บทที่ 212 สายเลือดที่ตื่นขึ้น
หลิงยู่ชานที่ในเวลานี้ร่างกายของเขาได้เปลี่ยนไปจนน่ากลัว ร่างกายของเขาที่ในตอนแรกที่ดูสมส่วนกับเด็กชายอายุ 12-13 ปี แต่ในตอนนี้ร่างของเขาที่ขยายขนาดจนมันดูเหมือนกับผู้ใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว
และที่สำคัญ ร่างกายที่ขยายใหญ่นี้ ผิวหนังของเขากลับกลายเป็นมีรอยแตกแยกคล้ายกับผืนนาที่แห้งแล้งยังไงยังงั้น
แต่ถึงแม้บนผิวหนังของเขาจะปรากฎรอยแตกมากมาย แต่รอยแตกที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมัน
เมื่อหลิงตู้ฉิงเริ่มราดเลือดที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งลงบนร่างของหลิงยู่ชาน รอยแตกต่าง ๆ ก็เริ่มที่จะสมานตัวเข้าหากัน และเลือดที่ราดลงไปก็เริ่มเกาะกับผิวหนังของเขาหนาขึ้นและหนาขึ้นจนปกคลุมร่างเขาทั้งร่างกลายเป็นคล้ายกับรังไหมสีเลือด
“ดูแลเขาให้ดี แต่เจ้าห้ามจับร่างของเขาตอนนี้เป็นอันขาด” หลิงตู้ฉิงกล่าวขึ้น
แต่เพื่อความปลอดภัย หลิงตู้ฉิงได้สร้างกำแพงวิญญาณขึ้นครอบร่างหลิงยู่ชานเอาไว้ เนื่องจากเขากลัวว่าหมิงจู้อาจจะขาดสติเป็นห่วงหลิงยู่ชานจนเข้ามาจับตัวยู่ชานและทำให้กระบวนการปลดผนึกต้องเละเทะ
“ท่านลุงหลิง ยู่ชานเขาจะเป็นอะไรไหม?” หมิงจู้ถามด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
อันที่จริงนางเองก็รู้ดีว่าหลิงตู้ฉิงไม่มีวันที่จะทำร้ายหลิงยู่ชานแน่ แต่ด้วยภาพที่นางเห็นเมื่อสักครู่มันก็เริ่มทำให้ความคิดอ่านของนางเริ่มบกพร่องไปบ้าง
“เขาไม่เป็นอะไร ข้าก็แค่ทำการปลดผนึกสายเลือดของเขา” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
“สายเลือด? สายเลือดอะไร?” หมิงจู้ถามอย่างงุนงง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้น “เจ้าจะรู้เองในอนาคต”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ได้เดินหันหลังจากไปทันที
หมิงจู้ที่ในตอนนี้ถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว นางมองไปยังรังไหมสีเลือดที่อยู่ตรงหน้านางโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ
นางในตอนนี้เดาไม่ออกเลยว่าสายเลือดของหลิงยู่ชานมันคืออะไรกันแน่ ทำไมการปลดผนึกมันจะต้องใช้วิธีการที่สุดกู่เช่นนี้กัน
จากนั้นนางจึงนั่งลงข้าง ๆ หลิงยู่ชานซึ่งได้กลายเป็นรังไหมสีเลือด ด้วยสายตาเป็นกังวล
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หลิงว่านถิงและบรรดาเด็ก ๆ คนอื่นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นและถามหมิงจู้ “พี่ใหญ่ของพวกเราเป็นยังไงบ้าง?”
