ตอนที่ 630 ซูฉางเฟิง
“นี่คือสหายของฟางหลิงซู่แห่งหอพิษกู่ มีนามว่าซูฉางเฟิง”
“ซูโจว เจ้าตามข้ากลับไปเถิด ข้าเชื่อว่าจวินฮานกำลังเฝ้ารอเจ้าอยู่เป็นแน่” อันหลิงเกอเอ่ยขอร้องอีกครั้ง
“พระชายา ท่านให้เวลาข้าสักหน่อยเถิด” ซูโจวมีท่าทีลังเล
มินานก็มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้าประตูมา กิริยาท่าทางราวกับผู้ดีมีตระกูล ไม่เหมือนสตรีที่เติบโตมาในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ท่าทางสง่างามนั้นทำให้อันหลิงเกอจ้องมองด้วยความสนใจ
“ท่านพี่ ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
“เจียวเอ๋อ นี่คือพระชายามู่แห่งต้าโจวและเป็นเจ้านายเก่าของข้าด้วย” ซูโจวเอ่ยกับสตรีผู้นั้นอย่างอ่อนโยน
“เจียวเอ๋อ ก่อนหน้านี้ข้ามิได้บอกความจริงกับเจ้าว่าแท้จริงข้าเป็นที่ปรึกษาของท่านอ๋องแห่งต้าโจว ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องบางอย่างและข้าจึงมาอยู่ที่นี่ ทว่าตอนนี้…”
ซูโจวมีสีหน้าลำบากใจ แววตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ท่านพี่ มิว่าท่านมีฐานะใด เย่เจียวก็ได้มอบชีวิตให้ท่านแล้ว หากท่านต้องไปจริง ๆ เย่เจียวก็จักไปกับท่านด้วยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเย่เจียวไร้ความลังเล แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ทำให้อันหลิงเกอรู้ว่านางปักใจรักบุรุษผู้นี้เสียแล้ว มิว่าทางข้างหน้าลำบากเพียงใด นางก็ยอมติดตามไปกับเขาด้วย
“พระชายาให้เวลาข้าอีกหน่อยเถิด ถึงเวลาข้าจักกลับไปแน่นอน หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนซูโจวจักกลับไปเมืองหลวงเอง” จากนั้นซูโจวก็มองไปโดยรอบด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
“ซูโจว ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญา” อันหลิงเกอเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีทางละทิ้งหน้าที่ของตนและไม่มีทางทิ้งมู่จวินฮานแน่นอน
“พระชายา ต้องลำบากท่านแล้ว” ซูโจวมิรู้ว่าควรกล่าวอันใดออกมาเพราะตอนนี้เขาเข้าใจความลำบากของอันหลิงเกอดี
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนเจ้าไปส่งเราสองคนหน่อยเถิด”
“จงพักผ่อนอีกสักสองวันแล้วข้าจะไปส่งท่านเอง” ซูโจวกล่าวจบ อันหลิงเกอก็มิได้พูดขัดแต่อย่างใดเพราะนางมิได้รีบร้อนไปเมืองหลวง
“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่ ? ” อันหลิงเกอหันไปถามซูฉางเฟิง
“อืม” ซูฉางเฟิงมองดวงดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้าแล้วพยักหน้า
“ข้ามิได้รู้สึกสบายใจเช่นนี้มานานแล้ว” อันหลิงเกอมิค่อยเอ่ยความในใจกับผู้ใดมากนัก ทว่าตอนนี้นางอยู่ในที่ไร้การต่อสู้แข่งขันจึงมิได้รู้สึกหวาดระแวงเหมือนเคย
“ซูฉางเฟิง ขอบใจเจ้ามาก”
หากมิใช่เพราะซูฉางเฟิงแล้ว นางคงหมดโอกาสได้กลับไปหามู่จวินฮานอีก
เมื่อพักผ่อนได้สองวัน ทั้งคู่ก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวง
พอมาถึงเขตเมืองหลวงแล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป อันหลิงเกอรู้ว่าตอนนี้ทำได้แค่อยู่ในห้องที่ซูฉางเฟิงเตรียมไว้ให้เท่านั้น อย่างไรมู่จวินฮานก็จำนางมิได้แล้ว นางจึงมิใช่พระชายาอีกต่อไป
