ตอนที่ 123 ยิ่งนางพยายามหลีกหนี เขาก็ยิ่ง........

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

น้ำเสียงของเขากดต่ำ ทั้งๆ ที่ระยะระหว่างพวกเขาทั้งสองยังห่างอีกช่วงใหญ่ แต่กลับทำให้นางรู้สึกว่า ถูกกระซิบอยู่ที่ข้างหู และเสียงนั้นก็สะท้อนเข้าไปในหัวใจของนาง 

 

 

เพียงประโยคเดียว และสายพระเนตรเช่นนั้น ยามเมื่อจอมมารผู้นี้ใช้ออกมา ยิ่งปรากฎแรงดึงดูดชวนหลงใหลที่ไร้รูปลักษณ์ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักค้างไปชั่วครู่ ก็ค่อยลุกขึ้นยืน เดินก้าวเข้าไปใกล้เขา 

 

 

น้ำในสระล้นออกมาบนขอบอยู่เล็กน้อย กลิ่นยาที่เข้มข้นระเหยเข้าจมูก พอน้ำอุ่นในสระล้นออกมาและซึมโดนรองเท้าของนาง ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา 

 

 

ช่างสมควรตาย……เมื่อครู่นางถึงกับหลงใหลไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขจนถึงกับลืมตัวไป 

 

 

นางก้มศีรษะลงมองรองเท้า พอดีกับที่ฮ่องเต้ก็หันพระพักตร์ไปเช่นกัน  

 

 

เขารับสั่งออกไปว่า ” ถอดรองเท้าเสีย “ 

 

 

นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งเพิ่มว่า ” รองเท้าเหยียบโดนโคลน จะทำให้น้ำในสระของเราสกปรก “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……..” นางเกือบจะลืมไปแล้ว คนผู้นี้ชิงชังความสกปรกอย่างที่สุด!  

 

 

นางยืนอยู่ที่ริมสระ ไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรหงส์หันมามอง “ทำไม เท้าเหม็นเสียจนไม่กล้าถอดรองเท้ารึไง? “ 

 

 

พอเขาตรัสขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็รีบรับคำเสียงสูงในทันที ” เหม็น! เหม็นสุดๆ ไปเลย เหม็นเสียยิ่งกว่าก้อนมูลของราชาหมาป่านั่นเสียอีก! ฝ่าบาทอย่าได้ทรงทำให้พระองค์ต้องทรงลำบากเลย “ 

 

 

พอนางกล่าวเช่นนี้ จีเฉวียนก็ขมวดพระขนงมุ่น จมูกของเขานี้ ต่อให้ผู้ใดสวมใส่รองเท้าปิดบังเอาไว้เขาก็ยังคงสามารถได้กลิ่นเช่นกัน หากว่าเป็นกลิ่นที่เหม็นยิ่งกว่ามูลของราชาหมาป่า แล้วจมูกนี้ยังดมไม่ออกละก็ จมูกเช่นนี้เขาไม่ต้องมีเสียก็ได้!  

 

 

บนร่างของตู๋กูซิงหลันมีกลิ่นของดอกกุหลาบอยู่ตลอดเวลา หอมยิ่งนัก 

 

 

นางยิ่งพยายามหลีกหนี เขาก็ยิ่งอยากให้นางถอดออกมา!  

 

 

” เหม็นก็ดีเลย จะได้ใช้สระยาของหมอหลวงซุนล้างให้สะอาด! ” ฝ่าบาททรงออกความเห็น ราวกับว่าที่เขาอนุญาตให้นางสามารถใช้เท้าเปล่าแช่ลงในสระเย่วหัวของพระองค์เองได้นั้น ถือเป็นบุญของนางมากแล้ว ไหนเลยจะมาทำท่ากระบิดกระบวนไปอีกทำไม?  

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” หากว่านางมิได้จำผิดละก็ ไอ้หนุ่มนี้รังเกียจกลิ่นเหม็นไม่ใช่หรือ?  

 

 

ทำไมถึงคราวนางก็ทำเป็นไม่ยี้ขึ้นมาแล้วละ? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสุสาน นางเคยผายลมใส่หน้าเขาแล้วครั้งหนึ่ง …เขาก็ไม่ได้ตามมาต่อว่าต่อขานนาง 

 

 

ตอนนี้จะเอาน้ำล้างเท้าของนางแช่ตัว…..ดูท่าสมองของเขาคงจะมีปัญหาอุดตันเข้าบ้างแล้วละมั้ง?  

