บทที่ 196
บททดสอบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเย่ ได้โปรดให้ข้าทดสอบเกราะวิเศษของท่านด้วยเถอะ!” แม้ว่ากงซุนชิ่งไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเย่เย่อีก แต่เขาก็ไม่ลืมจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้ เขาต้องการใช้เกราะแสงอาทิตย์ของเย่เย่เป็นตัวกลางในการประลองยุทธ์กับเสี่ยวหยุนเฟย
เย่เย่ไม่รับปากในทันที เขาหันมองเสี่ยวหยุนเฟยเพื่อขอความยินยอมจากเจ้าตัว
“ข้าไม่เกี่ยงหรอก เชิญท่านพี่กงซุนก่อน” จอมยุทธ์น้อยยิ้มตอบ ราวกับคาดเอาไว้แล้วว่าเขาจะมาไม้นี้
เสี่ยวหยุนเฟยนั้นเคยมีชัยเหนือกงซุนชิ่ง ถึงแม้ว่าในครั้งนี้วรยุทธ์ของกงซุนชิ่งจะพัฒนาไปอีกระดับ แต่เขาก็คิดว่าผลลัพธ์คงไม่ต่างกันนัก
“เชอะ!” เมื่อเห็นท่าทีเสแสร้งของเสี่ยวหยุนเฟย กงซุนชิ่งก็ยิ่งหงุดหงิด เขาสะบัดชายเสื้อก่อนเดินขึ้นมาตรงหน้าแท่นวางเกราะแสงอาทิตย์ตรงใจกลางโถงอาคาร
ซู้ดดดดดดดดดดดดด
กงซุนหลับตาลง หายใจเข้าช้าๆ ถ่ายทอดพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างสู่คมดาบประจำกาย และฟาดมันเข้าที่เกราะแสงอาทิตย์ด้วยพละกำลังที่มี
เปรี้ยงงงงงงง!
เหล็กกระทบกันเกิดเสียงดังกังวานแสบแก้วหู ประกายไฟโชติช่วงชัชวาล สว่างพร่างพรางตาชั่วขณะ แต่เมื่อมันสงบลง สีหน้าที่มั่นอกมั่นใจของกงซุนชิ่งก็เปลี่ยนไป
“ปะ เป็นไปไม่ได้ ดาบดาวฤกษ์ของข้าไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่ตัดไม่ขาด!” คุณชายกงซุนทอดตามองใบดาบของตน ราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“เหอะ! ที่แท้ก็ดาบกิ๊กก๊อก ไม่สมคำอวดอ้างเลยสักนิด” จอมยุทธ์บางส่วนที่ไม่พอใจกริยาของเขาตั้งแต่ต้น ก็อดดูหมิ่นเขาไม่ได้
“นี่ เจ้า!” กงซุนชิ่งได้เย็นเต็มสองหู ถึงแม้เขาจะโกรธจัดจนชี้โบ้ชี้เบ้ แต่เขาก็ไม่อาจลบคำสบประมาทของพวกตัวประกอบได้
‘หากข่าวคราวที่คุณชายแห่งตระกูลดัง กับดาบคู่ใจของเขา ไม่สามารถทำลายเกราะแสงอาทิตย์แพร่ออกไปละก็ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในหวางตู้ต้องแห่มาที่หอการค้าเป็นแน่ ไม่ว่ายังไงการประลองระหว่างพวกเขาก็เป็นผลดีกับเรา’ เย่เย่คิดในใจ พลางยิ้มมุมปากออกมา
“หลบไป ข้าจะเดิน!” ผลลัพธ์เป็นดั่งที่จอมยุทธ์น้อยคาด เขาเดินแทรกตัวกงซุนชิ่งที่ตัวแข็งทื่อด้วยความผิดหวังเข้ามาทั้งอย่างนั้น
“เจ้า! กล้าเยาะเย้ยข้ารึ!?!” คุณชายกงซุนขบฟัน กำหมัดด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าหลีกทางให้จอมยุทธ์น้อย
ชิ้งง
จอมยุทธ์น้อยชักกระบี่ออกจากฝัก ร่ายรำเป็นท่วงทำนองที่สง่างามด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง ถ่ายลมปราณด้วยจิตตั้งมั่นราวกับ ณ สถานที่แห่งนั้นมีเพียงตัวเขากับกระบี่ประจำกายเท่านั้น
“โฮ่~” เย่เย่เอามือจับคาง พลางจดจ้องกระบวนท่าของเสี่ยวหยุนเฟยอย่างสนอกสนใจ เขาแสยะ ยิ้มออกมาราวกับคาดเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาในวินาทีถัดไปได้แล้ว
เปรี้ยงงงงงงงง!
