ตอนที่ 6-1 ใจที่หวั่นไหว

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

เสียงของเหล่านางกำนัลที่กำลังพูดเพ้อเจอไปเรื่อยลอยมาเข้าหูกโยซึล กโยซึลทำตาปรือๆ กำลังนับเม็ดฝุ่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ 

 

 

เมื่อไร… 

 

 

หาความสนุกไม่เจอเลยสักนิด ดวงตาที่เหนื่อยล้ากลิ้งกลอกไปมา มันเป็นสีหน้าของคนที่ประท้วงความเบื่อหน่าย กโยซึลสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่และถอนหายใจออกมายาวๆ  

 

 

ขั้นตอนที่น่ารำคาญเช่นนี้จะจบลงเสียที 

 

 

เหล่านางกำนัลกำลังตกแต่งวิกผมคาเชของกโยซึลด้วยปิ่นปักผมรูปทรงผีเสื้อ พร้อมทั้งเครื่องประดับอื่นๆ บางคนนำเครื่องสำอางมาวางเรียงรายแล้วทำการแต่งหน้าทาปากให้กับกโยซึล นางถูกแต่งตัวให้อย่างสวยงาม แต่ใบหน้าของนางดูไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะเบื่อกับขั้นตอนกระบวนการที่ไร้ความหมายเช่นนี้มานานแล้ว และในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวจนพูดออกมา 

 

 

“ในวันวันหนึ่งเราต้องแต่งหน้ากี่ครั้งกันหรือ” 

 

 

“ภายในพระราชวังแห่งนี้มีผู้คนคอยจ้องมองอยู่มากมายนะเพคะ” 

 

 

แม่นมปลอบกโยซึลที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จอย่างชำนาญ แม้ว่าจะไม่มีพิธีพิเศษอะไร ในทุกๆ เช้าก็จะต้องเริ่มด้วยการแต่งหน้า ในตอนเที่ยงและตอนบ่ายก็ต้องคอยเติมหน้าอยู่ตลอด 

 

 

“เพราะในระหว่างนั้นไม่อาจรู้เลยว่าฝ่าพระบาทฮวางแทจาจะทรงเรียกให้เข้าเฝ้าเมื่อไร จึงต้องแต่งหน้าแต่งตัวให้พร้อมเสมอนะเพคะ และนี่ยังเป็นข้อควรปฏิบัติของพระชายาฮวางแทจาด้วยเพคะ” 

 

 

“แต่ในความเป็นจริงฝ่าพระบาทเคยบอกว่าจะไม่ทรงเรียกหาเรานะ” 

 

 

“อย่างไรก็ตาม…” 

 

 

แม่นมรู้สึกตกใจในคำตอบอย่างตรงไปตรงมาของกโยซึล เหล่านางในต่างพากันสะดุ้งและมองตากันอย่างเลิ่กลั่ก  

 

 

หากเทียบกับตอนอยู่ที่ฮวากุกแล้ว มันทั้งหนักและไร้ทิศทาง ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมถึงคนที่ต้องพบเจอ ไม่ว่าจะแต่งกายสวยเพียงใด บีพาอันก็ไม่มีความสนใจในกโยซึลเลยสักนิด แม้ว่าจะไปทำความเคารพในตอนเช้าทุกวันที่ตำหนักดงชอน กโยซึลก็เป็นคนเดียวที่คอยพูดไปเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มให้กับกโยซึลที่พยายามจะพูดหยอกล้อด้วย 

 

 

พอมาถึงตอนนี้เรี่ยวแรงของกโยซึลก็เริ่มถดถอยไป ช่วงนี้ตนคิดถึงฮวากุกอย่างน่าประหลาด เหน็ดเหนื่อยกับทุกสิ่งอย่างง่ายดาย นี่เป็นอาการคิดถึงบ้านครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับตน 

 

 

“ตอนเช้าเราจะต้องไปทำความเคารพฝ่าพระบาท ก็ทุ่มเทกับการแต่งหน้าแต่งตัวแค่ตอนเช้าก็น่าจะพอมิใช่หรือ หรือไม่ก็ไม่แต่งเลย” 

 

 

ความไม่พอใจของนางมากขึ้นเรื่อยๆ ซังกุงที่ดูแลเรื่องการแต่งตัวเสริมขึ้นมาว่า 

 

 

“พระชายา การที่ต้องแต่งตัวให้งดงามอยู่ตลอดนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักเพคะ” 

 

 

“ธรรมเนียมปฏิบัติที่มันไม่สะดวกสบายเช่นนี้เป็นถือเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติได้อย่างไรกัน ที่มกกุกใส่แค่กระโปรงสบายๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” 

 

 

วิกผมคาเชตกแต่งด้วยเครื่องประดับมากมายที่หนักเป็นสองเท่าของศีรษะเล็กของกโยซึล ราวกับว่ามันกำลังจะตัดหัวกับคอให้ขาดออกจากกัน เสื้อผ้าก็เช่นกันต้องใส่หลายๆ ชั้น ไม่ว่ามันจะบางเบาเพียงใด แต่ก็ทำให้ร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในช่วงฤดูร้อน เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับกโยซึลแล้วการแต่งหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของพระราชวังนี้มันหนักหนาสำหรับนางมาก มันลำบากยิ่งกว่ากฎที่เข็มงวดอื่นๆ เสียอีก 

 

 

“อย่างที่ท่านยูอนบูอินได้กล่าวไป ที่พระราชวังแห่งนี้มีคนคอยจับตาดูอยู่มากมาย ทรงต้องรักษาไว้ซึ่งความสง่างามตลอดเวลาเพคะ” 