“เจ้ามิไปดูเขาหน่อยหรือ ? ”
ก่อนจากไปเขาได้ถามออกมา และอันหลิงเกอก็ส่ายหน้า เมืองหลวงสงบถึงเพียงนี้ ดูท่ามู่จวินฮานคงลืมนางไปแล้วจริง ๆ
ตอนนี้นางปลอมตัวเป็นบุรุษจึงปลอดภัยมิน้อย
“บางทีเจ้าควรไปดู”
ซูฉางเฟิงพูดย้ำอันหลิงเกออีกคราและเดิมทีจิตใจของนางก็มิได้มั่นคงเท่าไรอยู่แล้ว
พอได้ยินดังนั้น นางก็รู้ดีว่าตอนนี้อยากไปหามู่จวินฮานยิ่งนัก แม้ในใจของเขาไม่มีนางอีกแล้วก็ตาม ทว่านางควรมีตำแหน่งที่มั่นคงจึงจะใช้ชีวิตที่ดีต่อไปได้
จากนั้นนางในคราบซูฉางเฟิงก็เดินไปจนถึงหน้าประตูจวนอ๋องมู่ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะออดอ้อนของทัวป๋าถิงฟางและเสียงดังกังวานของมู่จวินฮานก็ดูเหมือนระหว่างที่นางมิอยู่ มู่จวินฮานมิได้มีความกังวลเลย ภายในใจของอันหลิงเกอจึงรู้สึกขมขื่นขึ้นมา หลังแจ้งขอพบแล้ว นางจึงเดินเข้าไป
“ข้าขอคารวะท่านอ๋องมู่”
อันหลิงเกอก้มศีรษะคำนับมู่จวินฮาน
“อืม ตามสบายเถิด” มู่จวินฮานมองด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนโบกมือไล่ทัวป๋าถิงฟางออกไป
“ซูฉางเฟิง ที่ปรึกษาแห่งเผ่าปิงชวนและว่าที่อ๋องน้อยของราชสำนัก” แววตาของมู่จวินฮานคล้ายแฝงรอยยิ้มเอาไว้ เขารู้จักซูฉางเฟิงอย่างนั้นหรือ “ข้ารู้ว่าท่านมาจากเผ่าปิงชวน เพียงแต่…” มู่จวินฮานเหมือนมีบางอย่างมิสะดวกที่จะกล่าวออกมา
“หืม ? เชิญท่านอ๋องกล่าวได้” อันหลิงเกอจึงบอกให้มู่จวินฮานพูดต่อเพราะคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับตนเป็นแน่
“ข้าเหมือนรู้สึกว่าหลังกลับมาจากเผ่าปิงชวนก็มีบางอย่างเลือนหายไป มิทราบว่าท่านพอจะบอกข้าหน่อยได้หรือไม่…”
หืม ? อันหลิงเกอได้ฟังก็อดรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมามิได้
“ช่างเถิด ข้าได้ยินว่าครั้งนี้ซูโจวมากับท่านด้วยมิใช่หรือ ? ” มู่จวินฮานเอ่ยปากถามออกมา
สำหรับซูโจวนั้น เขาจำได้ว่าเหลืออีกแค่ครึ่งทางซูโจวก็จะกลับถึงจวนอ๋องแล้ว ทว่าตอนนี้ยังกลับไม่ถึงจวนเพราะเหตุใดเขาเองก็คิดมิออก
“ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋องขอรับ” ตอนนั้นเองซูโจวก็เดินเข้ามาพอดี เดิมทีเขาคิดว่าจักกลับมาช้ากว่านี้ แต่อย่างไรพระชายาก็คือผู้มีพระคุณจึงต้องรีบมาช่วยนาง
“เอาล่ะ ข้าพาแม่นางคนหนึ่งกลับมาด้วย นางช่วยชีวิตข้าไว้จึงตาบอด หากเป็นไปได้เจ้าช่วยไปดูหน่อย เพราะอย่างไรนางก็คือผู้มีพระคุณของข้า”
ซูโจวพยักหน้าพร้อมเหลือบมองอันหลิงเกอที่อยู่ด้านข้าง ดูเหมือนเขาจะเอ่ยบางอย่าง
“ท่านอ๋องรู้จักอันหลิงเกอหรือไม่ขอรับ ? ”
มู่จวินฮานไร้ปฏิกิริยาใด
“อันหลิงเกอหรือ ? หมอหญิงผู้นั้นใช่หรือไม่ ? ”
หมอหญิง…
อันหลิงเกอได้ยินคำเรียกแล้วก็ถอนหายใจออกมา ตอนนี้เขาคงจำได้แค่ว่านางเป็นหมอหญิงเท่านั้น
“มีอันใดหรือ…”
“ข้าน้อยมิถนัดเรื่องรักษาดวงตา หากเชิญนางมาได้ก็อาจช่วยได้มากขอรับ”
ตอนนั้นทัวป๋าถิงฟางที่แอบฟังอยู่หลังม่านก็ขบกรามแน่น นางรู้ดีว่ามิสามารถเอาชนะอันหลิงเกอและซูโจวได้ แต่มิคิดว่าตอนนี้มู่จวินฮานเชื่อคำพูดของซูโจวถึงเพียงนี้ ทำให้ภายในใจของทัวป๋าถิงฟางยิ่งโกรธแค้นซูโจวมากขึ้นอีก ต่อไปนี้นางคงต้องรีบหาโอกาสกำจัดโดยเร็วที่สุด
มิควรให้พวกเขาได้มีโอกาสเอ่ยถึงอันหลิงเกออีก !
