ตอนที่ 5-2 บ้านหลังใหม่

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

พอได้เริ่มพูดนางก็พูดออกมาไม่หยุด กโยซึลเล่าถึงพี่ชายทั้งสี่คน และน้องชายทั้งสี่คนของตนเองทั้งหมด ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงดูไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าลงเลยสักนิด ช่างน่าอัศจรรย์นัก 

 

 

“ในตอนที่ได้พบกันครั้งแรก พระองค์เอาแต่ร้องไห้จนหม่อมฉันพลอยเศร้าใจไปด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทรงเป็นคนที่สดใสถึงเพียงนี้” 

 

 

“…แปลกพระทัยหรือเพคะ” 

 

 

กโยซึลหน้าซีดลง ไม่ได้เพียงแค่มีน้ำตาเยอะ หรือเป็นคนที่ยิ้มสดใสเท่านั้น นางเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกเหล่านั้นถูกแสดงออกทางสีหน้า เป็นครั้งแรกที่ตนได้เห็นสีหน้าที่สดใสถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นครั้งแรก แต่ก็คงเป็นเพราะนางคิดว่าสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือทั้งหมด จึงได้วางใจลง 

 

 

“เป็นคำชมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แต่ดูไม่เหมือนคำชมเลยสักนิด” 

 

 

“กระหม่อมหมายความว่าทรงน่าเอ็นดูพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไม่รู้ว่าตนเปลี่ยนไปตามกโยซึลหรืออย่างไร รูแฮพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดโดยไม่ตั้งใจออกไปเสียแล้ว 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบพระทัยเพคะ” 

 

 

ฝ่ายที่กำลังสับสนงงงวยมีแค่รูแฮเท่านั้น กโยซึลรับคำสารภาพว่าตนน่ารักของรูแฮอย่างไม่รู้สึกอะไร แล้วนางก็อมยิ้มต่อไป ใบหน้ารูแฮร้อนวูบวาบเพราะรอยยิ้มนั้นของกโยซึล 

 

 

“จากที่กระหม่อมได้ฟังเรื่องราวของฮวากุกแล้ว พระชายาฮวางแทจาทรงจะชอบการออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ภายในความทรงจำของกโยซึล ในแต่ละวันนางยุ่งอยู่แต่กับการที่ต้องออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าพี่ชายน้องชาย เรื่องเล่าของการออกไปนอกวัง หรือสวนหลังวัง มีมากกว่าเรื่องภายในห้องหนังสือ หรือห้องส่วนตัวของนางเสียอีก 

 

 

“หม่อมฉันค่อนข้างไม่ค่อยรูประสาเท่าไรน่ะเพคะ” 

 

 

กโยซึลแลบลิ้นออกมา  นางเบิกตากว้างแล้วพูดเสียงเบาว่า 

 

 

“โอ๊ะ นี่ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อเกียรติยศของชายาฮวางแทจาหรือไม่เพคะ” 

 

 

“ถือว่าไม่สมเกียรติในฐานะพระชายาฮวางแทจาอยู่บ้างพ่ะย่ค่ะ” 

 

 

รูแฮลดเสียงแล้วย่อตัวลง พูดต่อว่า 

 

 

“ก็แค่ไม่ไปบอกใคร กระหม่อมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“สัญญานะเพคะ ฝ่าพระบาททรงสั่งไว้ว่าห้ามทำให้พระองค์เดือดร้อนน่ะเพคะ” 

 

 

กโยซึลพูดกระซิบอย่างจริงจัง และยังยกนิ้วอันเรียวบางขึ้นมาไว้ที่หน้าริมฝีปาก ดูเป็นความกลัวที่จะถูกสามีดุมากกว่าการพูดคุยเรื่องของสามีทั่วไป 

 

 

