ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 52 กระบี่หมื่นเล่มกลายเป็นกองทัพ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พอไม้จิตวิญญาณในมือหนานเค่อเปล่งแสงอีกครา คลื่นอสูรที่ก่อนหน้านี้ถูกการปรากฏตัวของกระบี่หมื่นเล่มทำให้ตกใจจนเงียบไปชั่วครู่พลันมีอารมณ์รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

 

ส่วนร่างอันใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ในส่วนลึกของคลื่นอสูรกลับยังคงสงบนิ่งดุจขุนเขา

 

มันคืออสูรกระทิงตัวหนึ่ง อสูรกระทิงในตำนาน

 

ที่ใช้คำว่าตำนาน เพราะในคัมภีร์ลัทธิเต๋าบันทึกไว้ว่า สัตว์อสูรชนิดนี้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายล้านปีก่อน แต่ถูกมนุษย์และเผ่ามารทุ่มเทสรรพกำลังเข่นฆ่าจนหมดสิ้น และเพราะมันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กลายเป็นตำนานในที่สุด

 

อสูรกระทิงมีทักษะการต่อสู้ระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงที่แข็งแกร่งมาก แม้จิตวิญญาณยังไม่เปิด ยังไม่มีภูมิปัญญาที่แท้จริง ความสามารถเทียบไม่ได้กับมนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว แต่การที่พวกมันอาศัยอยู่ในขุนเขาและป่าลึก ย่อมทำให้มีทักษะเฉกเช่นมนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นเดียวกัน กระทั่งมีความสามารถในการฆ่าที่เหนือชั้นกว่า เพราะมันคือสัตว์อสูรหายากชนิดหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญการจู่โจมจากระยะไกล

 

อสูรกระทิงรูปร่างใหญ่โตดุจขุนเขา ร่างกายมีผิวหนังแข็งกระด้างปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง จึงเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติ และสามารถใช้ปลายแหลมของเขาหน้าเพียงเขาเดียวทลายก้อนหินให้แหลกลาญ

 

ลักษณะพิเศษที่เห็นอย่างเด่นชัดและทำให้ศัตรูหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งก็คือ หางยาวของมัน ที่เต็มไปด้วยขนสีดำขนาดใหญ่ เวลานั่ง มันจะม้วนหางเก็บเป็นขด แต่เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูหรือผู้ล่า ขนหางที่ทั้งยาวและละเอียดจะตั้งขึ้น แล้วจึงพันรอบเขาหน้า กลายเป็นสายธนู ส่วนร่างของมันก็จะกลายเป็นคันธนูหนึ่งคัน

 

นี่เป็นเรื่องประหลาดมาก แต่ที่เข้าใจยากยิ่งกว่าก็คือ คันธนูที่ใหญ่ดุจขุนเขาคันนี้ กลับใช้เส้นขนในส่วนหางที่ใหญ่ยาวและละเอียดเป็นลูกธนู และไม่รู้ว่าขนสีดำใหญ่ยาวนั่นมีคุณสมบัติอะไร ถึงได้ดูอ่อนนุ่มดุจสำลีขณะอยู่บนร่างอสูรกระทิง แต่พอถูกยิงออก กลับแข็งดุจเหล็กกล้า เร็วดุจสายฟ้า จนไม่อาจหลบพ้น!

 

ทักษะการต่อสู้ระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง บวกกับวิธีการจู่โจมที่แปลกพิสดารจนยากป้องกัน ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรต้องถูกสัตว์อสูรที่น่ากลัวชนิดนี้ฆ่าตาย ก่อนที่เผ่ามนุษย์และเผ่ามารจะพิชิตพวกมันได้ในดินแดนต้าลู่ พอชื่อเสียงของอสูรกระทิงเลื่องชื่อไปไกลนานวันเข้าก็เริ่มมีคนสงสัยว่า หรือพวกมันจะมีเชื้อสายของอาชาเขาเดี่ยว ซึ่งแน่นอนว่า การเดาเช่นนี้ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ด้วยไม่รู้ว่าขุนเขาและหุบเหวที่มีเมฆหมอกปกคลุมในดินแดนต้าลู่นั้น มีสัตว์เขาเดียวอาศัยอยู่มากน้อยเพียงใด และสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์อย่างอาชาเขาเดี่ยว เหตุใดจึงหลงเหลือลูกหลานที่มีสัญชาตญาณในการฆ่าเช่นนี้ไว้?

