ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 51 เงาร่างสัตว์อสูรที่ใหญ่โตดุจขุนเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อน ไปจนถึงเมื่อร้อยปีกว่าก่อน ตอนที่โจวตู๋ฟูหายสาบสูญไปในดินแดนต้าลู่นั้น เป็นเวลานับร้อยปีทีเดียวที่ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนได้พ่ายแพ้ให้กับเขา กระบี่เลื่องชื่อนับไม่ถ้วนหักลงภายใต้คมดาบ เซ่นสังเวยอยู่ในทุ่งหญ้าของสวนโจวแห่งนี้ พูดได้ว่า ทุ่งหญ้าก็คือสระกระบี่ หรือทะเลกระบี่ก็ว่าได้ และหลังจากเตรียมตัวมานาน หนึ่งในกระบี่ที่แข็งแกร่งสุดและเย่อหยิ่งสุด ก็เริ่มที่จะทดลองออกไปแสวงหาแสงสว่างอีกครั้งโดยการทลายเขตหวงห้ามที่อยู่สุดเขตของที่ราบทุ่งหญ้า มันรีบดำดิ่งลงลำธารข้างทุ่งหญ้า พอเข้าสู่หน้าผาภูเขา ก็เหมือนมัจฉาว่ายอยู่ในแม่น้ำใหญ่ ว่ายลงไปในท้องน้ำ กลับไปยังแม่น้ำซีเหอที่มีต้นกำเนิดมาจากสระเยือกเย็น อาศัยความซับซ้อนของผังบริเวณสวนโจว หลบเลี่ยงข้อจำกัดต่างๆ จนประสบความสำเร็จในที่สุด

แต่น่าเสียดาย ที่กระบี่เล่มนี้ไม่มีโอกาสได้สำแดงพลังทั้งหมดออกมา เนื่องด้วยขณะพุ่งออกจากทุ่งหญ้า ต้องใช้พลังต้านมนตร์สะกดที่เปล่งออกจากเสาหินหลายต้นในเขตหวงห้ามซึ่งโจวตู๋ฟูได้ร่ายเอาไว้ พอกระบี่พาตัวเองมาถึงป่าลึกข้างแม่น้ำซีเหออย่างอ่อนแรง ก็ค่อยๆ ถูกใบไม้ร่วงปกคลุม

ตัวกระบี่และเจตจำนงถูกบังคับแยกออกจากกัน

วันหนึ่ง ลูกศิษย์เขาหลีซานผู้มีนามว่า ซูหลี เดินทางมายังสวนโจว และเดินเข้ามาในป่าลึกที่เงียบสงัดแห่งนั้น เมื่อเท้าเหยียบลงบนใบไม้ร่วงที่เน่าเปื่อย ก็ได้หยิบกระบี่ที่เต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรัง ไม่มีสง่าราศีเหมือนก่อนขึ้นมา จากนั้นก็นำมันออกจากสวนโจวไป แต่เจตจำนงของมันยังคงถูกตรึงไว้ในทุ่งหญ้า รอคอยอย่างเดียวดายอยู่เงียบๆ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนับร้อยปี ลูกศิษย์สำนักฝึกหลวงผู้หนึ่งนาม เฉินฉางเซิงได้มาถึงสวนโจว โดยถือร่มกระดาษทองคันหนึ่งไว้ในมือ ตัวกระบี่จึงได้พบกับเจตจำนง และมีโอกาสได้สำแดงเดชในที่สุด

เรื่องราวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการไม่ยอมแพ้และการต่อสู้ คือเส้นทางของกระบี่เล่มนั้น รวมทั้งกระบี่หมื่นเล่มเหล่านี้ด้วย เฉินฉางเซิงไม่สามารถเข้าใจอดีตของพวกมัน จึงไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดเหล่านี้ แต่ขณะเขาถือร่มกระดาษทอง ยืนอยู่ในรัศมีของพวกมัน ค่อยเกิดความเข้าใจในอารมณ์ที่ส่งออกมาจากเจตจำนงของกระบี่เล่มนั้นได้ลึกซึ้งขึ้น กระบี่เหล่านี้อยากออกไปจากสวนโจว นอกเหนือจากนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดคิดร้องขออีก