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ตู๋กูซิงหลันถึงได้กล่าวว่า ” ฝ่าบาท พระองค์แน่พระทัยหรือว่าจะให้หม่อมฉันถอดรองเท้า? “ 

 

 

” ถอด ” สีพระพักตร์ฮ่องเต้มีความแน่วแน่อยู่เต็มเปี่ยม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีรออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดค่อยขยับตัว นางทางหนึ่งขยับมือ ทางหนึ่งก็กล่าวว่า ” ฝ่าบาท นี่เป็นพระองค์รับสั่งให้หม่อมฉันถอดเองนะเพคะ หากว่าเกิดเรื่องใดขึ้นอย่าได้มาโทษกันละ “ 

 

 

จีเฉวียนพระพักตร์ไม่เปลี่ยนแปลง ” แค่ถอดรองเท้ายังจะมีเรื่องใดได้ เจ้าถอดเรียบร้อยแล้ว เราจะไม่ถือโทษ “ 

 

 

เขาตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่กล้าบิดพลิ้วอีก จากเท้าซ้ายก็ขยับมาเท้าขวา นางรีบถอดรองเท้าหุ้มขนสัตว์ของตนเองออกอย่างเรียบร้อย น้ำอุ่นภายในสระทำให้ถุงเท้าขาวของนางที่เปียกชื้นพลอยอุ่นขึ้นมาด้วย 

 

 

จีเฉวียนหันพระพักตร์มามองอีกครั้ง สายพระเนตรก็จดจ้องอยู่ที่ถุงเท้า เขาเห็นเลยว่านิ้วโป้งทั้งสองข้างของนางขยับยุกยิกไม่หยุด 

 

 

พระองค์ก็รับสั่งสำทับอีกครั้ง ” ถุงเท้าก็ไม่สะอาด ถอดออกด้วย “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันปากคว่ำขึ้นมาในทันที “ถุงเท้าพึ่งใส่วันนี้เอง ไม่สกปรก “ 

 

 

” เราบอกว่าไม่สะอาดก็คือไม่สะอาด อย่าได้พูดมาก ถอดออก “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” 

 

 

เมื่อตกอยู่ภายใต้สายพระเนตรราวกับพยัคฆ์ของฮ่องเต้ ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่ถอดถุงเท้าออกอย่างเชื่อฟัง 

 

 

เท้าของนางละเอียดนุ่มนวล เรียวขาทั้งสองข้างก็ขาวสะอาดได้รูป แต่นิ้วแม่เท้ากลับกลมๆ กระทัดรัด ดูน่ารัก ดูคล้ายกับนิ้วเท้าของทารกน้อย 

 

 

สายพระเนตรของฮ่องเต้ทรงจดจ้องอยู่บนเรียวขาดังหยกแกะสลักของนาง จนมิอาจละพระเนตรไปได้ 

 

 

” เข้ามาใกล้หน่อย ” จีเฉวียนรับสั่ง ” เรามีเรื่องสำคัญจะกล่าวกับเจ้า” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่าเขาดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง 

 

 

สระเย่วหัวเดิมทีก็มีพวกเขาเพียงแค่สองคน มีอะไรทำไมไม่พูดออกมา กลับจะต้องให้นางเดินไปถึงตรงหน้า?  

 

 

นางยกกระโปรงขึ้น กระโดดข้ามน้ำที่ล้นออกมานอกสระเข้าไป ยืนอยู่ตรงข้างๆ ศีรษะของเขาพอดิบพอดี 

 

 

ไอร้อนของน้ำในสระเปียกไปถึงหลังเท้าของนาง ฤดูหนาวที่รุนแรงเช่นนี้ ได้แช่เท้าบ้างช่างสุขสบายดีจริงๆ  

 

 

ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายพระทัยเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจแม้แต่น้อย มีเพียงแต่กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของนางเท่านั้น 

 

 

” ยามที่เสด็จแม่ทรงคลอดเราออกมานั้น ทรงตกพระโลหิตจำนวนมากจนกระทบถึงพื้นฐานร่างกาย เจี่ยงเวยก็ฉวยโอกาสที่กำลังทรงอ่อนแอนี้ ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ บรรเลงดนตรีทุกค่ำคืน ครอบครองความโปรดปรานเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ที่ผ่านมาพระมารดาเมตตานางดุจดั่งญาติสนิท แต่ในยามที่ทรงลำบากที่สุดกลับถูกนางทิ่มแทงเข้าเช่นนี้ พระทัยก็สลาย ยามที่เราอายุได้ห้าปี นางก็เสด็จจากไป” จีเฉวียนเก็บสายพระเนตรกลับมา ตรัสพลางมองดูกลีบดอกกุ้ยเหนือสระน้ำ 

 

 

” เจี่ยงเวยและตระกูลตู๋กูสนิทสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก เมื่อมีตระกูลตู๋กูคอยหนุนหลังนาง เราย่อมต้องรู้สึกเคียดแค้นพวกเจ้า “ 

 

 