การโจมตีของเสี่ยวหยุนเฟยสามารถสร้างรอยร้าวเล็กๆบนเกราะวิเศษได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากผลลัพธ์ปรากฏจอมยุทธ์น้อยปาดเหงื่อบนใบหน้า และยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นเพียงเทพยุทธ์ ข้าเป็นเทพอสูร เหตุใดข้าถึงทำไม่ได้แต่เขาทำได้!? เสี่ยวหยุนเฟยเจ้าใช้ลูกไม้อะไรกันแน่! ท่านเย่ได้โปรดไตร่ตรองด้วย” แม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นที่ประจักษ์ แต่ความริษยาบดบังสายตา กงซุนชิ่งจึงลุกขึ้นประท้วง
‘ขี้แพ้ชวนตีจริงๆ’
‘น่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้า’
การกระทำที่แล้งน้ำใจของกงซุนชิ่ง ทำให้เป็นที่ติฉินนินทาของชาวบ้าน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาตรงๆ
“เสี่ยวหยุนเฟยนั้นฐานะยากจน ความโลภบดบัง เพียงหนึ่งแสนตั๋วทองก็เพียงพอจะให้จอมยุทธ์น้อยผู้ผดุงธรรมนั้นฝักใฝ่วิถีมาร ท่านเย่คุณธรรมสูงส่งย่อมรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี!” กงซุนชิ่งเสริม ยิ่งเห็นใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของจอมยุทธ์น้อยแล้ว เขายิ่งไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้
จากการใส่สีตีไข่ของกงซุนชิ่ง ทำให้มีชาวบ้านบางส่วนหลงเชื่อ ตั้งแต่ที่มีข่าวลือว่าเสี่ยวหยุนเฟยเอาชนะผู้มีวรยุทธ์สูงกว่าได้ ในใจลึกๆพวกเขาก็แอบสงสัยในตัวจอมยุทธ์น้อยมาโดยตลอด
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เห็นทีจะมีแต่เย่เย่ซึ่งเป็นคนกลางเท่านั้นที่จะตัดสินได้ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เขา
สำหรับเย่เย่แล้วเรื่องนี้ตัดสินไม่ยาก เขาหยิบตั๋วทองจำนวนหนึ่งออกมา และยื่นให้เสี่ยวหยุนเฟย
“อย่างแรก เสี่ยวหยุนเฟยไม่ได้ใช้ลูกไม้หรือวิถีมารใดๆทั้งสิ้น เขาเพียงมีความเข้าใจในกระบี่และการถ่ายลมปราณที่สูงกว่าคนทั่วไป อีกอย่างข้าไม่เคยกำหนดว่าต้องใช้อาวุธเท่านั้น จะใช้วิชามงวิชามารอะไรมันก็เรื่องของพวกเจ้า ข้าให้อิสระเต็มที่”
เมื่ออธิบายเสร็จสิ้น นอกจากกงซุนชิ่งแล้ว คนอื่นๆต่างพอใจในคำตัดสินที่เที่ยงธรรม บททดสอบในครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ชื่อของเสี่ยวหยุนเฟยเป็นที่กล่าวขานในยุทธภพ ยังทำให้เย่เย่เป็นที่ยอมรับนับถือของชาวเมืองอีกด้วย
กงซุนชิ่งได้แต่นิ่งเงียบ ชายตามองเย่เย่และเสี่ยวหยุนเฟยด้วยความแค้นเคือง แต่ก็ไม่กล้าท้วงติงใดๆอีก เขาจึงสะบัดชายผ้าคลุมและเดินจากไป
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเย่ ข้าน้อยขอรับไว้ด้วยใจ” เสี่ยวหยุนเฟยรับตั๋วทองไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“น้องชาย เจ้าห่างกับข้าไม่กี่ปี เรียกข้าว่าเย่เย่ก็ได้” เย่เย่ตอบ
