ตอนที่ 4-2 ระลอกคลื่น

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“ห้องหนังสือพระราชวังชั้นนอก” 

 

 

บีพาอันพูดย้ำอีกครั้งเพื่อไม่ให้กโยซึลลืม 

 

 

“เดี๋ยวเราจะสั่งให้ขันธีนำทางไป แล้วหลังจากนั้นก็ให้แม่นมของชายาพาไป” 

 

 

“ทรงจำแม่นมของหม่อมฉันได้ด้วยหรือเพคะ” 

 

 

น้ำเสียงของกโยซึลตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำว่าแม่นม เป็นครั้งแรกที่บีพาอันได้ยินเสียงของกโยซึลอย่างชัดๆ 

 

 

ที่ผ่านมานางมักจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เจือไปด้วยความกลัว เสียงของนางใสเหมือนกับตากลมโตดวงนั้น ใบหน้าของกโยซึลพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง และยกมือขึ้นมาปิดปากของตนไว้ บีพาอันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของนาง 

 

 

“เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว” 

 

 

บีพาอันหยิบพู่กันกับกระดาษที่วางไว้ขึ้นมา กโยซึลทำความเคารพอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงเรื่อแล้วลุกออกไป นี่เป็นเผชิญหน้ากับฮวางแทจาเป็นครั้งแรกในฐานะชายาฮวางแทจา หากใครมาได้ยินบทสนทนาโต้ตอบกันของทั้งคู่คงไม่มีใครคิดว่านี่คือคู่แต่งงานใหม่ การพูดดูเป็นทางการ แข็งกระด้างราวกับข้าราชการใหม่ที่พูดอยู่กับข้าราชการอาวุโส 

 

 

“ขอให้เป็นวันที่ราบรื่นนะเพคะ” 

 

 

กโยซึลที่กำลังลังเลอยู่ที่หน้าประตูพูดประโยคสุดท้ายขึ้นมาแล้วถอยหลังก้าวข้ามธรณีประตูออกไป 

 

 

แกร๊ก 

 

 

ประตูถูกปิดอย่างเบาๆ 

 

 

ทันทีที่กโยซึลลุกออกไป มือของบีพาอันที่จับพู่กันอยู่ก็ผ่อนแรงลง เขาแอบเหลือบมองไปทางประตูเล็กน้อย ดวงตากลมดูสดใสเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา แก้มแดงระเรื่อชวนมอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรนางก็ยังดูเด็กอยู่มากจนอยากที่จะทำตัวให้ชินได้ 

 

 

“ภายนอกดูยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย แต่การกระทำกลับเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด นี่คือองค์หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังมาก่อนสินะ” 

 

 

บีพาอันไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังยกยิ้มที่มุมปากอยู่ 

 

 

  

 

 

“เขายังคงใจร้ายเหมือนเดิมเลย กลัวก็กลัว แถมก็ยังต้องกลั้นน้ำตาไว้อีก ไม่มีสติเลยสักนิด” 

 

 

เมื่อกโยซึลเดินออกมาจากตำหนักดงชอน นางก็บ่นพึมพำด้วยหน้าตาบึ้งตึง แม้ตอนอยู่ต่อหน้าบีพาอัน นางจะพูดอย่างฉะฉาน แต่หลังจากที่ออกมาจากห้องนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มดุจเมฆฝน ครั้งอยู่ต่อหน้าบีพาอัน นางกลัวจะถูกจับผิดเอาได้เลยต้องแสร้งทำกริยามารยาทที่ดูดี ไม่ว่านางจะโตมาด้วยความเป็นหญิงแก่นแก้วที่ถูกตามใจมามากเพียงไร แต่นางก็ยังคงเป็นองค์หญิงที่โตมาในพระราชวัง การปฏิบัติตนตามมารยาทนั้นย่อมเป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แล้ว 

 

 

“เมื่อคืนเผลอคิดเรื่องไม่ดีเข้าเลยพยายามจะทำหน้าที่ของภรรยาอย่างเต็มที่ทดแทน แต่…” 

