ตู๋กูซิงหลันนั่งลงบนม้านั่งตรงข้ามสระน้ำ สุ่มหยิบเอาผลไม้ที่แวววาวดุจอัญมณีขึ้นมาลูกหนึ่ง ค่อยหันไปคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้พระองค์
ผลไม้ที่แดงสดใสนั้นถูกคีบอยู่บนปลายนิ้ว ประกบลงไปบนกลีบปากที่แดงฉ่ำปานกลีบดอกไม้นั้นอย่างช้าๆ เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่ง ก็ปรากฎน้ำผลไม้สีแดงใสออกมา น้ำผลไม้บนริมฝีปากไหลลงไปถึงปลายคาง
จากนั้นค่อยหยดลงไปบนลำคอที่งามระหง ตู๋กูซิงหลันใช้ปลายนิ้วลูบเช็ดขึ้นมาเบาๆ น้ำผลไม้ที่เปรอะบนปลายนิ้ว ถูกนางละเลียดลงไปคำหนึ่ง จากนั้นค่อยหันไปตอบคำถามจีเฉวียน “ฝ่าบาท ทรงเดาสิเพคะว่าหม่อมฉันจะเดาหรือไม่? “
ไอน้ำระเหยเป็นม่านหมอก จีเฉวียนมองดูกิริยาของนาง ช่างเป็นนางมารที่ล่อลวงวิญญาณผู้คนโดยแท้
เพียงแค่ดวงตาดอกท้อคู่นั้น ก็ราวกับบึงน้ำลึกสุดหยั่งที่ดึงดูดผู้คนให้จมลงไป
ทั้งๆ ที่การแต่งกายของนางมิได้งดงามเลยสักนิด ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าจืดชืดไร้ความน่าดู แต่ว่าในช่วงขณะนั้นกลับทรงรู้สึกว่าไม่อาจละสายพระเนตรไปจากนางได้ ราวกลับว่าแสงสว่างใดๆ ในสระเย่วหัวล้วนถูกนางกลบรัศมีไปเสียจนสิ้น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้พอดูได้ไม่ขัดหูขัดตาอยู่บ้าง พระองค์ก็ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่านางน่าดูมาขึ้นเรื่อยๆ น่าดูจนถึงขนาดที่ทรงรู้สึกว่าน่าดึงดูดเสียแล้ว
ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าพระองค์ประชวรเข้าแล้ว! ทั้งยังประชวรไม่น้อยทีเดียว! นี่จะต้องเป็นเพราะว่าสายพระเนตรเกิดปัญหาขึ้นแล้วเป็นแน่
ความสามารถทางการแพทย์ของหมอหลวงซุนอย่างไรเสียก็ต้องมีขีดจำกัดจึงได้ตรวจไม่พบพระอาการประชวร สมควรที่จะทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวหมอที่มีฝีมืออีกสักชุดเข้ามาในวังแล้ว
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้รู้สึกพระองค์ขึ้นมา ทรงหรี่พระเนตรหงส์มองดู “เจ้าเดาสิว่าเราจะเดาเจ้าหรือไม่เดา? ดูท่าเจ้าจะดื้อดึงมากเกินไปแล้ว คำถามของเรา มีหรือให้เจ้าถามกลับได้? “
สมควรจับตัวนางมาฟาดยิ่งนัก นางจะได้รู้ว่าอะไรคือรับสั่งฮ่องเต้ไม่อาจขัดขืน!
