” ผู้คนใต้หล้าต่างพูดกันว่า ยามที่ปฐมกษัตริย์เสด็จปราบปรามแคว้นกู่เย่ว์ ได้ประหารชาวเผ่ากู่เย่ว์จนสิ้น แต่กลับไม่ทราบว่า ปฐมกษัตริย์ทรงละเว้นชีวิตของคนผู้หนึ่งไว้ ทั้งยังนำตัวนางกลับมายังเมืองหลวงด้วย “
“สตรีที่ถูกนำกลับมาจากแคว้นกู่เย่ว์ผู้นั้น แม้ตายก็ไม่ขอยอมเข้าวัง สุดท้าย นางก็แต่งให้กับตระกูลตู๋กู กลายเป็นนายหญิงของตระกูลตู๋กูไป “
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเหลือบพระเนตรมองม้วนอักษรไม้ไผ่บนโต๊ะข้างตัวนาง “สิ่งนี้เป็นสารลับของปฐมกษัตริย์ที่เก็บงำอยู่ในพระตำหนักเฟิงหนิง ทั้งหมดคือบันทึกยามที่ปฐมกษัตริย์ทรงคิดคำนึงถึงนาง “
บันทึกที่เก็บซ่อนความคะนึงหาและความรักทั้งหมดที่ปฐมกษัตริย์ทรงมีให้กับเย่วฮูหยินถูกเก็บรักษาเอาไว้บนชั้นบนสุดของหอสูงในพระตำหนักเฟิงหนิง กุญแจประจำหอสูงนั้นมีแต่ฮ่องเต้ในแต่ละรุ่นสามารถถือครองไว้
ปฐมกษัตริย์ทรงทิ้งรับสั่งเอาไว้ หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ต่อๆ ไปขึ้นครองราชย์ จะต้องเสด็จมาเปิดดูห้องชั้นบนของพระจำหนักเฟิงหนิงด้วยพระองค์เอง ทำความเข้าพระทัยความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของต้าโจวและแคว้นกู่เย่ว์ ทั้งยังมีราชโอการให้ฮ่องเต้ในรุ่นหลังล้วนต้องให้ความเคารพต่อเย่วฮูหยิน
ทั้งยังย้ำเตือนพวกเขาเรื่องการครองตนของผู้นำ อย่าได้กระทำผิดพลาดเช่นที่พระองค์ทรงเคยกระทำในตอนนั้น
ดังนั้นจีเฉวียนจึงทรงทราบฐานะของเย่วฮูหยินตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อได้พบเจอกับเรื่องประหลาดลี้ลับต่างๆ ในสุสานของเย่วฮูหยิน เขาจึงได้ไม่ประหลาดใจอันใด
รวมถึง ยามที่ได้เห็นว่าตู๋กูซิงหลันมีความสามารถในการใช้ยันต์และปราบปีศาจพวกนั้นด้วย เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาดจนเกินเลย เพราะเดิมที่แคว้นกู่เย่ว์เองก็เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดลี้ลับเหล่านี้อยู่แล้ว นางซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลังของเย่วฮูหยิน จะมีความสามารถแปลกๆ พวกนี้อยู่บ้าง ก็อยู่ในความคาดคะเนของเขาอยู่แล้ว
แต่ว่าที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ระหว่างเสียนไท่เฟยและเย่วฮูหยินยังมีความสัมพันธุ์อีกชั้นหนึ่งอยู่ด้วย
บันทึกไม้ไผ่ที่อยู่บนโต๊ะเหล่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งของล้ำค่าของปฐมกษัตริย์ที่เก็บเอาไว้ในหอสูง นี่เป็นเพียงเรื่องราวความรักของชายหญิง แต่ไม่ได้เปิดเผยความเล้นลับใดๆ
ตู๋กูซิงหลันเปิดออกดู ประโยคแรกนั้นเขียนไว้ว่า “เจียงเย่วที่รักของเรา…..”
เนื้อหาล้วนหนีไม่พ้นความคิดคำนึงสุดหยั่ง ความเจ็บปวดรวดร้าว โศกเศร้า และเสียดาย
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าสองมือเหน็บชาไปหมดราวกับขาดเลือด!