หมิงจู้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ว่านถิง ก่อนหน้านี้พี่ชายของเจ้าอยู่ในสภาพร่อแร่มากเลยล่ะ ร่างกายของเขาพองตัวขึ้นจนแทบเหมือนมันจะระเบิด ข้าเองยังนึกว่าเขาจะตายแล้วซะอีก”
นางบรรยายภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับหลิงยู่ชานอย่างละเอียดให้กับรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงฟัง
ส่วนบรรดาเด็ก ๆ ที่ได้ฟังนั้นพวกเขาทำได้แต่ถอนหายใจอย่างเป็นกังวล และเดินเข้ามาปลอบหมิงจู้ จากนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ จากกันไปทีละคนปล่อยให้หมิงจู้อยู่เฝ้าหลิงยู่ชานต่อไป
หลังจากนั้น 5 วันผ่านไป แต่สถานการณ์ของหลิงยู่ชานก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ร่างของเขายังคงอยุ่ในสภาพเดิม ซึ่งคล้ายกับรังไหมสีเลือด
หมิงจู้ที่ในตอนนี้นางเริ่มที่จะอดรนทนไม่ไหวแล้ว นางจึงเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและถามว่า “ท่านลุงหลิง นี่มันก็หลายวันมาแล้วนะ ทำไมยู่ชานถึงยังไม่ฟื้นอีก มันมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับเขารึเปล่า?”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาไม่เป็นอะไร” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“แต่ท่านไม่ได้เข้าไปดูเขาหลายวันแล้วนะ ตอนนี้เขายังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย” หมิงจู้พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ภายใต้การถูกข้อร้องซ้ำ ๆ ของนาง หลิงตู้ฉิงจึงไม่มีทางและจำใจต้องเดินไปยังเรือนของหลิงยู่ชานเพื่อดูสภาพร่างกายลูกของเขา
“เห็นไหมว่าเขายังเป็นเหมือนเดิมอยู่เลย!” หมิงจู้ชี้ไปรังไหมสีเลือดและพูดขึ้น
หลิงตู้ฉิงมองไปยังรังไหมสีเลือดที่นางชี้ จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี ๆ นะ อีกไม่นานเขาจะมีความเคลื่อนไหวแน่ แต่เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าห้ามไปอยู่ใกล้กับเขาตอนที่เขากำลังจะออกมาจากรังไหมเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะควบคุมพลังไม่ได้และเผลอทำร้ายเจ้า”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงหันหลังและเดินจากไปเช่นเดิม
หลังจากหลิงตู้ฉิงจากไป หมิงจู้เองก็ได้เดินเข้าไปใกล้ ๆ รังไหมสีเลือดนั้นและนางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เมื่อนางเริ่มใจเย็นลง นางก็ได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ของหลิงยู่ชาน
“เขาคงไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม?” หมิงจู้พึมพำกับตัวนางเอง
แต่แล้วในขณะที่นางกำลังพึมพำอยู่ จู่ ๆ เสียงหัวใจของหลิงยู่ชานที่กำลังเต่นอยู่มันกำลังเริ่มดังขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นดังสนั่น
“ตุบๆ ตุบๆ ตุบๆ”
เมื่อต้องเผชิญกับเสียงเช่นนี้ หมิงจู้เริ่มรู้สึกว่าคอของนางเริ่มแห้งผาก และหัวใจของนางคล้ายกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของหลิงยู่ชาน
เมื่อนางนึกได้ถึงคำของหลิงตู้ฉิงว่าให้นางระวังไว้ นางจึงรีบถอยตัวออกมาให้ห่างจากรังไหมสีเลือดนี้ทันที พร้อมกับจ้องไปยังรังไหมสีเลือดที่ภายในของมันคือหลิงยู่ชานอย่างตกตะลึง
หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ หมิงจู้ก็ระวังตัวมากยิ่งขึ้นตราบใดที่นางรู้สึกว่านางได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นจนเป็นอันตรายกันนางมากเมื่อไหร่ นางก็จะถอยห่างออกไปมากขึ้นอีก
เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปอีก 10 วันเต็ม หลิงยู่ชานในตอนนี้ก็ยังคงไม่ออกมาจากรังไหมสีเลือด แต่ตอนนี้เสียงหัวใจของเขานั้นดังขึ้นจนผู้ที่อยู่ใกล้ภายในบริเวณ 15 เมตรจะได้รับผลกระทบแน่นอน ซึ่งแม้แต่หมิงจู้เองในเวลานี้นางก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่มองดูเขาอยู่ห่าง ๆ