ตู๋กูซิงหลันยังลิ้มรสผลไม้สีแดงนั้นต่อไป กลีบปากของนางถูกย้อมไปด้วยน้ำผลไม้ ทำให้ริมฝีปากนั้นดึงดูดผู้คนมากกว่าเดิม นางหันมาคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้กับจีเฉวียน “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงรู้ว่าข้าโง่เขลา ไหนเลยจะคาดเดาได้ว่าเสียนไท่เฟยกล่าวอะไรไป? ขอทรงโปรดเมตตาอย่าปิดบัง อย่าได้กลั่นแกล้งหม่อมฉันอีกเลยเพคะ “
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งยังมีอารมณ์ของสาวน้อยอยู่หลายส่วน
เมื่อมองดูนางผ่านไอน้ำ จีเฉวียนก็เกือบจะถลำตัวเชื่อคำพูดไร้สาระเหล่านั้นเข้า เขาขยับตัวเปลี่ยนอริยาบท จนน้ำในสระเกิดแรงกระเพื่อม
” นางเตือนเราเรื่องท่านย่าของเจ้า เจียงเย่วฮูหยิน “
ตู๋กูซิงหลัน “เอ๋? “
จีเฉวียนมิได้รีบร้อนอธิบายให้นางฟัง หากถามกลับว่า ” เจ้าเคยได้ยินเรื่องแคว้นต้าเย่วหรือไม่? “
นางทางหนึ่งกินผลไม้ทางหนึ่งก็ผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจเท่าใด “ก็ได้ยินมาบ้าง”
หลังจากที่เกิดคดีของเสียนไท่เฟยแล้ว ทั่วสังคมภายนอกผู้คนต่างก็ถกเถียงเรื่องแคว้นต้าเย่วกันใหญ่ นางจะอย่างไรก็ได้ฟังมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็ไม่พ้นเรื่องแคว้นต้าเย่วมีทหารศพมีชีวิตอยู่จำนวนหนึ่ง และเสียนไท่เฟยมีความเกี่ยวพันกับแคว้นต้าเย่ว
” เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินคนในครอบครัวพูดไหมว่า เสียนไท่เฟยและเจียงเย่วฮูหยินมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไรแน่? “
พอจีเฉวียนถามคำถามนี้ออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ชะงักไปเล็กน้อย นางทราบดีว่า ที่ผ่านมาตระกูลตู๋กูดีต่อเสียนไท่เฟยอย่างยิ่ง แต่ว่าที่แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นไร กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ดูจากกิริยาของเจ้าแล้ว ก็จะไม่ทราบเป็นแน่ ” จีเฉวียนดึงสายตากลับมา มองดูกลีบดอกกุ้ยที่ลอยอยู่บนสระน้ำ สายพระเนตรพลันอึมครึมขึ้นมาอีก
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่พระองค์จึงได้ตรัสว่า ” เสียนไท่เฟย เดิมชื่อว่า เจี่ยงเวย เมื่อสามสิบปีก่อน ภายใต้ความขัดสนไร้หนทางจึงถูกเจียงเย่วฮูหยินรับตัวไว้ ต่อมา ภายใต้การจัดการของเย่วฮูหยิน เจี่ยงเวยได้กลายเป็นนางกำนัลพระจำพระองค์ของเสด็จแม่ “
” ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่า ตั้งแต่วันนั้นที่นางได้พบกับเสด็จแม่ ก็เป็นหมากที่เย่วฮูหยินวางเอาไว้ “
ตู๋กูซิงหลันตั้งใจฟังอย่างละเอียด จนหัวคิ้วขมวดมุ่น “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ เสียนไท่เฟยเป็นคนของท่านย่าหม่อมฉัน? นางตั้งใจส่งตัวเสียนไท่เฟยมาอยู่ข้างกายฉางซุนฮองเฮา เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับอดีตฮ่องเต้? “
ข้อมูลนี้มีที่มายิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่นางกลับคิดหาสาเหตุที่ท่านย่าต้องการกระทำเช่นนั้นไม่ออก
จีเฉวียนเหลือบตามองดูนางคราหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่คนโง่จริงๆ “
ตู๋กูซิงหลันยังไม่คลายมือจากผลไม้ นางกัดลงไปอีกคำใหญ่ด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาทส่งปรีชากล้าหาญเหนือผู้คน คำพูดของนางเพียงไม่กี่คำ ก็ทรงเชื่อแล้วหรือ? “
” เจ้าไม่จำเป็นต้องมาทำยกยอเสริมหมวกให้เรา เรามิใช้ผู้นำที่มัวเมา ทั้งยังไม่ใช่ตัวโง่เขลา ” ผิวบนพระพักตร์ของฝ่าบาทถูกยาในสระรมจนมีเหงื่อออกบางๆ ชั้นหนึ่ง ความเจ็บปวดที่มีอยู่ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
พระองค์ประทับยืนอยู่กลางสระ เสด็จเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอีกหลายก้าว คนช่างงดงาม รูปร่างก็ยิ่งเลิศล้ำ แต่ว่าท่วงท่ายามเดินเหินกลับกระบิดกระบวยอยู่บ้าง
หากไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ คงจะต้องสงสัยแน่ว่า เขาถูกท่านราชครูรังแกจับพลิกคว่ำบนเป็นล่างมาแน่นอน
กระทั่งในที่สุดยามเมื่อเขาเสด็จเข้ามาใกล้ตู๋กูซิงหลัน ก้าวผ่านไอน้ำที่บดบังนางไป เขาก็ตรัสอีกว่า ” ดอกไฮ่ถางในพระตำหนักเฟิงหมิงและตระกูลตู๋กู ที่ใดผลิบานได้งดงามกว่ากัน? “
พออยู่ดีๆ ก็ถูกถามขึ้นมาเช่นนี้ ในสมองของตู่กูซิงหลันก็บังเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาทันที
“ความหมายของฝ่าบาทก็คือ…….”