ในสมองของนางยามนี้สับสนวุ่นวายไปหมด…….หลังจากครุ่นคิดจัดลำดับอยู่อีกครึ่งค่อนวันถึงได้ข้อสรุปออกมาบ้างเล็กน้อย
” ความหมายก็คือ ท่านย่าของข้าเป็นองค์หญิงของแคว้นกู่เย่ว์ ปู่ของท่านกับปู่ของข้าเป็นศัตรูความรักกัน? ท่ามกลางความรักสามเส้าที่วุ่นวายนี้ ปู่ของข้าคือผู้ที่ได้ชัยในที่สุด? ท่าเช่นนั้นปู่ของข้าก็นับว่าสุดยอดไปเลย! แม้แต่สตรีในดวงใจของปฐมกษัตริย์ก็กล้าแย่งมา เจ๋ง! “
ดูเอาสิในบันทึกลับของปฐมกษัตริย์นี้เต็มไปด้วยความคิดคะนึงหาอย่างที่สุด เรียกว่าแทบจะควักหัวใจออกมาเลย
ท่านปู่สามารถชิงท่านย่ามาจากพระหัตถ์ของเขาได้ นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!
จีเฉวียน “…..” เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมการจับประเด็นของตู๋กูซิงหลันถึงได้ประหลาดถึงเพียงนี้
” ดูท่าเจ้ายังฟังคำพูดของเราไม่เข้าใจสักเท่าไหร่นัก ” สีพระพักตร์ของจีเฉวียนเย็นชาอย่างยิ่ง “แคว้นต้าโจวปราบปรามแคว้นกู่เย่ว์ เย่วฮูหยินคือผู้สืบทอดสายโลหิตของผู้ครองแคว้น การที่นางอบรมดูแลเสียนไท่เฟยมาด้วยตนเอง มีสิทธิ์อย่างมากที่จะทำไปเพื่อทำลายแคว้นต้าโจว”
ตู๋กูซิงหลันลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด หากว่าเรื่องนี้เป็นจริงละก็ ด้วยความโกรธแค้นที่ล่มชาติ ทำลายล้างบ้านเมือง หากว่าท่านย่าคิดจะล้างแค้นก็นับว่าเข้าใจได้อยู่
ปฐมกษัตริย์คือศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน นางย่อมไม่มีทางยอมแต่งให้กับปฐมกษัตริย์เป็นแน่
ดังนั้นจึงได้อบรมเลี้ยงดูเสียนไท่เฟยขึ้นมา เหตุผลเช่นนี้ก็พอจะกล่าวได้อยู่
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ตอบกลับว่า “หากว่านางคือคนที่ท่านย่าของหม่อมฉันอบรมเลี้ยงดูจริงๆ ละก็ สมควรที่จะดูแลทะนุถนอมหม่อมฉันต่างหาก หากว่าไม่ใช่เพราะว่าหม่อมฉันมีไหวพริบอยู่บ้าง ก็คงจะถูกนางให้ร้ายจนกลายเป็นปีศาจ ถูกเผาเป็นขี้เถ้าไปแล้ว “
” ยิ่งไปกว่านั้น ท่านย่าก็จากโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว ปากอยู่บนร่างของเสียนไท่เฟย นางคิดจะใส่ความท่านย่าของหม่อมฉันอย่างไร ท่านย่าก็ไม่มีโอกาสอธิบายแก้ต่างได้ เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงรีบร้อนตัดสิน “
ตู๋กูซิงหลันกล่าวจนจบแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจีเฉวียนจะทรงมีดำรัสตอบเช่นไร พระองค์พิงอยู่กับขอบสระ ดวงเนตรหงส์นั้นเอาแต่จดจ้องมายังนาง มองเสียจนหัวใจของตู๋กูซิงหลันรู้สึกคันยุกยิกขึ้นมา
ทันใดนั้นราวกับคิดขึ้นมาได้ว่า เรื่องของท่านย่า แม้แต่เจ้าของร่างเดิมและเชียนเชียนต่างก็ไม่เคยได้รู้มาก่อน พี่ใหญ่เองก็ไม่เคยกล่าวถึง เรื่องนี้ย่อมเป็นความลับอย่างที่สุดเป็นแน่ แล้วทำไมเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ถึงได้เอามาบอกนางง่ายๆ?
หากว่าเขาเกลียดชังนาง ทำไมถึงได้เล่าให้นางฟังราวกับเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง?