จอมยุทธ์น้อยประสานมือคำนับ และเดินออกจากโถงไป การประลองระหว่างสองจอมยุทธ์รุ่นใหม่ได้สิ้นสุดลง ผู้คนแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
หลังจากที่พวกเขากลับไป เย่เย่ก็สอนลู่จุ้นเกี่ยวกับการจัดการสต๊อกสินค้าและแนวทางธุรกิจของหอการค้าหยูเย่จนดึกดื่น ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน เย่เย่ไม่ปล่อยเวลาที่มีอยู่ในสูญเปล่า เขานั่งขัดสมาธิบ่มเพาะวรยุทธ์ต่อในทันที แม้ว่าเขาจะอยากแลกยาบางอย่างออกมาจากระบบ แต่เมื่อตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็ทำให้เขาถอดใจ ดูท่าว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะแลกมันออกมาได้
ในระหว่างนี้เย่เย่ก็ต้องฝึกฝนลมปราณด้วยตนเองไปสักระยะ ว่าแล้วเขาก็วาดมือขึ้น ผสานพลังแห่งโลกและสวรรค์เข้ากับพลังปราณ ด้วยความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษในตัวเขาทำให้เย่เย่สามารถซึมซับพลังได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆในระดับเดียวกัน
สามวันต่อมา แม้พลังปราณในกายของเขายังไม่จับตัวกันดี แต่มันก็เสถียรขึ้นมาก และถึงแม้จะยังมิอาจเทียบเคียงจอมยุทธ์จิตพิสุทธิ์ขั้นสูงได้ แต่มันก็ไม่สะเปะสะปะเหมือนกับช่วงแรก
ในยุคสมัยนี้แผ่นดินฉางหลางระส่ำระสาย ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้เย่เย่จะก่อร่างสร้างตัวในหวางตู้ได้ แต่ในอีกไม่ช้าเขาก็มิอาจหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่จะมาถึงตัวได้ นอกจาก นิกายหลักทั้งแปดและราชสำนัก ยังมีทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังคลื่นใต้น้ำอีก เย่เย่จึงต้องเร่งมือฝึกปรือวรยุทธ์ ไม่อาจปล่อยให้เวลาล่วงเลยโดยเปล่าประโยชน์
เปรี้ยงงงงงงงง!
ไม่ทันไรกลุ่มทหารก็ปรากฏตัวขึ้นที่หอการค้า พวกเขาแบกชายผู้หนึ่งนอนไม่ได้สติวางลงกับพื้น
ทหารกลุ่มนี้นำโดย ลี่ตันบุตรชายของผู้บัญชาการสูงสุดลี่เฉิง ตามด้วยกวนโป๋ผู้บัญชาการทหารรักษาประตูที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“ท่านทำอะไรของท่านเนี่ย ลูกค้าแตกตื่นหมดแล้ว หากไม่ได้จะมาซื้อของก็เชิญออกไปซะ” ลู่จุ้นส่งเสียงดังไล่ตะเพิดพวกเขาออกไป
ผั๊วะ!
กวนโป๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตอบกลับด้วยหลังมือซัดเข้าที่ใบหน้าของลุ่จุ้น จนทำให้กระอักเลือดออกมา
“อ่ออออก!”
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาก็วิ่งหนีออกไปอย่างแตกตื่น เหลือเพียงจีนมุงบางส่วนที่ยืนชะเง้อดูจากด้านนอก
ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ที่พวกเขามาในครั้งนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…