 

ขณะมองดูร่างที่ใหญ่โตมโหฬารค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากคลื่นอสูร ราวภูเขางอกขึ้นจากผืนดิน มือที่จับกระบี่ธงชัยของเฉินฉางเซิงก็เย็นยะเยียบ ขนาดอยู่ห่างราวสิบลี้ เขาก็เหมือนมองเห็นดวงตาทั้งสองข้างของมัน ที่เล็กราวเม็ดข้าวและเรืองแสงเล็กน้อย ดูสยองขวัญมาก

 

แม้เป็นเพียงความรู้สึก แต่เฉินฉางเซิงก็มั่นใจว่าสัตว์อสูรตัวนี้มองเห็นดวงตาของตน มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดมันจึงข่มขู่ตนได้ทั้งๆ ที่อยู่ห่างไกลถึงเพียงนี้? และรู้ว่าขั้นต่อไปสัตว์อสูรที่น่ากลัวตัวนี้ต้องทำการจู่โจมตนจากระยะไกลอย่างต่อเนื่องไม่หยุดแน่ แต่ก่อนที่จะต่อกรกับพลังซ่อนเร้นที่ไร้ขีดจำกัดของธนูเส้นขนนั้น เขายังมีปัญหาต่างๆ ที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย เช่นเสียงเจี๊ยกๆ ที่แว่วมาจากด้านหน้าถนนเสิน แล้วยังมีเสียงดังกัมปนาทของธรณีแยกในคลื่นอสูรอีก

 

เสียงเจี๊ยกๆ เบามาก ถ้าไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงน่ากลัวขนาดไหน อาจรู้สึกว่ามันน่ารักอยู่บ้าง

 

เฉินฉางเซิงจำได้แม่นว่า ในบทหนึ่งของคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้บันทึกเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง ชื่อว่า วานรดิน ตัวของมันทั้งเล็กทั้งผอม ผิวสีเหลืองดิน คอและเขี้ยวยาวมาก สามารถยืนสองเท้าได้เหมือนมนุษย์ แต่วิ่งสี่เท้าอย่างเร็วสุดจะเปรียบ มีกรงเล็บที่คมกริบ พูดได้ว่าทรงพลังมาก ส่วนนิสัยก็โหดร้ายกระหายโลหิต ชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ที่น่ากลัวสุดก็คือ สัตว์อสูรชนิดนี้เชี่ยวชาญการดำดิน แปลกพอๆ กับการมุดดินหนีอย่างไรอย่างนั้น จึงหาตัวจับยาก เกรงว่าคู่ปรับมากมายที่แข็งแกร่งกว่ามัน จะถูกมันลอบจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่จะถูกกัดกินทั้งเป็นจนตาย เป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่ง

 

และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ ยังคงเป็นเสียงดังกัมปนาทในทะเลคลื่นอสูรนั่น

 

เสียงนี้เป็นเสียงปริแตกของแผ่นดินตรงทุ่งหญ้าไกลออกไป มิใช่ถูกกระบี่ฟันให้แยกออกจากกัน แต่เป็นสัตว์อสูรที่กำลังใช้พลังอันไร้ขีดจำกัดพลิกธรณี พลางคำรามอย่างโกรธแค้น

 

ขณะมองดูร่างอันใหญ่มหึมาดุจขุนเขาในคลื่นอสูรอีกร่าง เขาก็รู้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้ยังมิได้ยืดตัวตรงเสียทีเดียว แต่กำลังก้มหน้าหาอาวุธ ซึ่งอาจเป็นภูเขา หรืออาจเป็นก้อนหินที่อยู่ใต้ผืนดินอันอ่อนนุ่ม ยิ่งเป็นก้อนหินที่ใหญ่และหนักมันก็ยิ่งถือได้ถนัดมือ สัตว์อสูรตัวนี้มีชื่อว่า ยักษ์ล้มภูเขา มันสูงราวยี่สิบแปดจั้ง ตัวป้อมๆ มีความดุร้ายที่ยากจินตนาการ ยามโกรธ สามารถล้มภูเขาทั้งลูกได้ จากนั้นก็ใช้เนินเขาดั่งอาวุธ สะบัดก้อนหินออกสูงดั่งดวงดาว พร้อมลมที่พัดมาดั่งมีดกรีด โหดร้ายสุดๆ จึงถูกหอความลับสวรรค์จัดให้เป็นสัตว์ร้ายอันดับสาม!