นางได้แต่รอว่าเมื่อไหร่หลิงยู่ชานจะฟื้นขึ้น แต่ในขณะที่นางกำลังรออยู่นั้น จู่ ๆ นางก็ได้กลิ่นหอมลอยเข้ามาเตะจมูกนางอย่างจัง ทำให้นางรู้สึกสดชื่นไปทั้งร่างกาย
“โจวจื่อซิน?” หมิงจู้หันไปยังทิศทางที่มาของกลิ่นนี้ทันที
นางรู้ได้ทันทีว่ากลิ่นเช่นนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากโจวจื่อซิน
อันที่จริงหมิงจู้เองก็อยากที่จะไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับโจวจื่อซิน แต่เมื่อนางหันไปมองหลิงยู่ชานที่ยังไม่ตื่นขึ้นแล้ว นางก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้นทันที
ในทางด้านของโจวจื่อซิน ขณะนี้นางได้ยิ้มให้กับหลิงตู้ฉิงที่ยืนอยู่ข้างนางและพูดว่า “นายท่าน ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างบ้างแล้ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและตอบกลับ “เจ้าได้ปลุกสายเลือดพฤกษาสวรรค์ของบรรพบุรุษเจ้าขึ้นมาแล้ว ต่อไปเจ้าจะสามารถใช้ความสามารถของสายเลือดนี้ได้เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเจ้าใช้ได้”
โจสจื่อซินเมื่อได้ยินเช่นนี้นางรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย “แต่นายท่าน ข้าไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่เลย มันก็แค่เป็นความสามารถที่สามารถควบคุมเหล่าพืชพรรณพฤกษาได้แค่นั้น”
“พลังของสายเลือดพฤกษาสวรรค์ คือพลังที่สามารถบงการพืชพรรณทุกชนิดได้ทั้งหมด ถ้าหากเจ้ารู้จักใช้งานมัน เจ้าจะสามารถทำให้พืชไม่ว่าจะชนิดไหนก็ตามทำให้มันตายก็ได้หรือจะต่อชีวิตให้มันก็ได้”
“และเจ้ายังสามารถควบคุมเหล่าสมุนไพรวิญญาณหรือแม้กระทั่งบัญชาการเหล่าภูติพฤกษาให้พวกเขาสู้เพื่อเจ้าในอนาคตก็ย่อมได้ และทรงพลังที่สุดก็คือเจ้าสามารถปล้นพลังชีวิตจากเหล่าพืชพรรณที่อยู่รอบกายให้มาเสริมความแข็งแกร่งให้เจ้าได้ แต่ข้าไม่แนะนำวิธีนี้ให้เจ้าใช้สักเท่าไหร่หากเจ้าไม่ถึงคราวจวนตัวจริง ๆ เนื่องจากวิธีนี้มันจะเป็นการสร้างบาปให้กับตัวเจ้าอย่างใหญ่หลวง เอาล่ะเมื่อได้ยินทั้งหมดนี่เจ้ายังคงคิดว่าสายเลือดของเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรอีกไหม?” หลิงตู้ฉิงอธิบาย
โจสจื่อซินที่ได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ นางก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นและถามต่อด้วยความสนใจ “มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นนายท่าน ข้าควรจะทำอะไรต่อไปดี?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ตอนนี้น่ะเหรอ แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าต้องทำให้เหล่าผู้คนที่กำลังจับตาดูเจ้าอยู่ ให้พวกเขาทั้งหมดทุกคนรู้ว่าตอนนี้สายเลือดของเจ้าได้ตื่นขึ้นแล้ว และจากนั้นบรรดาคนผู้คนที่รอกินเจ้าก็จะรีบนำบรรดาสมุนไพรมามอบให้เจ้าได้บ่มเพาะมากขึ้นแน่นอน”
โจวจื่อซินยิ้มอย่างเข้าใจแผนของหลิงตู้ฉิง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะต้องทำยังไงบ้างนายท่าน?”
“เจ้าก็แค่ต้องแสดงกลิ่นอายของเจ้าให้พวกเขารู้ เอาล่ะเอาหยดเลือดของเจ้าหยดลงไปที่หลิงจู้ 1 หยด แล้วเดี๋ยวมันจะช่วยแพร่กลิ่นอายสายเลือดของเจ้าไปทั่วทั้งเมืองหลวงให้เอง” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
“รับทราบแล้วนายท่าน” โจวจื่อซินหัวเราะคิกคักพลางหยดเลือดลงไปบนหลิงจู้ ซึ่งกำลังจะช่วยนางแพร่กลิ่นอายสายเลือดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
จากนั้นในเวลาเพียงครู่เดียว กลิ่นอายสายเลือดพฤกษาสวรรค์ของโจวจื่อซินก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง
“กลิ่นอายของสายเลือดพฤกษาสวรรค์!” ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่จับตาดูโจวจื่อซินอยู่ในเมืองหลวง ต่างพากันมองไปยังทิศทางของคฤหาสน์สราญรมย์เป็นสายตาเดียวกัน