เช่นนั้น ก็มีหนทางเดียว ออกไปกันเถิด

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาพูดกับเจตจำนงกระบี่ พูดกับสวีโหย่วหรงอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็ให้คำสัญญากับกระบี่นับไม่ถ้วนรอบสุสานอันขมุกขมัวเช่นกัน แสงสีแดงอันอบอุ่นเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นลง โดยรอบมีแต่กลิ่นดินและกลิ่นสนิม ทันทีที่กระบี่พิการกว่าหมื่นเล่มปรากฏกาย ความแค้นและพลังที่สั่งสมมานานนับร้อยปีก็ระเบิดออก ทำให้สัตว์อสูรอย่างน้อยหนึ่งในสามถูกฆ่าตาย คลื่นอสูรสีดำก็ถูกตรึงไว้ชั่วคราว

แต่คลื่นอสูรก็เงียบได้เพียงชั่วขณะ เพราะกระบี่พิการหมื่นเล่มเหล่านี้ไม่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้อย่างต่อเนื่อง พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ คลื่นอสูรก็กระเพื่อมขึ้นมาใหม่และแผดเสียงขู่คำรามเหล่ากระบี่พิการที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอบๆ ทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยโลหิตหรือไม่ เสียงขู่คำรามจึงเจือไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตอันน่าสะพรึงกลัว

ในที่สุด สระกระบี่ก็ปรากฏขึ้นบนโลก กระบี่หมื่นเล่มลอยอยู่กลางอากาศ

ขณะมองภาพที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าผู้เฒ่าดีดพิณหรือหญิงรับใช้ ต่างก็มีสีหน้าซีดขาว ชนิดใกล้สิ้นหวังเต็มที โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางของสามีภรรยาขุนพลมารก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ กระทั่งมองเห็นลางร้ายบางอย่างในแววตา แต่ใบหน้าน้อยๆ ของหนานเค่อกลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เพียงเงียบไปชั่วขณะ

ขณะนางมองลอดช่องว่างระหว่างกระบี่นับไม่ถ้วน ก็เห็นเฉินฉางเซิงยืนอยู่หน้าประตูสุสาน จึงเปล่งเสียงแข็งกร้าวเย็นชาคล้ายน้ำแข็งพันปีออกมา

“เจ้าคิดว่า เจ้าทำเช่นนี้แล้ว จะสามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบของเรื่องนี้ได้หรือ?”

หลังจากกระบี่มหาสมุทรขุนเขาทะลวงอากาศมาปรากฏตัวก่อนหน้านี้ นางก็เคยใช้คำพูดทำนองนี้พูดกับเฉินฉางเซิงมาแล้ว ตอนนั้นเฉินฉางเซิงไม่ตอบ เพียงจับกระบี่โลหะที่หนักอึ้งเล่มนั้นขึ้น กระบี่ส่ายเล็กน้อยพลางชี้หน้านาง ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่ตอบเหมือนเดิม แต่ถ้ามองตามสายตาของเขาไป จะเห็นว่ากระบี่นับร้อยเล่มหน้าสุสานค่อยๆ เคลื่อนไหวไปในทางพุ่งเข้าหานาง และการกระทำย่อมมีน้ำหนักกว่าคำพูดเป็นไหนๆ สามารถใช้เกลี้ยกล่อมคนได้ และก็สามารถใช้ฆ่าคนได้เช่นกัน

หนานเค่อค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นขณะมองดูเหตุการณ์ พลางพูดสบประมาทกระบี่เหล่านี้ “กลุ่มกระบี่ขี้แพ้ พูดเรื่องความกล้าหาญเป็นด้วยหรือ?”

