ตอนที่ 57

Ranker’s Return

ตอนที่ 57

 

“ฮยอง! ผมคงต้องพอแค่นี้ พอดีผมมีเควสน่ะครับ” ใบหน้าของเมสันเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาอยากจะล่ากับฮยอนนผู้ที่นานๆ ครั้งถึงจะได้เจอกัน รวมถึงเล่นกับเจ้าตุ๊กตาหมีสุดน่ารักนี้ต่อไป ถึงอย่างนั้นเขาจําต้องยอมถอดใจเนื่องจากตัวเองก็มีเป้าหมายเช่นกัน

 

“ได้โปรดเรียกผมครั้งหน้าด้วยนะครับฮยอง”

 

“อื้อ! ไว้ฉันจะเรียกนายคราวหน้านะ”

 

เมื่อเมสันจากไปแล้ว ทังอีก็ดูไม่มีความสุข “เจ้ามนุษย์คนนั้นกําลังจะไปแล้วหรือ? แย่จังนะ เจ้านั้นเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าฉัน…”

 

“พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เรามีอย่างอื่นที่ต้องทํานะ”

 

ฮยอนนูออกเดินทางไปต่อคู่กับทังอี

 

***

 

กิจกรรมราชานักสู้ผู้สวมหน้ากากกลายเป็นประเด็นร้อนในหมู่ผู้เล่นที่มีชื่อเสียง รวมไปถึงเหล่านักเล่นเกมมืออาชีพทั้งหลาย มันคือโปรแกรมที่จัดขึ้นโดยไนกี้ซึ่งมีเงินทุนมหาศาลอยู่เบื้องหลัง พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมได้หากได้รับคําเชิญ

 

คังอูจองและจองบยองจินซึ่งเป็นโค้ชของเจทีเทเลคอมต่างก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน ตรงหน้าพวกเขามีคําเชิญจากไนกี้อยู่

 

“เราควรส่งผู้เล่นไปหรือควรจะปฏิเสธดี?” คังอูจองเอาแต่มองกระดาษคําเชิญ เขารู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก นักเล่นเกมมืออาชีพต้องสูญเสียอะไรมากมาย แต่สําหรับสตรีมเมอร์แล้ว ไม่เป็นปัญหาอะไรเลยหากต้องพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามแผนกงานส่วนหน้าก็มีความอ่อนไหวต่อทุกสิ่งเกี่ยวกับนักเล่นเกมมืออาชีพอยู่แล้ว

 

“ไม่มีประโยชน์หรอก”

 

การได้รับประสบการณ์ก็ถือเป็นสิ่งสําคัญสําหรับนักเล่นเกมมืออาชีพเช่นกัน พวกเขาต้องการประสบการณ์ในการประลองกับผู้เล่นหน้าใหม่ การเผชิญหน้ากับผู้เล่นต่างๆ ที่มีอํานาจเหนืออารีน่าจะเป็นเรื่องดี

 

“ตอบรับคําเชิญยังไงก็ดีกว่า”

 

“อย่างไรก็ตามผมจะไม่อนุญาตให้คุณทําเช่นนั้น” จองบยองจินพูดด้วยน้ําเสียงราบเรียบ

 

สโมสรไม่อนุญาตให้ทําเช่นนี้

 

“นี่คือไนกี้นะ คุณให้สิทธิ์ผมไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ” คังอูจองรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เขาต้องการส่ง แนวหน้าของทีมออกไปสักหนึ่งหรือสอง เพราะนี่ถือเป็นโอกาสที่ดี

 

จองบยองจินบอกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณควรร้องเรียนกับผู้จัดการ และโค้ชคนหนึ่งควรคุยกับแผนกงานส่วนหน้าหน่อยดีไหม”

 

จากนั้นจองบยองจินก็จัดการเอกสารต่างๆ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง

 

“ผมจะไปดูพวกเด็กๆ หน่อย ตั้งใจทํางานนะ สู้ ๆ!” เขาชูกําปั้นใส่คังอูจองเพื่อให้กําลังใจและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

“โอ้นี่…คุณทําให้ผมเข้าใจผิดนะ” ปัญหาของคังอูจองยิ่งมากขึ้นไปอีก

 

“พวกนายทําอะไรกันอยู่?”