 

 

ในคืนแรกตนประหม่าถึงขั้นแม้แต่น้ำสักอึกยากที่จะกลืนลง กโยซึลช็อคไปกับท่าทีของบีพาอันที่เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง บวกกับความโศกเศร้าที่ต้องจากบ้านเกิดมา จึงร้องไห้ไม่หยุด และขณะนั้นก็เผลอคิดเรื่องที่ไม่ควรเข้า ตนคิดถึงเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งที่ออกมารับตนในวันแรกที่มาถึงมกกุก คิดว่าหากคนคนนั้นเป็นฮวางแทจาก็คงจะดี ตนรู้สึกผิดจึงไปทำเยี่ยมเยียน กล่าวทักทายถามสารทุกข์สุกดิบยามเช้าด้วยความมุ่งมั่น ทว่าบีพาอันหาได้ใยดี จักรวรรดิมกกุกนั้นช่างแตกต่างจากราชอาณาจักรฮวากุกในหลายๆ อย่าง แม้แต่สายลมที่พัดผ่านมาก็ยังรู้สึกอ้างว้าง 

 

 

“หรือเพราะอย่างนี้ฝ่าพระบาทจึงตรัสออกมาเช่นนั้น” 

 

 

กโยซึลหยุดเดินกระทันหัน นางในที่เดินตามมาก็หยุดตามโดยพยายามรักษาระยะห่างไว้ 

 

 

จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไรก็ได้ เราไม่สนใจ จะปักผ้า หรืออ่านหนังสือ ก็ตามแต่ที่ชายาประสงค์  

 

 

กโยซึลนึกถึงเสียงของบีพาอันที่สร้างบาดแผลในจิตใจให้กับตนในคืนส่งตัว แค่คิดก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ตา 

 

 

“จะให้เราใช้ชีวิตอย่างไรในที่ที่อ้างว้างเช่นนี้” 

 

 

กโยซึลบ่นพึมพำไปทางแม่นมแต่ก็ไม่ต่างจากคุยกับตัวเอง วันแรกของการเป็นพระชายาช่างยาวนานนัก 

 

 

“เราคงจะต้องไปห้องหนังสือจริงๆ” 

 

 

“กระหม่อมจะนำทางไปห้องหนังสือพระราชวังชั้นนอกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขันธีที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ เดินนำไปข้างหน้า กโยซึลจึงต้องเดินมุ่งหน้าไปห้องหนังสือพระราชวังชั้นนอกอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

  

 

 

พระราชวังนั้นกว้างใหญ่ จุดศูนย์กลางของพระราชวังคือพระราชวังกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักองค์จักรพรรดิ พระราชวังกลางนั้นมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่พระราชวังทั้งหมด ในส่วนที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดของพระราชวังคือตำหนักของจักพรรดินีและนางสนม แล้วก็มีพระราชวังแยกออกไปทั้งสี่ทิศ มีพระราชวังตะวันออก พระราชวังตะวันตก พระราชวังใต้ และพระราชวังเหนือ ส่วนด้านนอกริบขอบพระราชวังนั้นมีพระราชวังชั้นนอกรายล้อมอยู่  

 

 

ส่วนของพระราชวังภายนอกนั้นเป็นที่ที่เหล่าขุนนางเข้าออกทำหน้าที่ทางการเมือง มีตำหนักของข้าหลวงทั้งรัฐมนตรีฝ่ายใน ขันที และนางในในวัง ข้าหลวงก็คือคนที่ทำงานต่างๆ ในพระราชวัง และยังมีห้องหนังสือ และสวนหลังวังอีกด้วย แน่นอนว่าห้องหนังสือกับสวนหลังวังนั้น ในแต่ละวังก็มีแยกเป็นของตัวเอง สวนภายในของแต่ละวังอาจจะดูดีกว่าอยู่บ้าง ทว่าถ้าวัดจากเพียงแค่ขนาดแล้ว สวนกับห้องหนังสือที่พระราชวังชั้นนอกนั้นก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน 