นี่…..คงไม่ใช่ว่าคิดจะให้นางได้ตายอย่างเข้าใจมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคิดได้แล้วก็ลูบไล้ลูกกระเดือกของตนเอง ค่อยๆ กลืนน้ำลายที่ไร้รสชาติลงไปคำหนึ่ง ” ฝ่าบาท คงไม่ใช่เพราะว่าฐานะของท่านย่า พระองค์จึงคิดจะเอาชีวิตน้อยๆ ของหม่อมฉันหรอกนะ? “
” ศีรษะของเจ้าจะคิดเป็นเงินได้สักเท่าไร? เราจะเอามาทำอะไร? “
” จริงด้วยๆ เพคะ ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น! ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ศีรษะของหม่อมฉันยังน่าดูอยู่มาก เก็บเอาไว้ดู ล้างตาบ้างนับว่ามีประโยชน์มาก “
ตู๋กูซิงหลันว่าพลางก็ไม่ลืมมองดูเงาของตนเองที่สะท้อนอยู่ในถ้วยน้ำชา อืม….นับว่างดงามมากจริงๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนางที่ทำท่างทำทางเข้าข้างตนเองอย่างจริงจัง มุมโอษฐ์ก็ชักจะกระตุกขึ้นมา ” เราชักจะรู้สึกว่าศีรษะของเจ้าก็น่าดูไม่เลว หากว่าตัดออกมาคงจะขายได้หลายเงินอยู่ไม่น้อย “
” ต่อให้ขายไม่ได้เงิน แต่ว่าแขวนเอาไว้ในห้องเป็นของตกแต่งอย่างหนึ่ง ก็นับว่าดูไปสบายตาดีไม่เลวเลย “
” หรือต่อให้ทำเป็นของตกแต่งไม่ได้ เอาไปตุ๋นลงหม้อก็คงจะได้รสชาติดีมาก”
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” ไอ้หนุ่มนี่เป็นมารปีศาจหรือยังไง? หรือเป็นเผ่าโบราณที่กินคนกัน?
ถ้าหากจะตัดก็ต้องเป็นนางที่ตัดหัวสุนัขของเขาลงมามากกว่ามั้ง?
นางฝืนยิ้มออกมา แม้แต่นิ้วมือที่ยังเปรอะเปื้อนน้ำผลไม้ก็ยังสะบัดเป็นพัลวัน “อยู่ดีๆ หม่อมฉันก็รู้สึกว่าตนเองอัปลักษณ์มาก อัปลักษณ์อย่างที่สุดไปเลย อัปลักษณ์เสียจนทำให้ปวดตา ไม่เหมาะจะทำของตกแต่งเลยสักนิด! หากว่าเสวยศีรษะของหม่อมฉันเข้าไปก็อาจจะทำให้กลายเป็นคนโง่ได้! “
พอเห็นนางตื่นตระหนกราวกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงลอบแย้มสรวลอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงค้นพบว่าสตรีผู้นี่ยามเฉลียวฉลาดก็ปราดเปรียวอย่างที่สุด ยามโง่เขลาขึ้นมานั้น….อืม ……..คล้ายกับว่าจะมีความน่ารักอยู่บ้าง
พอดำริได้เช่นนี้ สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ! ดวงตาของเขาชักจะอาการหนักเข้าไปทุกที ถึงได้อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า สตรีที่ใจดำทั้งยังรู้จักเสแสร้งผู้นี้น่ารัก?
พระองค์รีบหุบยิ้ม แล้วตรัสเสียงเบาๆ ว่า “หากว่าเจ้ารู้จักประมาณตนเองก็นับว่าดีแล้ว “
วิญญาณทมิฬ “ดูสิอั๋วว่าแล้วไหมละ? ปากของบุรุษนั้นหลอกลวงเสียยิ่งกว่าผีทั้งหลาย เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังบอกว่าเจ้าเป็นเซียนหญิงอยู่เลย! “
ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท ในเมื่อหม่อมฉันหน้าตาอัปลักษณ์ ก็จะไม่ขออยู่ที่นี่ให้ระคายเคืองพระเนตรแล้ว ขอประทานอนุญาตทูลลากลับไปเก็บตัวเสียเดี๋ยวนี้ รับรองว่าจะไม่ปรากฎตัวขึ้นเบื้องพระพักตร์อีกเพคะ “
ได้ยินแล้วไหมละ? เมื่อครู่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นหัวเราะเยาะใคร? รสชาติเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตร …….ครู่ใหญ่ถึงได้กล้ำกลืนโทสะที่เกือบจะระเบิดออกมาลงไปได้ นางช่างสมควรตายไปเสีย!
ตู๋กูซิงหลันพูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันได้ลุก กลับได้ยินรับสั่งเย็นชาขึ้นมาว่า “ก็ลองเดินไปก้าวหนึ่งดู เราจะได้ตัดขาของเจ้าทิ้ง! “
ตู๋กูซิงหลัน “……..” พูดจริงหรือเปล่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขอย่าคิดจะมาบีบนางให้จนมุม ประเดี๋ยวแม่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ระเบิดบึ้มขึ้นมาจับเจ้ามาสับโช๊ะจบเลย
นางสงบนิ่งอยู่ที่เดิม กลับเห็นฮ่องเต้กวักพระหัตถ์เรียก “มาที่ข้างกายเรา “