 

……

 

……

 

อสูรกระทิง วานรดิน ยักษ์ล้มภูเขา สมควรถูกบันทึกลงในคัมภีร์ลัทธิเต๋า ด้วยเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม จนกลายเป็นตำนาน หรือถูกมนุษย์ลืมไปแล้ว แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อดินแดนต้าลู่ถูกมนุษย์และเผ่ามารปกครองมาแต่ช้านานจวบจนวันนี้ พวกมันยังปรากฏกายขึ้นได้บนที่ราบทุ่งหญ้าของสวนโจว กฎในโลกของสวนโจวมีข้อกำหนดต่อลำดับขั้นในการบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ ดูไปแล้วกลับไม่มีผลต่อสัตว์อสูรเหล่านี้ มิน่าเล่านับร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรหรือเผ่ามารที่เข้ามาในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลนี้ ล้วนไม่สามารถออกไปได้ เพราะได้กลายเป็นอาหารของสัตว์อสูรที่น่ากลัวเหล่านี้ไปทั้งหมด

 

เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้า ทำให้กระบี่ธงชัยในมือของเฉินฉางเซิงเกือบหลุดออกจากมือ เสียงเจี๊ยกๆ ที่ใกล้สุสานเข้ามาทุกขณะ รวมทั้งเสียงดังกัมปนาทจากทุ่งหญ้าในระยะไกลดังก้องอยู่ในหู ทำให้สีหน้าของเขาซีดขาวผิดปกติ พริบตาเดียว เขาก็รู้สึกถึงความตายที่กำลังจะมาเยือน

 

ก่อนหน้านี้ สัตว์อสูรระดับสูงเหล่านี้พากันเงียบเสียงเพราะเงาสีดำสายนี้ ตอนนี้พอเห็นกระบี่หมื่นเล่มลอยอยู่กลางอากาศ และหนานเค่อลอยละล่องอยู่ในสายฝน พวกมันจึงไม่เงียบอีกต่อไป อีกทั้งยังมีพลังปราณแข็งแกร่งสามสายที่ยากคาดเดา เกร็งพลังอยู่หน้าสุสาน ทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

 

เฉินฉางเซิงฝึกวิชาถึงขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้น แม้มีกระบี่หมื่นเล่มเคียงข้าง ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้ ซึ่งสัตว์อสูรสามตัวอยู่ในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง แม้จะใช้เพียงพละกำลังของระดับขั้นอย่างเดียว ก็ล้วนมีกำลังต้านที่น่ากังวลอยู่ กระทั่งเขายังรู้สึกว่าค่อนข้างยากที่จะต้านทานแรงกดดันจากพวกมัน เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?

 

ตอนนี้มานึกๆ ดู พวกเขาเดินทางจากเขตทุ่งหญ้ามาถึงสุสานโจว หากไม่ใช่เพราะหนานเค่อสะกดรอยตาม แล้วใช้ไม้จิตวิญญาณสั่งไม่ให้สัตว์อสูรเหล่านี้จู่โจม พวกเขาคงตายตามระหว่างทางไปนานแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหนานเค่อถึงไม่ให้สัตว์อสูรเหล่านี้นำทางนั้น พวกเขาก็คาดเดาไว้หลายอย่าง

 

เฉินฉางเซิงมองดูเงาสีดำมหึมาบนท้องฟ้าสายนั้น พลางคิดว่าสัตว์อสูรในตำนานก้าวเข้ามาในเขตเทวาศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวหลังเห็นเงาสีดำ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนมองหนานเค่อพลางว่า

 

“สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่แน่ว่าจะเชื่อฟังเจ้าทั้งหมด”

 

ฝนปรอยๆ ตกลงมาจากก้อนเมฆที่กระจายตัวออก เสียงดังเปาะแปะ หนานเค่อกำลังหลับตา ผมดำขลับกำลังปลิวไสวอยู่หลังร่างเล็กๆ ไม้จิตวิญญาณกำลังลอยอยู่ตรงหน้านาง มันสว่างขึ้นเรื่อยๆ คล้ายเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงอย่างไรอย่างนั้น นางไม่สนใจคำพูดของเขา หรือแท้จริงแล้วไม่ได้ยินกันแน่

