พอได้เริ่มพูดนางก็พูดออกมาไม่หยุด กโยซึลเล่าถึงพี่ชายทั้งสี่คน และน้องชายทั้งสี่คนของตนเองทั้งหมด ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงดูไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าลงเลยสักนิด ช่างน่าอัศจรรย์นัก
“ในตอนที่ได้พบกันครั้งแรก พระองค์เอาแต่ร้องไห้จนหม่อมฉันพลอยเศร้าใจไปด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทรงเป็นคนที่สดใสถึงเพียงนี้”
“…แปลกพระทัยหรือเพคะ”
กโยซึลหน้าซีดลง ไม่ได้เพียงแค่มีน้ำตาเยอะ หรือเป็นคนที่ยิ้มสดใสเท่านั้น นางเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกเหล่านั้นถูกแสดงออกทางสีหน้า เป็นครั้งแรกที่ตนได้เห็นสีหน้าที่สดใสถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นครั้งแรก แต่ก็คงเป็นเพราะนางคิดว่าสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือทั้งหมด จึงได้วางใจลง
“เป็นคำชมพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ดูไม่เหมือนคำชมเลยสักนิด”
“กระหม่อมหมายความว่าทรงน่าเอ็นดูพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าตนเปลี่ยนไปตามกโยซึลหรืออย่างไร รูแฮพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดโดยไม่ตั้งใจออกไปเสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบพระทัยเพคะ”
ฝ่ายที่กำลังสับสนงงงวยมีแค่รูแฮเท่านั้น กโยซึลรับคำสารภาพว่าตนน่ารักของรูแฮอย่างไม่รู้สึกอะไร แล้วนางก็อมยิ้มต่อไป ใบหน้ารูแฮร้อนวูบวาบเพราะรอยยิ้มนั้นของกโยซึล
“จากที่กระหม่อมได้ฟังเรื่องราวของฮวากุกแล้ว พระชายาฮวางแทจาทรงจะชอบการออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในความทรงจำของกโยซึล ในแต่ละวันนางยุ่งอยู่แต่กับการที่ต้องออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าพี่ชายน้องชาย เรื่องเล่าของการออกไปนอกวัง หรือสวนหลังวัง มีมากกว่าเรื่องภายในห้องหนังสือ หรือห้องส่วนตัวของนางเสียอีก
“หม่อมฉันค่อนข้างไม่ค่อยรูประสาเท่าไรน่ะเพคะ”
กโยซึลแลบลิ้นออกมา นางเบิกตากว้างแล้วพูดเสียงเบาว่า
“โอ๊ะ นี่ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อเกียรติยศของชายาฮวางแทจาหรือไม่เพคะ”
“ถือว่าไม่สมเกียรติในฐานะพระชายาฮวางแทจาอยู่บ้างพ่ะย่ค่ะ”
รูแฮลดเสียงแล้วย่อตัวลง พูดต่อว่า
“ก็แค่ไม่ไปบอกใคร กระหม่อมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“สัญญานะเพคะ ฝ่าพระบาททรงสั่งไว้ว่าห้ามทำให้พระองค์เดือดร้อนน่ะเพคะ”
กโยซึลพูดกระซิบอย่างจริงจัง และยังยกนิ้วอันเรียวบางขึ้นมาไว้ที่หน้าริมฝีปาก ดูเป็นความกลัวที่จะถูกสามีดุมากกว่าการพูดคุยเรื่องของสามีทั่วไป
“แล้วทรงหาหนังสือที่ก็ทรงไม่ได้โปรดปรานเจอหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่จริงแล้วหม่อมฉันเพียงแค่พูดถึงเรื่องห้องหนังสือเพื่อให้ฝ่าพระบาทมองหม่อมฉันในแง่ดีเท่านั้น และยามได้กลิ่นหนังสือเก่าที่ถูกเก็บไว้นานก็ทำให้หม่อมฉันคิดถึงท่านพี่มินกุงด้วย”
กโยซึลพูดถึงองค์รัชทายาทมินกุงอีกครั้งราวกับว่านางพยายามแก้ตัวอยู่ รูแฮรู้สึกว่าท่าทางเช่นนั้นของกโยซึลช่างน่ารักนัก เขาอยากจะทำให้นางยิ้มหรือหัวเราะมากกว่านี้ นางจะชอบทำสิ่งใดนะ และเพียงไม่นานเขาก็ได้คำตอบ ตนเจอนางไม่นานด้วยซ้ำแต่กลับเดาใจของนางได้อย่างง่ายดาย นี่ก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง
“กระหม่อมมักจะออกไปเดินเล่นที่สวนหลังวังฝ่ายนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“สวนหลังวังฝ่ายนอกหรือเพคะ”
“สวนหลังวังที่กระหม่อมเคยพาพระองค์ไปลงครั้งที่เราเจอกันครั้งแรกเพื่อหวังให้ทรงรู้สึกผ่อนคลายลง พ่ะย่ะค่ะ”
“ในวันนั้นเรามีเรื่องเศร้าใจหลายอย่าง”
ใบหน้ารู้สึกร้อนวูบวาบทันทีเมื่อนึกถึงวันที่รูแฮออกมารับตนที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก และรู้สึกประหม่าจนขาเป็นเหน็บชา เมื่อรูแฮได้เห็นใบหน้าเขินอายนั่นก็ทำให้เขายกยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง
