ส่วนที่ 5 ตอนที่ 13-1 รายชื่อสายสอดแนม

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

จวนองค์หญิงใหญ่แม้เป็นเครือญาติราชวงศ์ แต่ก็มีเพียงชื่อเสียงทว่าไร้อำนาจ จะเกี่ยวดองกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็นับว่าเหมาะสม เพียงแต่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงเท่านั้น 

 

           ในอดีตแม้หลี่หรูปี้กับจินเยี่ยนต่างเทียบเคียงกันได้ทั้งด้านพรสวรรค์และรูปร่างหน้าตา แต่การคบค้าสมาคมก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน หลี่หรูปี้ชอบฉินเจิง จินเยี่ยนชอบฉินอวี้ ล้วนชอบมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างทั้งสองต่างมีชาติกำเนิดสูงส่ง คนหนึ่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา คนหนึ่งจวนองค์หญิงใหญ่ มีจุดร่วมประโยชน์กันมากมาย นิสัยก็เรียกได้ว่าล้วนเป็นประเภทที่ดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนกัน 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาคงอยากให้หลี่หรูปี้ออกห่างเมืองหลวง ออกห่างฉินเจิง จึงเลือกทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางให้แก่นาง ทว่าหลี่หรูปี้กลับไม่ยอมออกเรือนไกล ยอมที่จะออกบวชแทน กระนั้นแล้วองค์หญิงใหญ่จึงรับไม้ต่อ นึกไม่ถึงว่าจินเยี่ยนจะยอมตกลง 

 

           เซี่ยฟางหวาฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมา 

 

           “จินเยี่ยนมีนิสัยหยิ่งยโสเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าจะยอมตกลง” เยี่ยนหลันกล่าว “ท่านแม่กักตัวให้ข้ารักษาตัวอยู่ในจวนมาตลอด ไม่ปล่อยให้ข้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก จึงมิได้พบจินเยี่ยนหลายวันแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงตกปากรับคำ” 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ความจริงแล้ว ออกเรือนไกลก็ใช่ว่าไม่ดี เท่าที่ข้าทราบมา ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีบุคลิกสง่าผ่าเผย นิสัยอ่อนโยน ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์เป็นอันดับต้นๆ ในตระกูล รูปลักษณ์เองก็โดดเด่นมากเช่นกัน หากไม่ยอดเยี่ยม ตอนนั้นท่านป้าใหญ่ครอบครัวลูกคนโตคงไม่ดึงความสัมพันธ์หลายฝ่ายมาช่วยเรื่องการสมรสหรอก ยอมที่จะให้บุตรีออกเรือนไกล ก็ต้องบรรลุงานสมรสครั้งนี้ หากมิใช่ว่าท่านป้าใหญ่เกิดมาในตระกูลเซี่ย และไม่รู้จักพอ คงไม่ทำให้ครอบครัวลูกคนโตต้องมีจุดจบเช่นนั้น ทำให้การสมรสเป็นอันต้องถูกยกเลิก” 

 

           “แม้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางดีมาก แต่ก็ต้องออกเรือนไกล จินเยี่ยนอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งแต่เด็ก จะปรับตัวหากออกเรือนไกลไหวหรือ” เยี่ยนหลันกล่าว  

 

           “ที่จริงหากจินเยี่ยนไม่อยากไปจากเมืองหลวง ถึงแม้สมรสกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแล้ว ก็สามารถอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ ที่ผ่านมาตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางใช่ว่าไม่อยากปักหลักอยู่ในเมืองหลวง มิฉะนั้น ตอนนั้นคงไม่ยอมตกลงเกี่ยวดองกับครอบครัวลูกคนโต” เซี่ยฟางหวายิ้ม  

 

           เยี่ยนหลันยิ้ม “จริงด้วย” พูดจบ นางก็ทอดถอนใจ “ตอนยังเด็ก พวกเราทำทุกสิ่งโดยอาศัยแค่ความชื่นชอบ ยามนี้เติบโตแล้วมิอาจทำตามใจได้อีก” 

 

           เซี่ยฟางหวามิได้เอ่ยตอบ ตอนเด็กนางก็มิได้ทำทุกสิ่งด้วยความชื่นชอบ สิ่งที่นางยึดมั่นตลอดมาคือการปกป้องจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ย ตอนนั้นนางยังจำฉินเจิงมิได้ จึงเลี่ยงความยุ่งเหยิงเหล่านั้น ดังนั้นแล้วกล่าวได้ว่า ผู้จดจำย่อมทุกข์ใจกว่าผู้ลืมเลือนตลอดกาล 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกสำรับอาหารมาวางบนโต๊ะทีละอย่าง 

 

           “หอมจัง นำสุรามาด้วยสิ พวกเราเองก็ดื่มสักสองจอกด้วย” เยี่ยนหลันมองดู  

 

           ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวา 

 