กระบี่เหล่านี้ในอดีตเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนต้าลู่ เจ้าของพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับดาบสองท่อนนั่น แล้วถูกโจวตู๋ฟูฝังไว้ใต้ทุ่งหญ้าแห่งนี้ ให้เผชิญทั้งลม พายุ ฝน อีกทั้งแสงแดดแผดเผาไม่หยุดหย่อน ทนทุกข์ทรมานนานนับร้อยปี บ้างหักบ้างพิการ สนิมเกรอะกรังไปหมด

หนานเค่อคิดว่าตนในฐานะทายาทผู้สืบทอดสวนโจว จะปล่อยให้กระบี่เหล่านี้จากไปได้อย่างไร?

จึงชูไม้จิตวิญญาณสีดำในมือขึ้น พลางมองดูกระบี่พิการที่ลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ สุสานด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทันใดนั้น ไม้จิตวิญญาณสีดำพลันเปล่งแสงสว่างตามท่วงท่าของนาง แน่วนิ่งและสว่างไสวกว่าก่อนหน้านี้นับร้อยเท่า สว่างพิสุทธิ์ราวไข่มุกราตรีก็มิปาน ในเวลาเดียวกันเสียงไม่ยี่หระของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แพ้ก็คือแพ้ ร้อยกว่าปีก่อนพวกเจ้าแพ้ ร้อยกว่าปีให้หลังพวกเจ้าก็ต้องแพ้เช่นเดิม”

สิ้นเสียง สองเท้าของนางก็ก้าวออกจากถนนเสิน ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

ฝนตกปรอยๆ ชุดกระโปรงของนางพลิ้วตามแรงลม เรือนผมสีดำปลิวไสว คิ้วและดวงตาที่ดูไร้เดียงสาค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงความเย็นชาเต็มพิกัดแบบเผ่ามาร พลังปราณสีดำอันแข็งแกร่งเปล่งออกจากร่างเล็กๆ ของนางนับสิบสาย คล้ายผ้าไหมเคลื่อนไหวไม่หยุดรอบๆ ร่างนางอย่างไรอย่างนั้น

เฉินฉางเซิงไม่เคยดูแคลนองค์หญิงเผ่ามารผู้แข็งแกร่งจนกระทั่งน่ากลัวคนนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของคนชุดดำ และเห็นชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างกับสวนโจว จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่านางยังปิดบังฝีไม้ลายมืออะไรไว้อีก? ฟังจากคำพูดหยิ่งยโสและมั่นใจอย่างมากของนาง เขาก็รู้แล้วว่าไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปได้ จิตสัมผัสของเขาจึงเคลื่อนไหวเล็กน้อย กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกมา

กระบี่มหาสมุทรขุนเขาที่หนักอึ้งพร้อมพายุหมุนพุ่งเข้าหาหนานเค่อที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศบนถนนเสิน

สองสามีภรรยาเถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวหวั่นเอ๋อร์ที่เตรียมพร้อมอยู่แต่แรกก็พุ่งตัวขึ้นทันที อาศัยพลังอันแข็งแกร่งจากการบำเพ็ญเพียร สกัดกั้นกระบี่เล่มนี้ไว้

กระบี่มหาสมุทรขุนเขาทั้งกว้างทั้งใหญ่ เป็นกระบี่ที่แฝงความสง่างาม

ยามต้องชี้วัดความเป็นความตาย เฉินฉางเซิงก็รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นกัน โดยอาศัยพายุหมุนที่กระบี่มหาสมุทรขุนเขาสร้างขึ้น บดบังกระบี่สตรีแดนเย่ว์ที่สง่างามไว้ ทำให้กระบี่สตรีแดนเย่ว์สามารถพุ่งออกจากการสกัดกั้นของสามีภรรยาขุนพลมารไปอย่างเงียบๆ มาอยู่ตรงหน้าหนานเค่อ พร้อมเสียงปริแตก ขณะแทงไปที่หว่างคิ้วของนาง

