ตอนที่ 243 เป็นห่วงอู่เหมย + ตอนที่ 244 เรียกคนตัวเป็นๆออกมา

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 243 เป็นห่วงอู่เหมย + ตอนที่ 244 เรียกคนตัวเป็นๆออกมา โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 243 เป็นห่วงอู่เหมย

ถานซูฟางฟังคุณย่าหยางพูดเรื่องซุบซิบของบ้านอู่อย่างเงียบๆ ทว่า ยิ่งฟังถึงตอนท้ายคิ้วก็ยิ่งขมวดมากขึ้น แม้บ้านอู่จะเพียงแค่เป็นครอบครัวธรรมดา แต่ก็คงมีอิทธิพลในแวดวงการศึกษาไม่น้อย แต่จะมีมากกว่าเหยียนโฮ่วเต๋อหรืออย่างไร?

สิ่งที่เธอตัองการคือช่องทางอื่นๆ เช่น วงการการเมือง วงการทหาร วงการการค้า วงการรักษาพยาบาล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นอันไหนได้หมด แต่ไม่ต้องการแวดวงการศึกษา ต่อให้สอนหนังสือเก่งแค่ไหน แต่ก็ทำใจไม่ได้หากจะให้ลูกชายไปลำบากยากจนแบบนั้น

พอกันที เธอไม่ต้องการฟังอีกแล้ว แค่ฐานะทางบ้านก็ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในบ้านยังไม่สงบแบบนั้น เหอปี้อวิ๋นคนนั้น แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงหยาบคายโง่เง่าคนหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้จะสั่งสอนลูกสาวออกมาให้ดีได้อย่างไร?

ถานซูฟางหันไปมองเหยียนหมิงต๋าที่ยื่นหูออกมาฟังแวบหนึ่ง ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกห่วงเขามากนัก หมิงต๋าแค่สิบสี่ขวบ ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แม้ความรู้สึกในตอนนี้จะมีความหมายในเชิงนั้นนิดหน่อย แต่หากต่อไปภายหลังเมื่อขึ้นมัธยมปลายหรือขึ้นมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างก็เดินตามทางของตัวเอง ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถเจอหน้ากันได้ไหม ยังไงก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี!

“เล่ากันว่าอู่เยวี่ยสอบประจำเดือนครั้งนี้ทำได้ไม่ดี แต่เหมยเหมยกลับทำได้ดี วิชาภาษาสอบได้ 74 คะแนน แต่เสี่ยวเหอไม่เพียงแต่ไม่ชมเชย ยังตบหน้าเธออีก จุ๊ๆ ตอนตบนั้นก็ตบได้รุนแรงมาก เด็กน้อยหน้าบวมเป่งเลย น่าสงสารจริงๆ”

คุณย่าหยางถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจอู่เหมยและดูถูกเหอปี้อวิ๋นจากใจจริง การเรียนมีความก้าวหน้ายังโดนตี กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเธอลำเอียงหรือไง!

อันที่จริงแล้วเหยียนโฮ่วเต๋อกับอู่เจิ้งซือก็รู้จักกัน อู่เจิ้งซือถือได้ว่าเป็นอาจารย์ตัวอย่าง ทุกๆ ปีต้องไปประชุมที่กรมการศึกษา ไปๆ มาๆ ก็เลยรู้จักกัน พอได้ยินเรื่องซุบซิบของบ้านอู่เจิ้งซือ เขาก็เลยสนใจ ถามว่า “หรือว่าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่ลูกที่ตัวเองคลอดเอง?”

ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ยิ้มอย่างสุขุมพูดว่า “โฮ่วเต๋อที่คุณพูดมาก็ไม่ถูกต้องนะ จะใช่ลูกที่ตัวเองคลอดเองหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือคุณลักษณะเฉพาะตัวของแม่ ดูสิ แม่เลี้ยงบางคนยังดีกว่าแม่แท้ๆ อีก”

เหยียนโฮ่วเต๋อรู้ตัวว่าพลั้งปากพูด รีบผงกหัวเห็นด้วย จะขาดก็แค่ไม่ได้พูดยกยอถานซูฟางเสียจนสูงส่งถึงฟ้า

คุณย่าหยางเบะปาก พูดอย่างมีเจตนาแฝงว่า “ไม่ได้คลอดออกมาจากท้องตัวเอง ยังไงก็ต้องต่างกันอยู่หนึ่งชั้น จะเอาใจใส่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนลูกตัวเองได้ยังไง? แม่เลี้ยงสิบคนใจดำแล้วเก้าคน คนที่ดีก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว”

สมัยแรกนั้นตอนหลานชายคนโตกลับมา ภาพของเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น ยายแก่อย่างเธอตอนนี้ก็ยังจำได้ชัดเจน ยัยถานซูฟางคนนี้ยังมีหน้ามาพูดตัวเองดีที่สุด ถุย! คนอะไรหน้าไม่อาย!