“แล้วทรงหาหนังสือที่ก็ทรงไม่ได้โปรดปรานเจอหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ที่จริงแล้วหม่อมฉันเพียงแค่พูดถึงเรื่องห้องหนังสือเพื่อให้ฝ่าพระบาทมองหม่อมฉันในแง่ดีเท่านั้น และยามได้กลิ่นหนังสือเก่าที่ถูกเก็บไว้นานก็ทำให้หม่อมฉันคิดถึงท่านพี่มินกุงด้วย” 

 

 

กโยซึลพูดถึงองค์รัชทายาทมินกุงอีกครั้งราวกับว่านางพยายามแก้ตัวอยู่ รูแฮรู้สึกว่าท่าทางเช่นนั้นของกโยซึลช่างน่ารักนัก เขาอยากจะทำให้นางยิ้มหรือหัวเราะมากกว่านี้ นางจะชอบทำสิ่งใดนะ และเพียงไม่นานเขาก็ได้คำตอบ ตนเจอนางไม่นานด้วยซ้ำแต่กลับเดาใจของนางได้อย่างง่ายดาย นี่ก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง 

 

 

“กระหม่อมมักจะออกไปเดินเล่นที่สวนหลังวังฝ่ายนอกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“สวนหลังวังฝ่ายนอกหรือเพคะ” 

 

 

“สวนหลังวังที่กระหม่อมเคยพาพระองค์ไปลงครั้งที่เราเจอกันครั้งแรกเพื่อหวังให้ทรงรู้สึกผ่อนคลายลง พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ในวันนั้นเรามีเรื่องเศร้าใจหลายอย่าง” 

 

 

ใบหน้ารู้สึกร้อนวูบวาบทันทีเมื่อนึกถึงวันที่รูแฮออกมารับตนที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก และรู้สึกประหม่าจนขาเป็นเหน็บชา เมื่อรูแฮได้เห็นใบหน้าเขินอายนั่นก็ทำให้เขายกยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง 

 

 

“ถ้าหากพระชายาฮวางแททรงเบื่อที่นี่ ลองเสด็จไปสวนหลังวังฝ่ายนอกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เหตุเราถึงไม่คิดถึงที่นั่นตั้งแต่แรกกันนะ” 

 

 

เป็นไปตามที่รูแฮคาด เพียงแค่ได้ยินชื่อสวนหลังวังฝ่ายนอกกโยซึลก็ปรบมือร้องดีใจ 

 

 

  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่กโยซึลได้นอนหลับอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่มาถึงมกกุก เพราะตนได้พบกับสหายที่ดีนั่นเอง 

 

 

“สวนหลังวังฝ่ายนอกงั้นหรือ” 

 

 

กโยซึลนึกถึงสวนที่ตนไปเดินเล่นในตอนที่มาถึงมกกุกวันแรก รูแฮที่กระวนกระวายทันทีที่เห็นขาตนเป็นเหน็บชา เพราะคิดว่าตนได้รับบาดเจ็บ ช่วงเวลาที่ถูกรูแฮอุ้มได้ถูกสลักเอาไว้ในความคิดอย่างแจ่มแจ้ง 

 

 

“เหตุใดถึงได้ลืมไปได้นะ” 

 

 

กโยซึลบนพึมพำด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น 

 

 

“พรุ่งนี้จะต้องไปสวนหลังวังฝ่ายนอกให้ได้” 

 

 

หากไปที่นั่น ตนจะได้เจอกับสหายคนนั้นหรือไม่ เป็นที่น่าสงสัยว่าโชคชะตาแปลกประหลาดที่ทำให้ตนได้เจอเขาอย่างบังเอิญที่ห้องสมุดฝ่ายนอกนั้น พรุ่งนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพียงแค่คิดถึงสวนหลังวังฝ่ายนอกหัวใจก็เต้นตึกตัก 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่” 

 

 

กโยซึลจ้องมองไปที่เพดาน และยิ่งไปกว่านั้นนางกำลังนึกถึงพ่อกับแม่ของตนที่อยู่ห่างไกล 

 

 

“ท่านพี่มินกุง โยจิน ท่านพี่ยูลซอ ท่านพี่ชอม ฮาซอก ชาง ท่านพี่พยอง ยอมยอง” 

