลู่จุ้นปัดกวาดเช็ดถูห้องต่างๆ รวมไปถึงชั้นวางสินค้า

ทางฝั่งกวนโป๋เองก็ได้รับถ่ายทอดคำสั่งใหม่เข้ามา ดูเหมือนว่าเหล่าองครักษ์ข้างกายของจักรพรรดิเหิงจะลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่ากวนโป๋จะทำงานผิดพลาด แต่อดีตจักรพรรดิ

เหวินและรัชทายาทลำดับที่สองหวงจิ้งเฟิงก็คงไม่พ้นเงื้อมมือของราชองครักษ์อยู่ดี และถึงแม้เย่เย่จะเข้าแทรกแซง แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหลี่เฉิง คงไม่ปล่อยหนูสกปรกอย่างเขาหลุดรอดไปแน่

ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันของทั้งสอง ทำให้ลู่จุ้นเริ่มปรับตัวเข้าหาเย่เย่ได้อย่างไม่ยากเย็น

“ขอบคุณเจ้ามาเลยนะ กายาเหล็ก! ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว! แต่ข้าคงชดใช้ให้เจ้าได้แค่นี้ ขืนข้าอยู่ต่อไปหอการค้าของเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย ฉะนั้นข้าขอลา!” แม้ว่าเย่เย่จะพูดว่าต้องการคนช่วยดูแลหอการค้าเพิ่ม แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพียงอุบายของเย่เย่เพื่อพาเขาออกมา ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนไปมากกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจบอกลาเย่เย่

เพี๊ยะ!

“โอ๊ย! ท่านทำอะไรของท่านน่ะ มันเจ็บนะรู้ไหม” ลู่จุ้นใช้สองมือกุมหน้าผากที่แดงก่ำเอาไว้ และต่อปากต่อคำกับเย่เย่

“เจ้าโง่! เจ้าไม่คิดบ้างรึว่ากวนโป๋จะวางกำลังเอาไว้ ขืนเจ้าออกไปถูกจับอีก ข้าไม่ให้อภัยเจ้าแน่!” เย่เย่รวมปราณอ่อนๆไปที่ปลายนิ้ว ดีดหน้าผากลู่จุ้นจนแดงก่ำ และต่อว่าเขาด้วยความหวังดี

เมื่อความเจ็บปวดหายไป สีหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและลำบากใจ

“ถ้าเจ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ชดใช้บุญคุณข้าที่นี่ซะ ข้าจะใช้งานเจ้าให้หนักเลย” เย่เย่กล่าว

“เฮ้อ ท่านนี่เอาแต่ได้ชะมัด” ลู่จุ้นถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับไปหาหวงจิ้งเฟิงสักพัก

เมื่อเจรจาเสร็จสิ้น เย่เย่ก็ออกตระเวนหาช่างฝีมือมาต่อเติม ชั้นวางของ และเนรมิตชั้นแรกของหอการค้าที่หวางตู้ให้เหมือนกับที่หลิงเฉิง เพื่อให้ได้ความรู้สึกเก่าๆที่คุ้นเคยกลับมา

ในส่วนของสินค้าที่จะวางขายนั้น เย่เย่ไม่เคยคิดถึงแหล่งอื่นนอกจากระบบแลกเปลี่ยน แม้ว่าฉายาในระบบของเขาจะถูกลดเหลือเพียง ‘พอมีค่าให้ชายตามอง’ แต่เงินในระบบก็เพียงพอที่จะแลกสินค้าที่เหมาะสมกับเมืองหลวงออกมาต่อยอดได้บ้าง

เมื่อทั้งสองเตรียมการสำหรับเปิดร้านเสร็จสิ้น เย่เย่ก็ได้สั่งให้ลู่จุ้นเขียนป้ายประกาศขนาดใหญ่ติดที่หน้าร้านโดยมีข้อความสุดกระตุกจิตกระชากใจเหล่าจอมยุทธ์ความว่า

‘หากจอมยุทธ์ผู้ใดสามารถฝากริ้วรอยไว้บน เกราะแสงอาทิตย์ ของร้านเราได้ รับไปเลย 1 แสนตั๋วทอง!’

ทันทีที่ป้ายประกาศนี้ออกไปสู่สายตาสาธารณชน ชื่อของหอการค้าหยูเย่ก็แพร่สะพัดไปทั่วหวางตู้ภายในชั่วข้ามคืน จอมยุทธ์มากหน้าหลายตาต่างต้องการทดสอบพลังของมันจึงหลั่งไหล่เข้ามาหน้าหอการค้าตั้งแต่หัววัน

“เปิดประตูเซ่ อย่าคิดจะหลอกพวกข้าเชียวนะเฟ้ย”

เมื่อลู่จุ้นได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย เขาก็ตื่นขึ้นและเดินมาเปิดหน้าร้านด้วยสีหน้างัวเงีย ทันทีที่เปิดหน้าร้านเขาก็พบฝูงชนจำนวนมากต่อคิวอยู่เบื้องหน้า

“เย่เย่ แบบนี้มันจะได้ผลจริงๆหรอ?” ลู่จุ้นเริ่มสงสัยในวิธีการของเย่เย่ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นวิธีการโฆษณาร้านค้าที่ทะเยอทะยานเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเกราะแสงอาทิตย์นี่เป็นเพียงหนึ่งในของจำนวนมากที่เย่เย่นำเข้าร้านมา คงไม่ต่างอะไรกับเกราะทั่วไปตามท้องตลาดเพียงแต่ตั้งชื่อให้มันเท่ๆไปอย่างนั้น

“ข้าเป็นประธานหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนประจิมเชียวนะ เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นรึ?” เย่เย่ไม่พอใจกับท่าทีกระวนกระวายของลู่จุ้น แต่เมื่อมองออกไปเห็นจำนวนคนมหาศาลที่เรียงรายอยู่หน้าร้านเขาก็ยิ้มระรื่นออกมา

แม้ว่าเกราะแสงอาทิตย์เป็นเพียงเกราะในระดับชั้นเทพอสูรขั้นสูง แต่ในบรรดาผู้ท้าชิงเมื่อประเมินจากสายตาคร่าวๆดูแล้วไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอที่จะสร้างรอยขีดข่วนให้กับเกราะของเขาได้เลย

ระหว่างที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่งข่าวคราวของหอการค้าหยูเย่ก็ไปถึงหูของบุตรชายตระกูลกงซุน

“ท่านกงซุนชิ่ง ข้าน้อยได้ยินมาว่าหอการค้าเปิดใหม่มีเกราะวิเศษอยู่ชิ้นนึงที่เถ้าแก่อวดอ้างว่าตีรันฟันแทงไม่เข้า ไม่ทราบว่าท่าน-”

“เหอะ! เหลวไหลสิ้นดี เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบดาวฤกษ์ของข้า มันก็ไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็ก ถ้าเจ้าสนใจนักก็ไปเองเถอะ!” กงซุนชิ่ง แห่งคุณชายแห่งตระกูลกงซุนกล่าวขึ้นด้วยวาจาโอ้อวด

“แต่ข้าน้อยยังได้ยินมาอีกว่าเทพกระบี่สยบมารจะร่วมในการทดสอบครั้งนี้ด้วยนะขอรับ!”

“เจ้าว่าไงนะ! ได้ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” กงซุนชิ่งคว้าดาบประจำกาย และรีบบึ่งไปยังหอการค้าหยูเย่ในทันที…