           “ท่านหญิงน้อยเยี่ยนหายเป็นปกติแล้ว ดื่มสุราสองจอกย่อมไม่มีปัญหา แต่ข้าไม่ดื่มดีกว่า ไปนำสุรากาหนึ่งมาให้นาง” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว  

 

           ซื่อฮว่าเดินออกไปทันที 

 

           “ไม่เอาอย่างนี้สิ หรือว่าเจ้ายังต้องดื่มยาขมเฝื่อน ดื่มสุรามิได้ อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีอีกหรือ” เยี่ยนหลันเอ่ยขึ้นทันใด  

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้ากำลังบำรุงร่างกาย อยากมีลูกสักคน มิอาจแตะสุราได้” 

 

           เยี่ยนหลันเบิกตากว้าง นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วมองร่างกายน้อยๆ ของนาง เป็นนานกว่าจะยิ้มออกมา “ดี ดี สิ่งนี้ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าอย่าดื่มเลย หากเจ้ามีลูก ขอให้ข้าเป็นแม่บุญธรรมเถิด” 

 

           “เจ้ายังไม่ออกเรือน ก็คิดอยากเป็นแม่บุญธรรมแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มมองนาง 

 

           “ต้องเป็นคนที่ออกเรือนแล้วหรือถึงจะเป็นแม่บุญธรรมได้” เยี่ยนหลันถาม 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ใช่แล้ว” 

 

           “กล่าวเช่นนี้ ข้าต้องรีบหาคนที่จะออกเรือนด้วยโดยเร็วแล้ว” เยี่ยนหลันกลุ้มใจทันที  

 

           “ข้าไม่แข็งแรง ยากจะตั้งครรภ์ได้ในเร็วๆ นี้ ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน” เซี่ยฟางหวาหลุดหัวเราะ  

 

           เยี่ยนหลันกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ไหนเลยจะบอกได้ บางทีเจ้าเพิ่งคุยกับข้าจบก็ตั้งครรภ์แล้ว มิได้การ ข้าต้องรีบเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ” 

 

           “ขอให้สมพรปากเถิด” เซี่ยฟางหวายิ้มมองนาง “ข้าก็เพิ่งเคยเห็นคนที่อยากเป็นแม่บุญธรรมจึงรีบขายตัวเองออกไปโดยเร็วครั้งแรกเช่นกัน”     

 

           เยี่ยนหลันยืดคอ กล่าวอย่างลำพองใจ “ตั้งแต่ปล่อยวางจากท่านอ๋องน้อยของเจ้าได้ ข้าก็รู้สึกว่าโลกเบื้องหน้ากว้างใหญ่ไพศาล เมื่อเจอคนที่ต้องตาแล้วค่อยออกเรือนก็ย่อมได้” 

 

           “ใครกันที่เพิ่งบอกข้าว่าไม่อยากออกเรือน” เซี่ยฟางหวามองนาง 

 

           “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วน่ะสิ” เยี่ยนหลันตอบโดยที่ไม่แม้แต่จะหน้าแดง 

 

           เซี่ยฟางหวามองนาง ค่อนข้างที่จะพูดไม่ออก แต่นางกลับชอบนิสัยของเยี่ยนหลัน ถือได้ก็วางลงได้ ช่างเด็ดขาดตรงไปตรงมายิ่งนัก 

 

           ซื่อฮว่ายกสุรามาหนึ่งกา เยี่ยนหลันพูดคุยกับเซี่ยฟางหวาพลางกินข้าว คุยสัพเพเหระราวกับระบายความอัดอั้นตลอดหลายวันนี้ออกมาจนหมดเปลือก 

 

           กระทั่งสองชั่วยามผ่านไป ฉินเจิงก็มาที่เรือนด้านหลัง เห็นทั้งสองคนยังไม่เลิกราก็เลิกคิ้ว ก่อนกล่าวกับเยี่ยนหลันที่ดื่มจนเมาว่า “ด้านหน้าแยกย้ายกันแล้ว พี่ชายเจ้ากำลังรอกลับจวนพร้อมเจ้า” 

 

           เยี่ยนหลันจับมือเซี่ยฟางหวา เมามายไม่ได้สติว่า “พูดแล้วห้ามคืนคำ วันหน้าห้ามเจ้ารับปากคนอื่น” 

 

           “ตกลง คำไหนคำนั้น” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  

 

           “คำไหนคำนั้นอันใด” ฉินเจิงขมวดคิ้ว 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ หากแต่สั่งงานซื่อฮว่า “ไปส่งท่านหญิงน้อยเยี่ยนที่เรือนด้านหน้าก่อน” 

 

           ซื่อฮว่ารับคำ ก้าวขึ้นมาประคองเยี่ยนหลันออกจากเรือนด้านหลัง 

 