 

 

กโยซึลต้องแสร้งทำเป็นเรียบร้อยตอนที่อยู่ต่อหน้าบีพาอัน แม้นางจะกระตือรือร้นบอกว่าอยากไปห้องหนังสือ แต่จริงๆ แล้วนิสัยของนางมิใช่คนที่ติดห้องหนังสือเลย ส่วนสาเหตุที่กโยซึลนึกถึงห้องหนั้งสือก็เป็นเพราะองค์รัชทายาทมินกุงพี่ชายของนางนั่นเอง มินกุงเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เลยทำให้กโยซึลที่อยากใช้เวลากับมินกุงถูกบังคับให้อยู่ในห้องหนังสือไปด้วย แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางมักชอบเดินไปทั่ววังแล้วก็มักก่อความวุ่นวายในทุกที 

 

 

“แต่ว่าที่นี่คงทำอย่างนั้นไม่ได้สินะ” 

 

 

ถ้าทำอะไรผิดไป ที่นี่คออาจจะหลุดจากบ่าเลยก็เป็นได้ นี่มิใช่คำอุปมาใดๆ แต่เป็นเรื่องที่มีคนถูกตัดคอจริงๆ เรื่องราวโหดร้ายของราชวงศ์มกกุกนั้นกโยซึลก็รู้ดี 

 

 

ออฮยูลเจ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันนั้นคือผู้ที่ฆ่าทุกคนเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มา แม้จะได้มาเป็นสมาชิกในราชวงศ์นี้แล้ว กโยซึลก็ยังไม่เคยเห็นพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเลย ฮวังฮูก็เช่นกัน แต่นางจำได้เพียงแค่น้ำเสียงที่เยือกเย็นในงานอภิเษกสมรม แม้จะเป็นแค่เสียงพูด แต่ก็ฟังดูน่าน่ากลัวยิ่งนัก ความโกรธของพระราชาจองนั้นเทียบไม่ได้เลย 

 

 

“ถึงแม้ว่าจะเป็นพระชายาฮวางแทจา…” 

 

 

นางนึกถึงสายตาที่เย็นชาของฮวางแทจาที่มองมายังตน นึกถึงน้ำเสียงเย็นเยือกตอนที่ห้ามมิให้ตนขวางทางเขา สามีที่เป็นเพียงคนเดียวที่ชายาฮวางแทจาน้อยที่มาจากต่างแดนจะพึ่งพิงได้ กลับเป็นคนที่เย็นชากับนางอย่างน่ากลัว 

 

 

“เป็นชายาฮวางแทจาที่ไม่ได้รับความโปรดปรานยังจะดีเสียกว่า…” 

 

 

ราชวงศ์มกกุกที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงบัลลังก็นั้น สำหรับกโยซึลแล้ว ตนกังวลกับการเอาชีวิตรอดมากกว่าสิ่งใด  

 

 

กโยซึลเดินทอดน่องอยู่ระหว่างชั้นวางหนังสือ เมื่อได้กลิ่นของหนังสือเก่าๆ นางก็รู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ในห้องหนังสือที่ฮวากุก มันเหมือนกับว่าเพียงแค่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้น ตนก็ได้กลับไปที่นั่นแล้ว ใบหน้ายิ้มแย้มของมินกุงอยู่ตรงหน้า ราวกับว่าเขามาดุตนที่ง่วงเพราะอ่านหนังสืออีกแล้ว กโยซึลที่เดินวนอยู่รอบชั้นวางหนังสือพร้อมกับลูบหนังสือด้วยปลายนิ้วหยุดเดินแล้วหลับตาลง และหลังจากที่ลืมตาขึ้น นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าที่มีริมฝีปากโค้งสวยกำลังจ้องมองอยู่ ริมฝีปากนั้นเริ่มขยับแล้วพูดเบาๆ ว่า 

 

 

“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันที่นี่”