จีเฉวียนจ้องมองนาง ก็เห็นว่าสีหน้าของตู๋กูซิงหลันแปลกประหลาดไปในทันที
พระองค์คลายพระขนง สตรีผู้นี้ฉลาดล้ำจริงๆ เพียงแค่กระตุ้นก็รู้ได้ทันทีว่าปัญหาอยู่ที่ใด
นี่ก็สมควรอยู่บ้าง อาศัยฝีมือของนางเพียงคนเดียวก็สามารถล่อลวงให้เสียนไท่เฟยกระโดดลงไปในกับดักได้ นางจะเป็นคนโง่ไปได้อย่างไร
พอเขาครุ่นคิดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินนางกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท พระองค์คงมิได้พอพระทัยในสวนไฮ่ถางของบ้านเรา คิดจะสั่งให้คนไปขุดมาใช่ไหม? ยามนี้เป็นฤดูหนาวแล้ว ต้นไม้ยากที่จะรอดชีวิตได้ ดอกไฮ่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงก็งดงามมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาที่บ้านของหม่อมฉันมาหรอกมั้ง? “
สมองของสตรีผู้นี้ ทำไมวันๆ ถึงได้เอาแต่พะวักพะวงอยู่กับสมบัติข้าวของมีค่า!
” ก็พระองค์ทรงเอามาทุกอย่าง แม้แต่เก้าอี้กุ้ยเฟยของหม่อมฉันยังยกมาด้วย…..” ตู๋กูซิงหลันยังไม่ลืมเตือนเขาเสียงเบา
ไม่ต้องพูดถึงว่าเก้าอี้ตัวนี้ของนางนั่งสบายหรือไม่ แค่มองดูอัญมณีเม็ดใหญ่ที่ฝังอยู่บนนั้น คนก็รู้สึกอารมณ์ดี ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
จีเฉวียน “………” แค่เก้าอี้ตัวเดียว มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือ? เอาแต่เสียดายไม่ยอมยกให้เขาอยู่ได้ นี่ยังคิดจะทวงกลับไปอีกรึ!
ผู้คนมากมายคิดจะมอบสิ่งของให้เขา เขายังไม่เหลือบแลแม้แต่น้อย!
อย่าว่าแต่ ใครกันที่เคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าจะดูแลเขาเหมือนดั่งบุตรในอุทร นี่นางดูแลลูกแบบนี้หรือไง?
พอไม่ทันระวัง ฮ่องเต้ก็ถูกนางลากออกนอกเรื่องไปแล้ว “เก้าอี้ที่ได้รับความโปรดปรานจากร่างกายของเรา ก็ย่อมต้องเป็นของเรา หากว่าเจ้ายังเสียดายละก็ เราอนุญาตให้เจ้ามานั่งที่พระตำหนักตี้หัวได้บ่อยๆ
พอได้ฟังเข้า เจ้าวิญญาณทมิฬก็โผล่ออกมาอีกครั้ง! “เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คือพวกจี้ปล้นโดยแท้! หลันๆ จะให้อั้วลงมือกัดเขาอีกรอบไหม? ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าควรจะงับลงไปที่ตรงไหน ฮืมๆ “
” คราวนี้รับรองว่าต้องสำเร็จ เอาให้มันสิ้นลูกสิ้นหลานไปเลย”
ตู๋กูซิงหลันกรอกตามองเจ้าถวนจื่อบนบ่า ก็เห็นใบหน้าของมันแสยะแยกเขี้ยว กระเ**้ยนกระหือรือเสียจนมือป้อมๆ นั้นสั่นน้อยๆ
พอสมองของนางลองจินตนาการภาพเจ้าวิญญาณทมิฬกัดฮ่องเต้ในสมอง นางก็รู้สึกขนอ่อนลุกทั่วตัว คนก็พลอยรู้สึกตะครั่นตะครอไปด้วย
นางรีบจัดการกดหัวมันกลับลงไปในทันที จากนั้นพอหันกลับก็พบว่าฝ่าบาทผู้ถูกนินทาอยู่นั้นกลับไปมีสีพระพักตร์เป็นภูเขาน้ำแข็งอีกครั้ง
” พระตำหนักเฟิ่งหมิง เป็นสถานที่ที่ปฐมกษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อสตรีในดวงใจ เพราะได้ฟังว่าสตรีผู้นั้นชื่นชอบดอกไฮ่ถางเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นทั่วทั้งพระตำหนักเฟิ่งหมิงจึงเต็มไปด้วยดอกไฮ่ถาง “
จากนั้น นางก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสเสริมอีกว่า “องค์หญิงองค์สุดท้ายของแคว้นกู่เย่ว์ ก็โปรดปรานดอกไฮ่ถางเป็นอย่างมาก “