ยังโชคดีที่หมิงต๋าไม่ได้ปฎิบัติตามเธอ ถึงแม้ว่าจะเซ่อไปบ้าง แต่ยังถือว่าจิตใจดี และที่ทำให้คนแก่อย่างพวกเขาสองคนปลื้มอกปลื้มใจก็คือ หมิงต๋ากับหมิงซุ่น พี่น้องสองคนนี้รักใคร่กันดี ไม่เหมือนลูกที่เกิดจากคนละแม่ของบ้านอื่นๆ

รอยยิ้มบนใบหน้าถานซูฟางค่อยๆ หุบลงในทันที คุณย่าหยางไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย ยัยแก่หนังเหนียว สิบกว่าปีมานี้เธอยอมหมอบต่ำทำตัวเล็ก กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ก็ยังไม่สามารถประทับอยู่ในใจของพวกคนแก่หนังเหนียวสองคนนี้ได้ โมโหจะตายอยู่แล้ว!

เหยียนหมิงต๋าพอไดยินว่าอู่เยวี่ยไม่ได้โดนตี ก็วางใจในทันที แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้เห็นใจอู่เหมยเช่นกัน แค่รู้สึกว่าครั้งเหอปี้อวิ๋นทำไม่ถูกต้องมากจริงๆ แต่ก็แค่คิดเท่านั้น เขาไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งเขากับอู่เหมยก็ไม่ใช่เพื่อนกันอีก!

พอคุณย่าหยางพูดเรื่องซุบซิบจบ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา เข้าห้องครัวไปเตรียมทำอาหารเย็นอย่างมีความสุข เหยียนหมิงซุ่นฉวยโอกาสตอนไม่มีคนสนใจ กระโดดออกทางหน้าต่าง หยิบยาขี้ผึ้งติดมืออกมาด้วยอย่างง่ายดาย

หากไม่เห็นแผลของเด็กน้อยกับตาตัวเอง ใจของเขาก็จะไม่สงบ

พอเพิ่งจะออกมาจากประตูใหญ่ เขาก็ชนเข้ากับอู่เจิ้งซือ เขาเดินผ่านอย่างเคารพนบน้อม แต่การเคารพนบนอบนี้ไม่ได้ออกมาจากใจจริง อู่เหมยต้องได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ความเคารพที่เขามีให้อาจารย์ประจำชั้นคนนี้อันตรธานหายไปตั้งนานแล้ว

………………………………………………………….

ตอนที่ 244 เรียกคนตัวเป็นๆ ออกมา

อู่เหมยกินข้าวกลางวันเสร็จก็ไปเข้าเรียนที่ห้องเรียนเยาวชน แถมยังพาฉิวฉิวไปด้วย หลังห้องเรียนเยาวชนมีสวนสาธารณะ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ตอนที่เธอเรียนอยู่ ฉิวฉิวก็จะไปเล่นอยู่แถวนั้นได้

เพราะว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว อาจารย์เฮ่อตั้งใจสอนและคอยเอาใจใส่กับการเรียนของอู่เหมยมาก โดยมักจะเพิ่มคลาสเรียนพิเศษให้เป็นประจำ อีกทั้งยังไม่เก็บเงิน ทำให้อู่เหมยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เธอจึงยิ่งตั้งใจ หวังแค่เพียงว่าตอนแข่งขันเธอจะสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่น จากปกติที่เป็นคนไม่มีอะไรโดดเด่นเลย และในระยะเวลาเพียงนิดเดียวนี้ เธอจะคว้าเอาอันดับดีๆ มาได้

เพื่อมอบให้อาจารย์เฮ่อ และก็เพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย

วันหยุดมีนักเรียนมาเรียนเยอะกว่าวันปกติมาก พออู่เหมยเดินเข้าห้องเรียนก็มีสายตาแสดงความสงสัยส่งมาทางเธอมากมาย ทุกคนต่างกระซิบกระซาบ คาดเดาว่าแผลบนใบหน้าของอู่เหมยนั้นเกิดอะไรขึ้น อู่เหมยเม้มปากแน่น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้น แต่ในใจไม่สบายใจเลยสักนิด ยิ่งเกลียดเหอปี้อวิ๋นมากขึ้นไปอีก

หลังเลิกเรียน อาจารย์เฮ่อเรียกอู่เหมยให้เขามาที่ห้องทำงาน ถามเธอว่าแผลบนใบหน้านั้นเธอได้มายังไง อู่เหมยก็ไม่ได้ปิดบังเธอ เล่าเรื่องราวคร่าวๆ อาจารย์เฮ่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลันโมโหพูดว่า “พ่อเธอล่ะ? ทำไมถึงไม่จัดการแม่เธอ ทำไมปล่อยให้เธอทำแบบนี้!”

