เมื่อหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง กโยซึลก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้า นางสูดหายใจเข้าแล้วหยุดไว้ชั่วขณะ ดวงตาที่เบิกขึ้นของนางกำลังมองมองสำรวจใบหน้านั้นอย่างละเอียด โครงหน้าขาวหมดจดดูอ่อนโยน ซังทู[1]ที่รวบผมขึ้นไปอย่างหลวมๆ มีปิ่นซังทูกวัน[2]ที่สวยงามประดับอยู่ ปอยผมบางเส้นถูกปล่อยลงมา ครึ่งหนึ่งของผมด้านหลังคลายออกสยายลงบนแผ่นหลัง ดวงตาที่กำลังยิ้มอยู่นั้นโค้งมนดั่งพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากบางๆ นั้นโค้งไปในทางตรงกันข้ามกับดวงตา ยิ่งยิ้มริมฝีปากก็ยิ่งบางลง
นี่คือรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดที่กโยซึลได้รับจากผู้ชายที่นางรู้จัก ริมฝีปากที่เหมือนกับภาพวาดพู่กันขยับขึ้น แว่วเสียงดุจใบไม้ที่ถูกลมพัดเบาๆ แล้วปลิวตกลงไปในทะเลสาบอันเงียบสงบ
“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันที่นี่”
เมื่อรูแฮเอ่ยปากพูด กโยซึลก็กลับมาหายใจต่ออีกครั้ง กโยซึลเข้าใจผิดไปชั่วขณะคิดว่านี่คือภาพที่ตนสร้างขึ้นหลังจากที่นึกถึงรูแฮ แม้ในตอนแรกตนจะไม่ได้นึกถึงรูแฮอยู่ก็ตาม แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงคิดเข้าใจผิดไปแบบนั้น กโยซึลผ่อนคลายตนเอง แล้วตอบออกไป
“ยูอึลจินนี่เอง”
กโยซึลเรียกรูแฮด้วยชื่อจริงเขา เป็นเพราะว่าในครั้งแรกที่พบรูแฮไม่ได้บอกสกุลและตำแหน่งของตน กโยซึลจึงไม่รู้ว่ารูแฮคือฮวางเซจา นางรู้เพียงว่ายูอึลจินคนนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
“องค์หญิง ไม่สิ…”
รูแฮลังเลใจก่อนจะพูด ไม่รู้ว่าเหตุใดรอยยิ้มของเขาถึงดูเศร้านัก หรือว่ากโยซึลเข้าใจผิดไปเอง
“พระชายาฮวางแทจา”
นี่เป็นการเจอกันครั้งที่สอง เป็นการพบกันอีกครั้งในรอบไม่กี่วันแต่ความสัมพันธ์นั้นต่างไปมาก จากตอนแรกที่เป็นการพบกันระหว่างฮวางเซจา องค์รัชทายาทอันดับที่สามแห่งมหาจักรวรรดิกับองค์หญิงแห่งราชอาณาจักรฮวากุก แต่ทว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง องค์หญิงจากอาณาจักรเล็กๆ ได้กลายเป็นพระชายาแห่งองค์ฮวางแทจา ชายผู้ที่ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิมากที่สุด และยังเป็นตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ครอบครองกองกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งมากกว่าผู้ใด และถึงแม้ว่ารูแฮจะเป็นฮวางเซจาแต่ก็ต้องปฏิบัติต่อนางผู้ที่กลายเป็นผู้หญิงของพี่ชายตนไปเสียแล้วตามทำเนียมปฏิบัติ
รูแฮพูดคำที่คิดซ้ำวนไปมาอยู่ในหัว เป็นคำพูดที่ซ้อมพูดอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะบอกกับอูรึม ไม่สิ กโยซึล
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮย่อตัวลง โค้งตัวเล็กน้อย แล้วคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง เขาเงยหน้ามองกโยซึลและกระตุกมุมปากขึ้นสูง
“เอ่อ”
กโยซึลไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงยกมือมาป้องปากตนไว้ นางเคยได้ยินถึงการถ้อยคำคารวะสรรเสริญมาแล้วก่อนหน้านี้ในวันอภิเษกสมรส เหล่าข้าหลวงในราชสำนักเอ่ยขึ้นในตอนที่บีพาอันเดินเข้ามาในห้องตน หลังจากวันนั้นนางก็ยังได้รับการคาราวะเช่นนี้อยู่ สำหรับองค์จักรพรรดิและฮวังฮูจะใช้คำว่าทรงพระเจริญสามหมื่นปี และสำหรับฮวางแทจากับชายาฮวางแทจาจะใช้คำว่าทรงพระเจริญสามพันปี ในจักรวรรดินั้นคำว่าทรงพระเจริญสามพันปีใช้ได้เพียงแค่กับฮวางแทจาและชายาเอกฮวางแทจาเท่านั้น แม้แต่กับชายารองฮวางแทจาก็มิอาจใช้ได้
“ลุกขึ้นเถิดเพคะ”
“ทรงไม่พอพระทัยเรื่องใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“คำคารวะเช่นนั้น”
กโยซึลพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาด้วยใบหน้าที่กำลังเขินอาย แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ ช่างเป็นประโยคที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่ก็สมกับที่เป็นนาง รูแฮหัวเราะออกมาแล้วลุกขึ้นยืน