 

คลื่นอสูรกำลังม้วนตัวมาทางสุสาน ทุ่งหญ้าบริเวณใกล้เคียงที่เพิ่งถูกย้อมเป็นสีแดงโลหิต ถูกทะเลสีดำปกคลุมอย่างรวดเร็ว

 

เสียงเจี๊ยกๆ ที่มากับเงาสีดำยิ่งมาก็ยิ่งเบาลง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าวานรดินตัวนั้นหวาดกลัวจนเผ่นหนีไป ในทางกลับกัน มันกำลังเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมต่างหาก

 

ในที่สุด ยักษ์ล้มภูเขาก็หาหินภูเขาขนาดยาวที่มีเหลี่ยมมุมมากมายในทะเลสาบเจอ มันจึงยืดตัวตรง ดูคล้ายเนินเขาผุดขึ้นกลางคลื่นอสูร ส่วนด้านหลังของทะเลสีดำ อสูรกระทิงกำลังจ้องมองสุสานอย่างเงียบๆ ดวงตาดั่งเม็ดข้าวที่เรืองแสงของมัน หยุดอยู่ที่ร่างของเฉินฉางเซิง หางของมันพันกับเขาหน้าแนบแน่น ขนสีดำขนาดใหญ่นับพันเส้นเป็นอย่างต่ำเรียงตัวกันอย่างหนาแน่นอยู่ด้านบน

 

แม้เฉินฉางเซิงไม่มีวิธีเอาชนะสัตว์อสูรระดับสูงทั้งสาม แต่เขาก็ไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด ดวงตายังคงใสกระจ่าง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดที่สว่างที่สุดท่ามกลางกระบี่หมื่นเล่มที่ลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ สุสาน

 

ลมหนาวก่อตัวขึ้นรอบสุสาน กระบี่หมื่นเล่มส่งเสียงดังแผ่วเบา

 

ไกลออกไป คลื่นอสูรดุจทะเล สัตว์อสูรดุจขุนเขา

 

กระบี่มหาสมุทรขุนเขาลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง มันขยับเล็กน้อย

 

การเคลื่อนไหวของเขาและเหล่ากระบี่ไม่เข้ากัน กระบี่ปราบสัตว์ร้ายต้องการต่อสู้

 

ซึ่งถ้ากระบี่พิการเหล่านี้ต่อสู้กับคลื่นอสูรโดยพลการก็เท่ากับแตกทัพ ซึ่งพวกมันอาจร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว และแตกดับไป

 

แต่ตอนนี้ เขายังอยู่ตรงนี้

 

กระบี่หมื่นเล่มเป็นได้ทั้งกองทัพ พลทหาร ทัพหน้า หรือทัพหลัก โดยมีเขาเป็นแม่ทัพ

 

แล้วเขาจะนำทัพกระบี่หมื่นเล่มออกรบในครั้งนี้อย่างไร?

 

เขาไม่รู้ แม้ศึกษาคัมภีร์ลัทธิเต๋ามาแต่เด็ก ท่องตำราหายากเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรในสำนักฝึกหลวงนับไม่ถ้วน ก็ยังไม่สามารถฝึกวิชาเพลงกระบี่หมื่นชนิดซึ่งไม่มีใครฝึกสำเร็จได้ เช่นนี้ เขาจะควบคุมกระบี่หมื่นวิถีเหล่านี้อย่างไรจึงจะทำให้พวกมันสำแดงเดชได้มากสุด?

 

เขาจับร่มกระดาษทอง พลางรู้สึกได้ถึงเจตจำนงของกระบี่เล่มนั้น

 

การเข้ามาในทุ่งหญ้า มาถึงสุสาน เปิดสระกระบี่ ทั้งหมดนี้ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจตจำนงของกระบี่เล่มนั้น หรือนี่คือคำตอบ

 

……

 

……

 

เขาตระหนักถึงเจตจำนงที่กระบี่เล่มนั้นต้องการให้เขารับรู้ถึงความภาคภูมิใจและความสงบนิ่งนั่นแล้ว

 