อู่เหมยหัวเราะเยาะออกมา ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรน่าพูด อาจารย์เฮ่อมองเธออย่างเห็นใจ โทษตัวเองที่ช่วยอู่เหมยไม่ได้ ครอบครัวที่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจก็ยังเข้าไปยุ่งไม่ได้ เธอทำได้แค่เพียงมองดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้เลย

“เหมยเหมย แข่งครั้งนี้เธอจะต้องเอาอันดับดีๆ มาให้ได้ ทำให้คนที่ดูถูกเธอทั้งหมดเปลี่ยนมุมมองใหม่ เธอเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม?”

อู่เหมยพยักหน้า “รู้แล้วค่ะ อาจารย์เฮ่อ หนูจะพยายาม!”

อาจารย์ทำสัญลักษณ์มือที่หมายความว่าสู้ๆ สองอาจารย์ศิษย์ต่างหัวเราะออกมา

หลังอู่เหมยออกจากห้องเรียนเยาวชน ก็รีบไปที่สวนสาธารณะ ตอนบ่ายสยงมู่มู่ไม่ได้มาเรียน อาจารย์ของเขาไปต่างจังหวัด จึงมีแต่เธอคนเดียวที่มาเรียน ตอนนี้น่าจะใกล้สี่โมงแล้ว เธอควรจะรีบกลับไปได้แล้ว

“ฉิวฉิวรีบออกมาได้แล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

ข้างในสวนสาธารณะนั้นทั้งเงียบสงบและสวยงาม มีคนไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย อู่เหมยเรียกฉิวฉิวเสียงเบา แต่กลับเรียกคนเป็นๆ ออกมาซะอย่างนั้น เหยียนหมิงซุ่นกอดฉิวฉิวไว้ เดินเข้ามาใกล้เธอ

อู่เหมยหน้าแดงเอ่ยเรียกชื่อ “พี่หมิงซุ่น”

ฉิวฉิวเห็นเจ้าของของตัวเอง ก็ดีใจจนอยากจะโผเข้าหา แต่ขาหลังโดนคนบางคนหนีบเอาไว้อยู่ มันขยับตัวไปไหนไม่ได้ ฉิวฉิวต่อสู้ดิ้นรนตั้งหลายรอบจนอ่อนแรง ก็เลยถือโอกาสหาที่พัก นอนหลับไปพักใหญ่ ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่มีกลิ่นหอมเหมือนเจ้าของของมัน แต่อันที่จริงอ้อมกอดของเขาก็สบายไม่เลวเลย

เหยียนหมิงซุ่นเห็นแผลบนใบหน้าของเด็กน้อย คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ครึ่งหน้าบวมหมดแล้ว แรงตบนี้ของเหอปี้อวิ๋นโหดเหี้ยมมาก ไปสู้กับถานซูฟางได้เลย ถานซูฟางยังทำใจไม่ลงหากจะต้องลงมือกับลูกแท้ๆ อย่างเหยียนหมิงต๋าแม้แต่ปลายนิ้วหัวแม่มือ ทว่า เหอปี้อวิ๋นกลับทำกับลูกแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้ จะอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ

เขาเก็บความงงงวยเอาไว้ในใจ หันไปทางอู่เหมยแล้วกวักมือ บอกใบ้ให้เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ หน่อย “มานี่ พี่จะทายาให้เธอ”

อู่เหมยกำลังอยากจะบอกว่าสยงมู่มู่ทาให้เธอไปแล้ว คำพูดที่ขึ้นมาที่คอแล้วก็กลับกลืนลงไป ไม่ว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นหวังดีหรือไม่ เธอก็ไม่สามารถแยกแยะอะไรได้เลย

เหยียนหมิงซุ่นให้อู่เหมยนั่งบนม้านั่ง เอนหัวมาทางเขา ขณะที่เขาทายาขี้ผึ้งอย่างเบามือ และนุ่มนวลให้อู่เหมย แสงอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงสาดทะลุผ่านใบไม้หนา เปล่งประกายเหมือนเศษเงินโบราณ เปล่งประกายบนใบหน้าสีขาวของอู่เหมย สามารถมองเห็นรายละเอียดของขนอ่อนบนผิวและขนตาที่กระพือเหล่านั้น ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบอย่างประหลาด

“เจ็บไหม?” เสียงของเขาอบอุ่นอ่อนโยนจนแม้กระทั่งเหยียนหมิงซุ่นเองก็ยังไม่รู้ตัว

อู่เหมยสั่นหัว “ไม่เจ็บแล้ว”

เหยียนหมิงซุ่นแอบถอนหายใจเบาๆ ตอนที่ทายาเขาไม่ทันได้ระวังจึงเผลอใช้แรงเยอะไปหน่อย จนอู่เหมยทนไม่ไหวร้องออกมาเสียงดัง “โอ๊ย!”

………………………………………………………….