หนานเค่อหลับตาลง หว่างคิ้วที่คลายออกเล็กน้อยขาวโพลน ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ และไม่เห็นการมาถึงของกระบี่ที่งามสง่าเล่มนี้

สายพิณขาดลอย สิ้นเสียงพิณ ผู้ที่ดูเหมือนเจ็บปวดเจียนตายเช่นผู้เฒ่าดีดพิณส่งเสียงร้องดัง ก่อนโยนพิณออก เหยียบลงบนพิณ แล้วก้าวเท้ากลางอากาศ เอาตัวเข้าขวางตรงหน้าหนานเค่อ ใช้ร่างตนรับกระบี่สง่างามเล่มนั้นแทน เสียงดังสวบ กระบี่สง่างามแทงเข้าที่คอหอยผู้เฒ่าดีดพิณ โลหิตสดๆ ฉีดพุ่ง!

ในพายุหมุน กระบี่โลหะที่หนักดั่งขุนเขาควบคุมสามีภรรยาขุนพลมารเอาไว้จนอยู่หมัด ศพของผู้เฒ่าดีดพิณกำลังร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน นาทีที่เขารับกระบี่สตรีแดนเย่ว์แทนหนานเค่อๆ ก็ยังไม่ฟื้น และเฉินฉางเซิงไหนเลยจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป รีบยื่นมือออกกลางอากาศ หยิบกระบี่ธงชัยของอาจารย์มารที่หักไปหันหาหนานเค่อ ขณะอยู่ห่างหลายร้อยจั้ง!

สายฝนจากฟากฟ้าเหนือถนนเสินซาลง แต่จู่ๆ ก็เกิดเสียงลมปั่นป่วน คล้ายธงไร้รูปกำลังโบกสะบัด

ธงรบโบกสะบัด กระบี่พุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ กระบี่ธงชัยของอาจารย์มารที่หักครึ่งเปล่งแสงสว่างเย็นวาบ

เฉินฉางเซิงใช้กระบี่ธงชัยไม่เป็น แต่เขาอยากลองดูสักตั้ง ว่าจะสามารถใช้วิชากระบี่ของเผ่ามาร ทลายแนวป้องกันขององค์หญิงเผ่ามารได้หรือไม่ เสียดาย ที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นผลลัพธ์ของกระบี่นี้ เพราะในหัวพลันเกิดลางสังหรณ์ขึ้นอย่างหนึ่ง บอกให้เขารีบเก็บกระบี่ธงชัยที่กำลังเงื้อขึ้นกลับคืนมา แล้วยกขึ้นขวางตรงหน้าหว่างคิ้ว

เสียงตึงดังขึ้นคราหนึ่ง!

กระบี่ธงชัยครึ่งท่อนสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างแรงข้างแท่นหิน ก่อนส่งเสียงไม่พอใจดังลั่น

เฉินฉางเซิงรู้สึกปวดที่ข้อมือ เขาไม่มีเจตนาทำให้ใครตกใจ เพียงกลัวว่ากระบี่ธงชัยเล่มนี้จะหลุดจากมือไปเท่านั้น

ลูกธนูถูกยิงมาจากไหน?

เขามองไปรอบๆ สุสาน ก็ไม่เห็นมีคันธนูใดๆ เห็นเพียงขนใหญ่ยาวเส้นหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงบนถนนเสิน

หรือสิ่งที่กระทบถูกกระบี่ธงชัยเมื่อครู่มิใช่ลูกธนู แต่เป็นเพียงขนเส้นหนึ่ง?

เขามองดูทุ่งหญ้าในสุสานที่อยู่ด้านล่าง

เห็นคลื่นอสูรกลายเป็นทะเลดำอยู่ตรงกลาง โดยมีร่างอันใหญ่โตมโหฬารของสัตว์อสูรตัวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น