 

จองบยองจินมุ่งหน้าออกจากห้องควบคุม จากนั้นเขาก็ลงไปชั้นล่างที่ผู้เล่นของเจทีเทเลคอมพักอยู่

 

“โค้ช! มาจนได้นะ”

 

“ฮยองอยู่ด้วยเหรอครับ? ตอนนี้ผมกําลังดูวีดีโออยู่เลย” คิมจินยองผู้เป็นพี่ชายคนโตของทีม และเป็นผู้เล่นอาชีพนักบวชให้การต้อนรับจองบยองจุน อายุของทั้งสองคนนั้นต่างกันสองปีทว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหนือกว่าโค้ชกับผู้เล่นมาก พวกเขาสนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ

 

“มีอะไรเหรอ? นายกําลังดูวีดีโอเกี่ยวกับอารีน่าอยู่ใช่ไหม? สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือไง?” จองบยองจนมองมันอย่างสงสัย เป็นเรื่องแปลกที่เห็นผู้ชายผู้ปกติไม่ชอบเรียนรู้จากวิดีโออารีน่ามาดูวิดีโอแบบนี้

 

“ฮยองนี้มันแตกต่างจากมาตรฐานตามปกติไม่ใช่เหรอครับ? ผมหมายถึงอาชีพนะ อาชีพมันต่างออกไป”

 

จองบยองจินนั่งลงข้างๆคิมจินยอง แล้วเริ่มดูวีดีโอนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น

 

“ฮยองรู้จักบอสใหญ่ประจําซอยไหม? น่าทึ่งมากเลยที่เขาลุยเรดคนเดียวได้ พี่ไม่คิดว่าเขามีฝีมือเก่งกว่านักดาบเยอรมันหรือนักดาบอเมริกันเหรอครับ?”

 

เสียงเอะอะของคิมจินยองทําให้จองบยองจนกระทืบเท้าเบาๆ เขายังคงจําเรื่องราวในอดีตที่ฮยอนนูทําเขาย่อยยับมาก่อนได้

 

“อื้อ! เจ้านั่นมันเก่ง แต่คําพูดพวกนั้น…”

 

“ฮยองเห็นอันนี้ไหมครับ? มาตรฐานระดับนี้เพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในท็อปของการเรดเลย พวกเด็กๆคนอื่นเทียบไม่ได้เลยครับ”

 

คิมจินยองคอยขัดจังหวะจองบยองจีนและเอ่ยคําพูดโดยไม่หยุดพัก ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ การแสดงออกของจองบยองจินก็ยิ่งดูขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น

 

“ฮยองพอก่อน ผมคิดว่าโค้ชมีอะไรบางอย่างจะพูดนะ…” ยูบินผู้เป็นสมาชิกที่อายุน้อยและนิสัยดีที่สุดของทีมเอามือปิดปากของคิมจินยองเอาไว้

 

“ใช่! ฉันมีแค่นายเท่านั้น ยูบิน” จองบยองจินส่งความขอบคุณอย่างเต็มที่ให้กับยบินก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เพียงแต่บอสใหญ่ประจําซอยกําลังเตรียมคอนเทนต์อยู่นะ”

 

“คอนเทนต์งั้นเหรอ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราเหรอครับโค้ช?” ยูบินถามจองบยองจิน ผู้เล่นที่เหลือไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาแสดงความคิดของตัวเองด้วยการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน?

 

“คอนเทนต์ก็คือการ PVP ผู้เล่นจะต้องซ่อนตัวตนของตัวเองโดยการสวมหน้ากากเหมือนกับบอสใหญ่ประจําซอย แล้วก็เผชิญหน้ากับผู้เล่นคนอื่นๆ ผู้เล่นคนอื่นๆก็น่าจะมาจากกิลด์ใหญ่

 

เว้นแต่พวกเขาจะเป็นนักเล่นเกมมืออาชีพอย่างพวกเรา แน่นอนว่าจะต้องมีสตรีมเมอร์ดังๆด้วยอย่างแน่นอน”

 

“ !!! ”

 

ตอนนั้นเองบรรยากาศก็เงียบไปพักหนึ่ง ทุกคนต่างก็พูดไม่ออกเพราะรู้สึกตกใจ คิมจินยองที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ PvP เป็นคนแรกที่รู้สึกตัวและอ้าปากค้าง “แล้วพวกเราจะไปกันไหมล่ะ?”