” พอมาวันนี้ เจี่ยงเวยยอมสารภาพออกมาเองว่านางคือหมากของเย่วฮูหยิน เรื่องที่พระมารดาตกพระโลหิตขณะคลอดในปีนั้น ก็เพราะเย่วฮูหยินมีส่วนเกี่ยวข้อง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนิ่งฟังอย่างเงียบงัน เสียนไท่เฟยเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก คำพูดส่วนใหญ่ของนางย่อมเชื่อถือไม่ได้ 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน นางได้เห็นโครงกระดูกของท่าย่าด้วยตาของตนเอง บนโครงกระดูกไม่มีกลิ่นอายสกปรกแม้แต่น้อย นี่ย่อมหมายความว่าเมื่อยามมีชีวิตอยู่นางไม่เคยกระทำเรื่องเลวร้ายใดๆ มาก่อน 

 

 

ท่านย่าเช่นนี้ ย่อมไม่ทางกระทำเรื่องเช่นนั้นต่อฉางซุนฮองเฮาเป็นแน่ 

 

 

ที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่ทราบว่าจีเฉวียนเกลียดชังตระกูลตู๋กู เกลียดชังนาง เดิมที่นางคิดว่าเป็นเพราะตระกูลตู๋กูมีอำนาจแข็งแกร่งมากเกินไป อีกทั้งยังใกล้ชิดกับอี้อ๋อง เขาคงจะเกรงว่าตระกูลตู๋กูจะก่อกบฎ ถึงได้ทำการป้องกันระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของฉางซุนฮองเฮาซุกซ่อนอยู่ด้วย 

 

 

เมื่อตรัสมาถึงตอนนี้ ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ทรงพบว่า ในกลีบดอกกุ้ยฮวาบนผิวน้ำ มีเศษอะไรแปลกๆ ลอยปะปนอยู่ 

 

 

พอทรงขยับพระองค์เล็กน้อย เศษขาวๆ นั่นที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าปลายเล็บนั่นก็กระจายออก ลอยหมุนไปมาอยู่หน้าตรงของเขา 

 

 

บางส่วนก็หล่นอยู่บนบ่าไหล และเส้นผมของเขา 

 

 

ฝ่าบาทขมวดพระขนงขึ้นมา ยกพระหัตถ์ขึ้นช้อนดู ก็เห็นเศษเล็กๆ เหล่านั้นลอยอยู่บนใจกลางฝ่าพระหัตถ์ พระองค์ใช้ปลายนิ้วคีบขึ้นมา ขยี้ดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนเป็นดำดุจก้อนหม้อ 

 

 

พอทรงหันพระพักตร์กลับไป ก็ทอดพระเนตรเห็นเศษสิ่งขาวๆ เหล่านั้นลอยออกมาจากใต้ปลายเท้าของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นั่นมัน…..คือเศษขี้เท้า?!  

 

 

ฮ่องเต้ทรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนขึ้นในสระอย่างรวดเร็ว เส้นพระเกศาที่ดกดำยาว ผิวพระวรกายที่งดงามดุจเนื้อหยกโบราณ ปลายคางเป็นสันดุจคมมีด ต่างเต็มไปด้วยเศษขี้เท้าขาวๆ พวกนั้น!  

 

 

ดูไปคล้ายกับคนที่ไม่ได้สระผมมาตลอดทั้งเดือน ศีรษะจึงเต็มไปด้วยเศษหนังหัว 

 

 

สองพระเนตรของฮ่องเต้จดจ้องอยู่บนเท้าของตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นยะเยือกจนแทบแช่แข็งได้ “เสียนไท่เฟยบอกว่าเจ้าเป็นนังมาร เราก็ยังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูท่า เจ้าคงจะเป็นปีศาจงู ถึงได้ลอกคราบได้? “ 

 

 

จะลอกคราบที่ไหนไม่ลอก กลับลอกเอาขี้ไคลใต้เท้าออกมา!  

 

 

โรคคลั่งความสะอาดของฮ่องเต้กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติกาล ตอนนี้เขาอยากจะขูดกระชากลอกผิวหนังของตนเองออกมาให้หมดทั้งตัว!  

 

 

เมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันกำลังฟังเขาพูดอยู่อย่างเพลินจนลืมตัว พอรู้สึกตัวขึ้นมาทีนี้ 

 

 

ใบหน้าของนางก็ทั้งขาวทั้งเขียว ราวกับเป็นปีศาจงูไปจริงๆ!  

 

 

ก็บอกเขาเอาไว้แต่แรกแล้ว ว่าอย่าให้นางถอดรองเท้า เขาก็ไม่ฟัง!  

 

 

ร่างกายของไทเฮาน้อยไม่อาจเทียบได้กับร่างเดิมของนางในโลกมิติก่อน พอช่วงนี้นางใช้พลังของหยกสรรพชีวิตมากเกินขีดจำกัดเข้า ร่างกายก็ได้รับไอหยินมากจนเกินไป ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ 

 

 

ยังดีที่ผลกระทบเป็นเพียงแค่ผิวใต้เท้าลอก เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เพราะว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นกลับบีบบังคับให้นางถอดรองเท้าออกมา!  

 

 

นางจะไปทำอย่างไรได้ นางเองก็หมดหนทางจริงๆ นะ ​​​​​​​