 

 

“ขนาดแต่งกายอย่างสง่างามเช่นไรก็ยังไม่เข้าตาสามีของเรา เหตุใดต้องแต่งให้ผู้อื่นชม…” 

 

 

กโยซึลที่กำลังพรั่งพรูความไม่พอใจอยู่ดีๆ ก็เงียบไป มีหน้าใครบางคนผุดขึ้นมาตรงหน้า ขณะที่กโยซึลกำลังเหม่อลอยมองไปบนท้องฟ้า กโยซึลที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ดีๆ ก็สะดุ้งและยกมือขึ้นมาปัดที่ด้านหน้าของตน เส้นด้ายสีทองที่ปักอยู่บนแขนเสื้อส่งแสงระยิบระยับ และรอยยิ้มสว่างไสวของใครบางคนก็จางหายไป 

 

 

“อย่างที่แม่นมบอกว่าในพระราชวังมีคนคอยจับตาดูอยู่มากมาย เช่นนั้นก็ทำแต่พอดี ไม่ให้ดูแย่เกินไปก็พอ การแต่งตัวเช่นนี้มันมากเกินไป มันหนักแล้วก็ไม่สบายตัวเอาเสียเลย” 

 

 

“ได้เพคะ” 

 

 

แม่นมถือว่านี่เป็นคำขอที่เหมาะสม วิกผมคาเชถูกลดขนาดลงมาครึ่งหนึ่ง เครื่องประดับบางส่วนถูกเอาออก เพียงแค่ลดขนาดของวิกผมคาเชก็ช่วยผ่อนเบาภาระไหล่และคอของกโยซึลได้เป็นอย่างมาก เสื้อผ้าที่สวมใส่หลายชั้นก็เช่นกัน ถอดออกแค่บางชิ้นมันก็กลายเป็นเสื้อผ้าที่เบาสบายแล้ว 

 

 

“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ตอนนี้เราจะไปสวนหลังวังฝ่ายนอก” 

 

 

กโยซึลผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฝีเท้าที่ดูเบาสบายไร้กังวลเดินออกไปจากห้องนอน แล้วแม่นมรีบเดินตามหลังกโยซึลออกไป 

 

 

 

 

 

หลังจากที่รูแฮแนะนำสวนหลังวังฝ่ายนอกให้ กโยซึลก็ไปที่นั่นทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเจอรูแฮเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่รูแฮเลยที่สวนหลังวังนั้นไม่มีมนุษย์เลยสักคน ช่างน่าเสียได้ที่ไม่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่การที่สวนหลังวังแห่งนี้ไม่มีคนในราชสำนักเลย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี 

 

 

“ไม่มีผู้ใดมาจับตามอง ไม่มีผู้ใดมาคอยแอบฟัง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้ในราชสำนักด้วย!” 

 

 

กโยซึลรู้สึกถึงอิสระ เพราะปกติตนจะต้องถูกคนในวังติดตามตัวทั้งวัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนางเลยสั่งให้แม่นมรออยู่ข้างนอกสวนด้วยเสียเลย ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ในเขตของพระราชวัง แต่นางก็รู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานเหมือนกับม้าตัวน้อยที่ได้เจอทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ นิสัยเดิมของนางที่ดูมีความห้าวตอนอยู่กับเหล่าน้องชายสมัยที่อยู่ฮวากุกก็เริ่มกลับมา ฝีเท้าที่เชื่องช้าเริ่มเปลี่ยนเป็นก้าวกระโดด นางร่าเริงเป็นอย่างมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกันกับหญิงสาวที่นั่งเบื่อหน่ายอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนหน้านี้ 

 

 

กโยซึลที่กำลังเดินสำรวจไปรอบๆ สวนอยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน สายตาของนางมองขึ้นไปทางด้านบน ดวงตาเบิกโตขึ้น นางยู่จมูกเล็กน้อย ริมฝีปากที่ดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีดอกไม้สดเปิดออกนิดๆ แก้มพลันเปลี่ยนสีแดงเลือดฝาด 

 

 

“เจ้า” 

 

 

ในที่สุดก็หาเจอจนได้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจตนตั้งแต่แรกพบ นอกจากพื้นที่ของสวนหลังวังนี้จะกว้างแล้วกโยซึลก็ยังไม่ค่อยรู้จักพื้นที่นี้มากเท่าใดนัก นางจึงต้องสำรวจไปทั่วทั้งสวนและในที่สุดวันนี้ก็หาเจอจนได้ ดวงตาฉายความร้ายกาจราวกับกำลังเฝ้ารออย่างเต็มที่ 

 

 

“เราคิดมาตั้งแต่ครั้งที่เจอเจ้าแล้ว” 

 

 

ดวงตาของกโยซึลเป็นประกายด้วยความท้าทาย นางหายใจเร็วด้วยความตื่นเต้น และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า 

 

 

“เราขอประกาศว่า เราจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้” 

 

 

พรวด กโยซึลยื่นมืออกไปทันทีอย่างไม่เกรงกลัว แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ 

 

 

“พอดีเลยที่วันนี้แต่งกายไม่หนาเสียด้วย” 

 

 

นี่คือโอกาสทอง ในที่สุดวันนี้นางก็ได้เจอคู่ต่อสู้ที่น่านับถือ วิกผมคาเชเองเล็กกว่าวันอื่นๆ มาครึ่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ นางจึงถอดผ้าคลุมไหล่ออกด้วย