 

“ยังไม่ได้ตัดสินเลย แผนกงานส่วนหน้าต้องให้การอนุญาตเสียก่อน”

 

จองบยองจินส่ายหัว มันไม่มีประโยชน์สําหรับพวกเขาที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกันเองในตอนที่พวกเขายังไม่ได้รับอนุญาต มันเป็นเพียงแค่การเสียเวลาเท่านั้น

 

“ฉันอยากไป” มีคนคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาในตอนนี้ เขาคือจุงฮันแบคที่นั่งอยู่ที่มุมโซฟานั่นเอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

 

“ฮันแบค? ฉันรู้ว่านายอยากจะไปนะ แต่ว่า…” จองบยองจินกลืนคําพูดของเขาลงไป เขาไม่ต้องการทําให้ผู้เล่นของตัวเองรู้สึกผิดหวังกับเรื่องราวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน

จุงฮันแบคพึมพําขึ้นมาว่า “ถ้าทําให้ผมไปได้ละก็ ได้โปรดช่วยผมด้วยเถอะครับ วิธีไหนก็ไม่สําคัญหรอก…”

 

จองบยองจินเห็นว่าดวงตาของจุงฮันแบคนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์แปลกๆ มีความปรารถนาและความอยากอันแรงกล้าในสิ่งๆหนึ่ง ตอนที่เขาเห็นจุงฮันแบคครั้งแรก จองบยองจนคิดว่ามันเป็นแค่ความปรารถนาที่จะเอาชนะเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันคืออะไร มันคือ “เกียรติและศักดิ์ศรี”

 

“เจ้าเด็กนี้มีความลุ่มหลงในเกียรติยศมากเกินไป เขาไม่ต้องการเงินเพราะเขาเป็นเด็กที่ร่ํารวยอยู่แล้ว คงยากที่จะหยุดเขาได้

 

“ฉันจะไปพักสักหน่อย ไว้ค่อยเล่นเกมกันนะ”

 

จองบยองจินออกจากบริเวณที่พักไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

 

***

 

ตอนนี้ฮยอนนูกําลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนเกมอารีน่าอย่างปกติ เขาไม่จําเป็นต้องทําเอง ไนกี้สามารถส่งสิ่งที่เขาต้องการให้ได้อยู่แล้ว ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจําเป็นที่ฮยอนนูต้องลงมือทําเอง แม้คุณภาพข้อมูลของไนกี้นั้นจะอยู่ในระดับสูง แต่ตอนนี้ข้อมูลพวกนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรกับฮยอนนูมากนัก ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาไม่มีเงินเลยล่ะ? เขาจําเป็นต้องรู้ข้อมูลเฉพาะที่สามารถทําเงินให้เขาได้ทันที

 

“มียักษ์อยู่ในหุบเขาน้ําแข็งด้วยงั้นเหรอ?”

 

ในตอนนั้นเองหัวข้อกระทู้หนึ่งก็ไปแตะตาของฮยอนนูเข้า

 

[ยักษ์ในหุบเขาน้ําแข็งเมื่อวานนี้]

 

– เมื่อเร็วๆนี้ฉันเจออะไรแปลกๆ ระหว่างออกล่ากับสมาชิกกิลด์ในเขตหุบเขาน้ํา แข็งด้วยละ มียักษ์ตัวหนึ่งใส่เสื้อขนสัตว์เดินไปเดินมาด้วย

 

“ยักษ์ใส่เสื้อขนสัตว์เหรอ? 555” ฮยอนนูหัวเราะในขณะที่เขานึกภาพยักษ์กล้ามโตสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ จากนั้นเขาก็อ่านบทความต่อไป

 

– ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องโชคดีมากเลยนะ ฉันคิดๆดูอยู่พักหนึ่งแล้วก็พาสมาชิกกิลด์ของฉันไปคุยกับยักษ์ตัวนั้น ชัดเจนเลยว่ามันคือ NPC จากนั้นตอนที่คุยกันนะ ฉันสัมผัสอะไรบางอย่างได้ว่า ยักษ์ตัวนี้กําลังขออาหาร มันจะต้องใช่แน่ๆ มันจะต้องเป็น NPC ที่ให้เควสดีๆแน่นอน ดังนั้นฉันจึงเอาอาหารทั้งหมดออกมาจากช่องเก็บของ อาหารพวกนั้นฉันยังไม่ให้พวกสมาชิกกิลด์เลยนะ

 

แล้วพวกนายรู้เรื่องตลกอะไรไหม? พอได้อาหารไปแล้ว มันก็แค่บอกว่าขอบใจนะ แล้วก็จากไป ใครก็ตามที่ไปล่าในเขตหุบเขาน้ําแข็งควรจะระวังให้ดี มีใครบางคนรอหาของกินแล้วก็จากไปอยู่

 

ป.ล. ยักษ์ตัวนั้นดูเด็กด้วย มันบอกว่าชื่อของมันคือแคนคูน

 

“555+” ฮยอนนูไม่อาจที่จะหยุดหัวเราะได้ พอคิดว่ามีคนที่โง่ขนาดนี้ ถึงขนาดเอาอาหารราคาหลายร้อยโกลดไปให้ยักษ์ แถมยังไม่ได้รางวัลตอบแทนอะไรกลับมาอีก

 

“แคนคูนเหรอ? เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อนนะ”

 

ฮยอนนูพยายามเรียกคืนความทรงจําในช่วงเวลาที่ผ่านมา

 

“อ้อ! ยักษ์ที่หนีไปตัวนั้นไง!”