“ต่อไปพระองค์ก็จะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ควรทำพระองค์ให้ชินนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ในอาณาจักรของเราแม้แต่เสด็จพ่อยังไม่ได้รับคำคารวะเช่นนี้เลย เราในฐานะบุตรีรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง”
ที่อาณาจักรฮวากุกนอกจากจะไม่ใช้คำว่าทรงพระเจริญสามหมื่นปีแล้ว ก็ไม่ใช้คำว่าทรงพระเจริญสามพันปีด้วยเช่นกัน คำคารวะที่แม้แต่พ่อของตนอย่างพระราชาจอง และแม่ของตนอย่างพระมเหสีโยยังไม่เคยได้รับ แต่ตอนนี้กโยซึลกลับได้รับมันอย่างนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะจากรูแฮที่ไม่ได้รู้สึกยินดีเลย มันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไปจากตอนที่ตนได้รับคำคารวะเช่นนี้จากคนอื่นในราชสำนัก นางไม่รู้สึกยินดีนักที่เขาปฏิบัติต่อนางราวกับว่านางเป็นผู้ที่อยู่สูงกว่า
“เหนือสิ่งอื่นใด การได้ยินคำคารวะเช่นนี้จากยูอึลจินมันรู้สึกไม่ชิน”
“…พระองค์ตรัสเช่นนี้”
น้ำเสียงนุ่มนวลของรูแฮเข้มขึ้น ใจของเขาเต้นตึกตัก รูแฮตีความคำพูดสั้นๆ เช่นนี้ของกโยซึลผิดไป ความรู้สึกเจ็บปวดที่ทำให้ตนทรมานในวันอภิเษกสมรสของฮวางแทจาและชายาฮวางแทจากลับขึ้นมาอีกครั้ง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กันนะ
รูแฮยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อนอย่างไม่จำเป็นเพื่อสลัดความรู้สึกไม่พอใจออกไป ความเงียบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ทั้งสองรังแต่จะรู้สึกกระวนกระวาย รูแฮจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อครู่ทรงกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อา”
จมูกของกโยซึลกลายเป็นสีแดง
“กำลังนึกถึงท่านพี่ของหม่อมฉันเพคะ ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะโปรดปรานการอ่านหนังสือ แต่ท่านพี่นั้นเป็นคนที่รักหนังสือมาก”
“คงจะคิดถึงท่านมากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเราสนิทกันมากเพคะ ทั้งกับพวกท่านพี่ และเหล่าน้องๆ ในตอนนี้จึงยังคงคิดถึงพวกเขาอยู่มาก”
สายตาของกโยซึลเหม่อลอยไปไกล ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ต้องจากมาไกลถึงเพียงนี้ แม้กระนั้นมันก็เป็นหนทางที่หวนกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนนี้ในตอนที่ตนยังไม่ชินกับชีวิตใหม่ เหนือสิ่งอื่นใดมันไม่ง่ายเลยที่จะปรับตัวให้เข้ากับความแตกต่างถึงเพียงนี้ของสองราชวงศ์
“หม่อมฉันยังพบเจอกับเชื้อพระองค์ที่อยู่ที่แห่งนี้ไม่ครบทุกพระองค์เลย ได้ยินว่าทุกพระองค์ยุ่งนัก”
“จริงอยู่ที่ว่าการจะพบเจอกันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างประหลาดเสียจริงนะเพคะ”
กโยซึลที่ปกติต้องไปเอ่ยคำทักทายในทุกเช้าเย็น เมื่อเดินออกมาจากตำหนักก็ต้องเจอกับใครสักคนนั้นคงไม่สามารถที่จะเข้าใจสถานการณ์แบบนี้ได้ในทันที
“กระหม่อมเคยได้ยินเรื่องของอาณาจักรฮวากุกเช่นกัน บรรยากาศในราชวงศ์แตกต่างกับที่นี่โดยสิ้นเชิง ฟังดูแล้วน่าประทับใจยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทุกคนรักใคร่สนิทสนมกันเพคะ”
กโยซึลหัวเราะอย่างสดดังเช่นตอนที่อยู่ฮวากุก นางเองก็รู้จักหัวเราะสดใสเหมือนกันสินะ รูแฮมองรอยยิ้มนั้นเงียบๆ พอพูดถึงฮวากุกกโยซึลก็ดูจะมีอะไรให้พูดมากมาย ช่วงเวลาที่นางเคยมีความสุขกับเหล่าพี่ชายน้องชายนั้นมีมากมายดั่งเรื่องเล่าของเหล่าวีรบุรุษและสตรี
“ฉะนั้นในแต่ละวันของหม่อมฉันเลยดูสั้นลง น่าเสียดายยิ่งนักที่ตะวันต้องลับขอบฟ้าไป มีครั้งหนึ่งหม่อมฉันเคยไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้กับโยจิน แล้วก็ถือเอาว่าที่นั่นคือตำหนักในอนาคตของพวกเรา อ้อ โยจินคือน้องชายที่เกิดต่อจากหม่อมฉัน อายุก็ห่างกันไม่มาก เราสองคนเลยมักจะเล่นด้วยกันบ่อยๆ แม้คนที่หม่อมฉันโปรดปรานมากที่สุดจะเป็นท่านพี่มินกุงก็ตาม”
——
[1] ซังทู ผมรวบตึงรวบขดไว้กลางศีรษะ
[2] ปิ่นซังทูกวัน ปิ่นที่ใช้ครอบและปกผมซังทูไว้ไม่ให้หลุด