ความภาคภูมิใจและความสงบนิ่งเป็นสองอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระทั่งขัดแย้งกันด้วยซ้ำ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถปรากฏสองอารมณ์พร้อมกันในหนึ่งกระบี่ หรือในร่างของผู้ใช้กระบี่ได้

 

แต่มีบ้างที่แปลกออกไป เฉินฉางเซิงกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสภาวะซับซ้อนของความภาคภูมิใจและความสงบนิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งไม่ใช่ความคุ้นเคยของการท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋าจากหลังไปหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนั้น แต่เป็นความคุ้นเคยอย่างแท้จริง ที่เห็นด้วยตา และสัมผัสด้วยใจมาก่อน กระทั่งเป็นความคุ้นเคยจากการต่อสู้ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ

 

เขาเข้าใจในทันที นี่คือเจตจำนงของกระบี่เขาหลีซาน ซึ่งเขาเคยรู้สึกได้จากศิษย์รุ่นเยาว์มากพรสวรรค์หลายคนของเขาหลีซาน… ความหยิ่งยโสไปจนถึงความเย็นชาของกวนเฟยไป๋ ความสงบนิ่งและอบอุ่นจนน่าสนิทสนมด้วยของโก่วหานสือ ความเงียบขรึมที่ทำให้น่าเชื่อถือของเหลียงปั้นหู คุณลักษณะสามอย่างของชีเจียน

 

ที่แท้เจตจำนงของกระบี่เล่มนั้นมาจากเขาหลีซาน เขามองดูร่มกระดาษทองในมืออย่างเงียบเชียบ

 

จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่รู้ว่าเจตจำนงของกระบี่เล่มนั้นเป็นของตำนานกระบี่ชื่อดังก้องฟ้า แต่เขารู้แล้วว่าตนเองควรทำเช่นไร

 

แม้โจวตู๋ฟูกลับชาติมาเกิด ก็ไม่สามารถใช้เจตจำนงกระบี่หมื่นประเภทมาควบคุมกระบี่พิการหมื่นเล่มให้สำแดงเพลงกระบี่หมื่นกระบวนท่าได้ นับประสาอะไรกับเขา ทว่าเขาสามารถใช้เจตจำนงกระบี่จากเขาหลีซานควบคุมกระบี่พิการหมื่นวิถีให้สำแดงเพลงกระบี่หลีซานหมื่นกระบวนท่าได้ ปัญหาเดียวที่ต้องแก้ก็คือ เขาจะสามารถควบคุมจิตสัมผัสทั้งหมื่นสายพร้อมๆ กันได้อย่างไร

 

เพียงแก้ปัญหานี้ให้ได้เท่านั้น แต่มันดันเป็นปัญหาที่แก้ยากที่สุดเสียด้วย เกรงว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งลี้ลับประจำพระราชวังหลีที่สามารถคิดเรื่องประหลาดได้ทุกวัน ก็ไม่คาดคิดว่าจะมีใครสามารถแบ่งจิตสัมผัสออกเป็นหมื่นสาย และไม่มีความจำเป็นต้องลองทำด้วย แต่เฉินฉางเซิงคิดที่จะลองดูสักตั้ง

 

มือซ้ายของเขาจับด้ามร่มกระดาษทอง แล้วใช้จิตสัมผัส ควบคุมเจตจำนงกระบี่ในร่ม ก่อนกระจายออกไปยังท้องฟ้ารอบๆ สุสาน พริบตาเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงของเหล่ากระบี่พิการอย่างแจ่มชัด มันประกอบไปด้วยความเหนื่อยล้า ความอ่อนแอ กระทั่งเจตจำนงของกระบี่บางเล่มยังเบาบางเสียจนยากรับรู้

 

เขาขอร้องด้วยความเคารพและมุ่งมั่น ขอให้กระบี่เหล่านี้สวามิภักดิ์ชั่วคราว แล้วมอบอำนาจการควบคุมให้เขา

 

กระบี่ที่หยิ่งยโสเช่นกระบี่มหาสมุทรขุนเขาเห็นด้วยแล้ว

 

กระบี่ที่สงวนท่าทีตนเช่นกระบี่จำศีลเห็นด้วยแล้ว

 

กระบี่หมื่นเล่มที่ลอยรายล้อมอยู่รอบท้องฟ้าของสุสานก็ล้วนเห็นด้วยแล้ว