 

ในที่สุดฮยอนนูก็คิดออก เขาเคยได้ยินชื่อ “แคนคูน” มาจากหัวหน้ายักษ์มหึมาตนนั้น…แคนคูนเป็นลูกชายของแรคคูน

 

“หุบเขาน้ําแข็งนี่ระดับ 120 สินะ? หรือว่า 130 ? มันคือพื้นที่ล่าใช้ไหม?”

 

ในที่สุดพื้นที่ล่าต่อไปของฮยอนนูก็ถูกกําหนดแล้ว มันคือ “หุบเขาน้ําแข็ง” ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดว่าต้องได้เรื่องราวที่จะนําไปทําวีดีโอเจ๋งๆได้แน่

 

“ตามหายักษ์ที่มาหาของกินแล้วก็จากไป”

 

เกมอารีน่านั้นจําลองสภาพอากาศแบบสุดขั้วรูปแบบต่างๆออกมาได้เป็นอย่างดี ทะเลทรายนั้นร้อนจัด และหนองน้ําก็เปียกชุ่มจริงๆ ธีมหลักของหุบเขาน้ําแข็งคือกรีนแลนด์ในความเป็นจริง มันถูกครอบงําด้วยสภาพอากาศที่หนาวจัดตลอดปี

 

“โอ้! หนาวสุดๆ เลยทังอี”

 

หลังจากมายังหุบเขาน้ําแข็งแล้ว ฮยอนนูก็อัญเชิญทังอีออกมา

 

“ไอ้เจ้านายท่าน..รอบนี้เป็นน้ําแข็งงั้นเหรอ? ไม่ใช่เวลาที่จะไปป่าหรือไง?” ทังอีไม่สบอารมณ์ทันทีหลังจากถูกอัญเชิญออกมา ถึงจะดีที่ได้ออกจากทะเลทรายแล้ว แต่มันก็เท่านั้น ครั้งนี้หุบเขาน้ําแข็งสุดหนาวเหน็บรอคอยทังอีอยู่

 

“จะว่าไปทําไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ ไอ้เจ้านายท่าน?”

 

“ฉันมาที่นี่เพื่อหาเพื่อนของนายไง”

 

เมื่อฮยอนนูพูดแบบนั้นแล้ว ทังอีก็พยายามนึกถึงเพื่อนๆที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีเพื่อนคนไหนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อันหนาวเย็นแบบนี้เลย ถ้าหากเป็นเพื่อนที่อาศัยอยู่ในเขตลาวาละก็ ทังอีก็มีเพื่อนที่ว่านั้นอยู่คนหนึ่ง “ฉันไม่มีเพื่อนคนไหนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แบบนี้เลยนะไอ้เจ้านายท่าน อีกอย่างนายรู้ได้ไงว่าเจ้านั่นเป็นเพื่อนของฉันล่ะ?”

 

“ฉันมาหาแคนคูนน่ะ มีคนบอกมาว่าเคยเห็นเขาที่นี้”

 

“…! แคนคูนเหรอ?” ใบหน้าอันน่ารักของทั้งอีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “อา…ทําไมต้องเป็นแคนคูนกัน…”

 

“โอ้! นี่ฉันไม่ได้บอกนายเหรอ? แรคคูนวานให้ฉันส่งข้อความไปให้เขาน่ะสิ”

 

“ตาแก่คนนั้นน่ะเหรอ? เขาอยากจะพูดอะไรกันล่ะ?”

 

ฮยอนนูได้ยินน้ําเสียงของทั้งอีสั่นเครือด้วยเหตุผลบางอย่าง จริงๆแล้วมือทั้งสองของทังอีกําลังสั้นอยู่ ฮยอนนูบอกมันว่า “แรคคูนบอกว่าไม่มีเวทมนตร์อยู่ที่สร้อยคอตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นนายไม่ได้ทําอะไรผิดหรอกนะ”

 

“ว้ว! ฉันดีใจจัง โชคดีจริง ๆ”

 

“ถ้างั้นก็รีบตามหาแคนคูนกันเถอะ เราต้องพาเขากลับบ้านก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น”