 

 

นางพูดชื่อของคนที่นางคิดถึงทีละชื่อ 

 

 

“ทุกคนสบายดีใช่หรือไม่ หม่อมฉันเองก็สบายดี และคิดว่าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

ถึงแม้นี่จะเป็นเตียงที่ใช้นอนในทุกวัน แต่สำหรับวันนี้รู้สึกว่าเตียงอบอุ่นขึ้นเป็นพิเศษ กโยซึลมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม 

 

 

‘กระหม่อมหมายความว่าทรงน่าเอ็นดูพ่ะย่ะค่ะ’ 

 

 

เมื่อหลับตาลงเสียงของเขาก็วนเวียนอยู่ในหู และคิดถึงริมฝีปางโค้งบางดูนุ่มนวลนั่นอยู่ตลอด กโยซึลกำผ้าห่มแล้วดึงขึ้นมาจนปิดตา อยากจะรีบนอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไปเจอเขา แต่เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรงกลับทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน 

 

 

  

 

 

*** 

 

 

เช้าวันต่อมากโยซึลรีบไปที่ตำหนักดงชอนของบีพาอันแต่เช้า ถึงแม้เขาจะบอกว่าที่มกกุกไม่มีการทักทายกันในยามเช้า แต่นี่เป็นสิ่งที่ตนตั้งใจจะปฏิบัติในฐานะที่เป็นชายากเอกของบีพาอัน ไม่ว่าจะยากแค่ไหน หรือหวาดกลัวเพียงใด ตนก็จะไปทำความเคารพบีพาอันในทุกๆ เช้า บีพาอันมองกโยซึลด้วยสีหน้าที่เหมือนกับเมื่อวาน ไม่สิ เป็นสายตาสงสัยที่บางเบาพอๆ กับเกสรดอกไม้ที่ปลิวไปตามลม 

 

 

“ทรงตรัสว่าจะไม่รบกวนเรามิใช่หรือ” 

 

 

ได้ยินอีกครั้งน้ำเสียงของเขาก็ยังคงเหมือนกับน้ำค้างแข็ง นางห่อไหล่ลง พลันรู้สึกใจฝ่อ แน่นอนว่านางเพียงแค่ซ่อนคอไว้ระหว่างไหล่ ซ่อนดวงตากลมโตไว้ใต้คิ้วเท่านั้น มิได้เก็บซ่อนคำพูดแต่อย่างใด 

 

 

“หม่อมฉันเองก็เคยแจ้งแล้วว่าจะทำหน้าที่ของชายาอย่างเต็มที่เพคะ” 

 

 

ทว่าว่าน้ำเสียงของนางสั่นเหมือนกับเสียงของนกตัวน้อยที่เผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้าย บีพาอันกระแอมเบาๆ ด้วยสีหน้างงงัน 

 

 

“เจ้า..” 

 

 

บีพาอันกำลังจะเอ่ยพูดแต่เขาเงียบลง 

 

 

“ช่างเถอะ หากชายาต้องการทำเช่นนี้ ก็จงทำตามใจเถิด เพราะเราได้พูดไว้แล้วว่าเราไม่สนใจ” 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะมาที่นี่ทุกวันเวลานี้เพคะ” 

 

 

กโยซึลยิ้มอ่อนๆ ให้กับการอนุญาตของบีพาอัน หัวใจที่กำลังสั่นไหวเพราะความกลัวสงบลง กโยซึลรู้สึกวางใจ มันเป็นย่างก้าวการมาที่ตำหนักของฮวางแทจาที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน นางนึกถึงแววตาอันสดใส และแก้มที่มีสีเลือดฝาด กโยซึลไม่ได้เดินกลับไปยังตำหนักของตน มุ่งหน้าไปที่พระราชวังชั้นนอก นางบอกกับนางกำนัลที่นำทางว่า 

 

 

“ไปสวนหลังวังฝ่ายนอก”