“ถ้าหากพระชายาฮวางแททรงเบื่อที่นี่ ลองเสด็จไปสวนหลังวังฝ่ายนอกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุเราถึงไม่คิดถึงที่นั่นตั้งแต่แรกกันนะ”
เป็นไปตามที่รูแฮคาด เพียงแค่ได้ยินชื่อสวนหลังวังฝ่ายนอกกโยซึลก็ปรบมือร้องดีใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่กโยซึลได้นอนหลับอย่างอารมณ์ดีหลังจากที่มาถึงมกกุก เพราะตนได้พบกับสหายที่ดีนั่นเอง
“สวนหลังวังฝ่ายนอกงั้นหรือ”
กโยซึลนึกถึงสวนที่ตนไปเดินเล่นในตอนที่มาถึงมกกุกวันแรก รูแฮที่กระวนกระวายทันทีที่เห็นขาตนเป็นเหน็บชา เพราะคิดว่าตนได้รับบาดเจ็บ ช่วงเวลาที่ถูกรูแฮอุ้มได้ถูกสลักเอาไว้ในความคิดอย่างแจ่มแจ้ง
“เหตุใดถึงได้ลืมไปได้นะ”
กโยซึลบนพึมพำด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น
“พรุ่งนี้จะต้องไปสวนหลังวังฝ่ายนอกให้ได้”
หากไปที่นั่น ตนจะได้เจอกับสหายคนนั้นหรือไม่ เป็นที่น่าสงสัยว่าโชคชะตาแปลกประหลาดที่ทำให้ตนได้เจอเขาอย่างบังเอิญที่ห้องสมุดฝ่ายนอกนั้น พรุ่งนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพียงแค่คิดถึงสวนหลังวังฝ่ายนอกหัวใจก็เต้นตึกตัก
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
กโยซึลจ้องมองไปที่เพดาน และยิ่งไปกว่านั้นนางกำลังนึกถึงพ่อกับแม่ของตนที่อยู่ห่างไกล
“ท่านพี่มินกุง โยจิน ท่านพี่ยูลซอ ท่านพี่ชอม ฮาซอก ชาง ท่านพี่พยอง ยอมยอง”
นางพูดชื่อของคนที่นางคิดถึงทีละชื่อ
“ทุกคนสบายดีใช่หรือไม่ หม่อมฉันเองก็สบายดี และคิดว่าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้”
ถึงแม้นี่จะเป็นเตียงที่ใช้นอนในทุกวัน แต่สำหรับวันนี้รู้สึกว่าเตียงอบอุ่นขึ้นเป็นพิเศษ กโยซึลมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
‘กระหม่อมหมายความว่าทรงน่าเอ็นดูพ่ะย่ะค่ะ’
เมื่อหลับตาลงเสียงของเขาก็วนเวียนอยู่ในหู และคิดถึงริมฝีปางโค้งบางดูนุ่มนวลนั่นอยู่ตลอด กโยซึลกำผ้าห่มแล้วดึงขึ้นมาจนปิดตา อยากจะรีบนอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไปเจอเขา แต่เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรงกลับทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน
***
เช้าวันต่อมากโยซึลรีบไปที่ตำหนักดงชอนของบีพาอันแต่เช้า ถึงแม้เขาจะบอกว่าที่มกกุกไม่มีการทักทายกันในยามเช้า แต่นี่เป็นสิ่งที่ตนตั้งใจจะปฏิบัติในฐานะที่เป็นชายากเอกของบีพาอัน ไม่ว่าจะยากแค่ไหน หรือหวาดกลัวเพียงใด ตนก็จะไปทำความเคารพบีพาอันในทุกๆ เช้า บีพาอันมองกโยซึลด้วยสีหน้าที่เหมือนกับเมื่อวาน ไม่สิ เป็นสายตาสงสัยที่บางเบาพอๆ กับเกสรดอกไม้ที่ปลิวไปตามลม
“ทรงตรัสว่าจะไม่รบกวนเรามิใช่หรือ”
ได้ยินอีกครั้งน้ำเสียงของเขาก็ยังคงเหมือนกับน้ำค้างแข็ง นางห่อไหล่ลง พลันรู้สึกใจฝ่อ แน่นอนว่านางเพียงแค่ซ่อนคอไว้ระหว่างไหล่ ซ่อนดวงตากลมโตไว้ใต้คิ้วเท่านั้น มิได้เก็บซ่อนคำพูดแต่อย่างใด
“หม่อมฉันเองก็เคยแจ้งแล้วว่าจะทำหน้าที่ของชายาอย่างเต็มที่เพคะ”
ทว่าว่าน้ำเสียงของนางสั่นเหมือนกับเสียงของนกตัวน้อยที่เผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้าย บีพาอันกระแอมเบาๆ ด้วยสีหน้างงงัน
“เจ้า..”
บีพาอันกำลังจะเอ่ยพูดแต่เขาเงียบลง
“ช่างเถอะ หากชายาต้องการทำเช่นนี้ ก็จงทำตามใจเถิด เพราะเราได้พูดไว้แล้วว่าเราไม่สนใจ”
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะมาที่นี่ทุกวันเวลานี้เพคะ”
กโยซึลยิ้มอ่อนๆ ให้กับการอนุญาตของบีพาอัน หัวใจที่กำลังสั่นไหวเพราะความกลัวสงบลง กโยซึลรู้สึกวางใจ มันเป็นย่างก้าวการมาที่ตำหนักของฮวางแทจาที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน นางนึกถึงแววตาอันสดใส และแก้มที่มีสีเลือดฝาด กโยซึลไม่ได้เดินกลับไปยังตำหนักของตน มุ่งหน้าไปที่พระราชวังชั้นนอก นางบอกกับนางกำนัลที่นำทางว่า
“ไปสวนหลังวังฝ่ายนอก”