เนื่องจากซูโจวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดแค่ชื่อนี้ขึ้นมาและอันหลิงเกอที่ปลอมตัวอยู่ตรงนี้ก็ตั้งใจฟังคำตอบ ทว่ามู่จวินฮานจำนางมิได้ ส่วนทัวป๋าถิงฟางก็ยังมิรู้ตัวตนของบุรุษที่ปรึกษาว่าแท้จริงแล้วคืออันหลิงเกอ !
“ท่านอ๋อง หากไม่มีอันใดแล้วข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
“อืม เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าเองก็ดีใจมาก” รอยยิ้มของมู่จวินฮานในสายตาของอันหลิงเกอมิเหมือนเดิมอีกแล้ว
หลังออกมาจากจวนอ๋องมู่แล้วอันหลิงเกอก็กลับไปยังที่พักของตนเพื่อเก็บข้าวของ เพราะตอนนี้นางมีฐานะเป็นแขกที่มาจากเผ่าปิงชวน ดังนั้นจึงได้เข้าพักในวังหลวงไปด้วย
หลังผ่านความลำบากในครั้งนี้มาแล้ว ร่างกายและจิตใจของอันหลิงเกอก็เหนื่อยล้าเต็มทน
ตอนนี้ก็หาตัวซูโจวพบแล้ว นางจึงมิอยากข้องเกี่ยวกับเรื่องของจวนอ๋องมู่อีก
หากเป็นไปได้นางก็อยากเป็นแค่สตรีธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเวลาใดบ่าของนางก็มักมีภาระหนักอึ้งให้แบกไว้เสมอ ทำให้นางมิเคยได้ใช้ชีวิตสบายเลยสักครั้ง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ภายในใจของอันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา บาดแผลบนร่างกายยังมิทันหายดี ความเหนื่อยล้ายังมิทันเลือนหาย ภายในใจก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเศร้าโศกเมื่อนึกถึงอนาคต
ร่างกายที่อ่อนล้ากอปรกับจิตใจที่ท้อแท้จึงทำให้อันหลิงเกอเผลอหลับไป
วันต่อมา อันหลิงเกอหลับสนิทจนถึงยามอู่ ( 11.00 – 12.59 น. ) จึงได้ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นอากาศด้านนอกหน้าต่างแล้ว จิตใจของนางมิได้ปลอดโปร่งดังเช่นอากาศภายนอกเลย
“นายท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่หยาที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นว่าภายในห้องมีเงาคนเคลื่อนไหวจึงเอ่ยถามขึ้นมา
นางเป็นสาวใช้ที่ซูฉางเฟิงมอบให้และถือว่าเป็นคนดีมิน้อย
ตอนนี้อันหลิงเกอเข้ามาในวังโดยอาศัยฐานะของซูฉางเฟิง ทุกคนต่างรู้ดีว่าซูฉางเฟิงเป็นที่ปรึกษาของเผ่าปิงชวนที่ส่งมารับใช้ฝ่าบาททั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องน้อยอย่างเอาอกเอาใจ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไรนั่นเอง