           ฉินเจิงรอจนเยี่ยนหลันออกไปแล้ว ก็ยื่นมือโอบเซี่ยฟางหวา ขยับเข้าใกล้นางพลางสูดจมูกดม “นางดื่มจนเมามายไม่ได้สติ เจ้ามิได้ดื่มด้วย” 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “เจ้าก็มิได้ดื่มด้วยเช่นกัน”  

 

           ฉินเจิงโน้มใบหน้าจุมพิตนาง ยังไม่ลืมที่จะเค้นถาม “เยี่ยนหลันพูดว่าคำไหนคำนั้นอันใด” 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มพลางเบี่ยงหลบเขา ทว่าเขากักกอดไว้แน่น นางจึงได้แต่บอกไปตามความจริง “นางอยากเป็นแม่บุญธรรมของลูกเรา” 

 

           “เจ้ารับปากนางแล้ว” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ข้าว่านางก็ไม่เลว เคี่ยวเข็ญจนรับตำแหน่งได้” 

 

           ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ “แข็งแกร่งกว่าคนอื่นไม่น้อย” 

 

           “พวกเขากลับจวนกันหมดแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า เอ่ยถามนาง “เจ้าเหนื่อยหรือไม่” 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ยังไหว” 

 

           ฉินเจิงได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็ช้อนเอวนางอุ้มขึ้น เดินกลับไปที่เรือนด้านหน้า “ในเมื่อเจ้าไม่เหนื่อย พอดีว่าข้าก็ไม่เหนื่อยเช่นกัน เรากลับห้องไปสร้างทายาทกันดีกว่า” 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าแดง ยกมือทุบเขา 

 

           ทุกคนในเรือนด้านหน้ากลับกันไปหมดแล้ว และได้รับการเก็บกวาดจนสะอาดแล้วเช่นกัน ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาตรงกลับไปที่ห้อง 

 

           ราตรีนี้ย่อมเกิดกามารมณ์ลึกซึ้ง ลมวสันต์โหมพัด ค่ำคืนอันแสนนานนี้สิ้นสุดลงในยามจื่อ 

 

           ครั้นฟ้าสว่าง หลังฉินเจิงตื่นขึ้นมา พบว่าเซี่ยฟางหวายังคงนอนหลับลึก เขาจุมพิตลงบนริมฝีปากนางครู่หนึ่งก่อนลุกลงจากเตียง เดินตรงไปแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วออกมาจากห้อง 

 

           ฟ้ายามรุ่งสางมืดครึ้มเล็กน้อย 

 

           ฉินเจิงเงยหน้ามองฟ้าแวบหนึ่ง ก่อนกวักมือเรียกซื่อฮว่าที่กำลังตักน้ำ 

 

           ซื่อฮว่าเดินเข้ามาหาทันที พร้อมทำความเคารพเขา “ท่านอ๋องน้อย” 

 

           “ข้าต้องไปนอกเมือง เมื่อคืนไม่ทันได้บอกกับนาง พอนางตื่นแล้วก็บอกนางด้วยว่า มากสุดสามวันข้าก็กลับมาแล้ว ให้นางพักผ่อนอยู่ในจวน เรื่องด้านนอกมีข้า นางมิต้องกังวลมากนัก” ฉินเจิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ 

 

           ซื่อฮว่าชะงัก ก่อนถามเสียงเบา “หากคุณหนูถามว่า ท่านอ๋องน้อยไปนอกเมืองด้วยเรื่องใด บ่าวควรบอกอย่างไรดีเจ้าคะ” 

 

           “นางรู้อยู่แล้ว เจ้าบอกว่าเรื่องที่หารือร่วมกันกับฉินอวี้ เพื่อถอนรากขุดโคนให้สะอาด ข้าจึงต้องไปจัดการเอง” ฉินเจิงตอบ  

 

           ซื่อฮว่าพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบาอีกหน “เมื่อวาน คุณหนูส่งข้าไปที่จวนครอบครัวหกรอบหนึ่ง ถ่ายทอดข้อความบอกฮูหยินหมิงว่า ให้สั่งการสายสอดแนมตระกูลเซี่ย นำรายชื่อสายสอดแนมเป่ยฉีมาให้นางก่อนยามอู่วันนี้เจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็เงยหน้ามองฉินเจิง พบว่าฉินเจิงราวกับมิได้แปลกใจ จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ฮูหยินหมิงเห็นป้ายคำสั่งแล้วก็รับปาก บอกให้คุณหนูสบายใจ ก่อนยามอู่วันนี้จะต้องนำรายชื่อมาส่งให้แน่นอน” 

 

           ฉินเจิงฟังจบแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้น “ก่อนยามอู่วันนี้ ข้าคงอยู่ในตำบลที่ห่างออกไปสามร้อยลี้ หากมีเรื่องสำคัญ บอกหวาเอ๋อร์ว่าส่งคนไปหาข้าก็พอ” 

 

           ซื่อฮว่าผงกศีรษะ 

 

           ฉินเจิงตรวจสอบอีกหน ก่อนออกจากเรือนลั่วเหมย