ตอนที่ 396 จิ้งจอกเจ้าเล่ห์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ชนเผ่าวิหคโบยบินตั้งอยู่ทางใต้ของป่าเพลิงมายาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับชนเผ่าเมฆาคราม

อย่างไรก็ตาม พวกเขาแตกต่างไปจากชนเผ่าเมฆาครามอย่างสิ้นเชิง อาณาเขตของชนเผ่าวิหคโบยบินจะล้อมรอบด้วยเทือกเขาและพฤกษานานาพันธุ์ ชนเผ่านี้เหมือนเป็นชนเผ่าเล็กๆที่ซ่อนตัวกลางป่าในยุคศตวรรษ 21 พวกเขาซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาและลึกลับอย่างที่สุด

ด้วยการนำทางของซูน่า ฉินอวี้โม่ใช้เวลาสามวันก่อนปรากฏขึ้นมาภายในระยะอาณาเขตของชนเผ่าวิหคโบยบิน

ความเป็นอยู่ของชนเผ่านี้แตกต่างจากชนเผ่าเมฆาครามตรงที่ที่พักทั้งหมดของพวกเขาเป็นบ้านไม้หลังเล็กซึ่งซ่อนอยู่หลังภูเขา หากต้องการเข้าไป ผู้มาเยือนทุกคนจะต้องผ่านทางเข้าแคบๆที่คุ้มกันโดยคนของชนเผ่าวิหคโบยบิน

เป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษนี้ ชนเผ่าวิหคโบยบินจึงเป็นชนเผ่าที่เข้าถึงได้ยากและลึกลับที่สุดในทั้งสามชนเผ่า

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และซูน่าไม่กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทั้งสองขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวผ่านทหารคุ้มกันสองคนและเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของชนเผ่าวิหคโบยบิน

“บ้านหลังใหญ่ที่สุดตรงนั้นน่าจะเป็นที่พักของจูเฟยชวี่”

หลังจากมองสำรวจรอบพื้นที่อย่างคร่าวๆ ซูน่าก็เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาคารหลังที่ใหญ่ที่สุดในชนเผ่า

ทว่าฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะและกล่าวขึ้น “ข้าไม่คิดเช่นนั้น จากข้อมูลที่ท่านลุงบอกมา จูเฟยชวี่ผู้นี้น่าจะเป็นบุคคลที่รับมือได้ยากทีเดียว ข้าเดาว่าเขาคงไม่ทำตัวโดดเด่นเป็นที่สนใจและน่าจะเก็บตัวหลบซ่อนมากกว่า”

จากคำอธิบายของซูวั่งชวนและซูชิงก่อนหน้านี้ จูเฟยชวี่จะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นที่สนใจของผู้คน ทว่าคงจะเก็บตัวเงียบอย่างสงบเสงี่ยม ด้วยเหตุนี้ฉินอวี้โม่จึงเชื่อว่าบ้านหลังใหญ่นั้นไม่ใช่ที่อยู่ของจูเฟยชวี่อย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูน่าก็พยักศีรษะและรู้สึกว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมาก็สมเหตุสมผลพอสมควร

“ถ้างั้นเราจะตามหาเขาได้ที่ไหน?”

เมื่อมองไปรอบๆ ซูน่าก็มองเห็นว่านอกเหนือจากอาคารหลังใหญ่ตรงกลาง ทุกอย่างรอบตัวล้วนดูเหมือนกันทั้งหมดจนนางสับสนไปครู่ใหญ่

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและระบุตำแหน่งอย่างคร่าวๆ

“หากข้าเดาไม่ผิด จูเฟยชวี่น่าจะอาศัยอยู่ในบ้านไม้ไผ่ตรงนั้น”

ขณะชี้ตรงไปยังบ้านที่ดูธรรมดาไม่โดดเด่นใกล้ภูเขา ฉินอวี้โม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

ซูน่าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่มั่นอกมั่นใจอย่างที่สุดนั้น

“ทำไมกัน?”

นางอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ซูน่าอยากรู้ว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงคิดว่าเป้าหมายอยู่ในบ้านหลังนั้น

“ง่ายมาก จูเฟยชวี่น่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่าวิหคโบยบิน ที่พักที่เขาเลือกอาจไม่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดทว่าจะต้องเป็นที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นที่สุด ที่ตรงนั้นอยู่ติดกับภูเขาซึ่งสามารถรวบรวมพลังได้ดี การอยู่ที่นั่นจะช่วยให้เขาฝึกยุทธ์ได้เร็วขึ้น เพราะเหตุนั้นข้าจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องอยู่ที่บ้านหลังนั้นเป็นแน่”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของฉินอวี้โม่ ซูน่าก็พยักศีรษะอย่างใช้ความคิด

ฉินอวี้โม่คิดถูกแล้ว ตำแหน่งนั้นเป็นจุดที่มีสภาวะพลังหนาแน่นที่สุดในชนเผ่าวิหคโบยบิน ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ใดๆ ก็ต้องรู้สึกชื่นชอบและยินดีที่ได้ฝึกฝนวิชาอยู่ในที่ตรงนั้น

“ไปดูกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆก่อนมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางนั้นโดยเร็ว

เมื่อมาถึงหน้าบ้านไม้ไผ่และเห็นว่าประตูบ้านเปิดกว้างไว้ นางก็คิดว่าจูเฟยชวี่คงจะไม่ได้ฝึกวิชาอยู่

นักฆ่าสาวไม่รอช้าและขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงเข้าไปข้างในทันที

เมื่อเข้ามาข้างในก็พบว่ามันเป็นบ้านที่วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง ภาพวาดทิวทัศน์งดงามแขวนประดับข้างฝาและดอกไม้สวยงามภายในบ้านทำให้สัมผัสได้ว่าเจ้าของบ้านจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง

ข้างหน้าต่างในฟากหนึ่งของบ้านคือเตียงนอนซึ่งบัดนี้มีบุรุษคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนนั้นและหลับตาทำสมาธิ

เขาคือบุรุษวัยกลางคนที่ดูมีหน้าตาอ่อนโยนอย่างยิ่งและกลิ่นอายความเป็นมิตรที่แผ่มาจากเขาทำให้ผู้คนอยากเข้าไปใกล้ รอยยิ้มบางๆที่ประดับบนใบหน้าของเขาเสริมความลึกลับมากขึ้นจนทำให้เขาดูเข้าใจยากอย่างยิ่ง

“หึหึ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็แสดงตัวออกมาเถอะ”

จู่ๆบุรุษวัยกลางคนก็ลืมตาและมองตรงมาในทิศทางของคฤหาสน์เฟิงหัวพร้อมเอ่ยเสียงเบา

ซูน่าที่อยู่ภายในคฤหาสน์ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

เวลานี้คุณสมบัติล่องหนของคฤหาสน์เฟิงหัวไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักและด้วยพลังของจูเฟยชวี่ เขาจึงสัมผัสถึงมันได้อย่างง่ายดาย

“สมกับคำร่ำลือจริงๆ ผู้นำจู”

พร้อมรอยยิ้มบาง จู่ๆร่างของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างไม่มีที่มาและนั่งลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากจูเฟยชวี่

เมื่อเห็นผู้ที่ปรากฏกาย จูเฟยชวี่ก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าคนๆนี้จะเป็นสตรีและยังงดงามถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อาจตรวจจับระดับพลังของฉินอวี้โม่ได้เลย กลิ่นอายที่แผ่ออกจากตัวนางก็ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ท่านจอมยุทธ์เป็นใครรึ? ไม่ทราบว่าเข้ามาทำอะไรที่ชนเผ่าวิหคโบยบินของเรารึ?”

จูเฟยชวี่ยืนขึ้นอย่างช้าๆก่อนเดินตรงไปที่โต๊ะและรินน้ำชาให้ฉินอวี้โม่พลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและโบกมือสร้างม่านพลังปกคลุมทั่วบ้านไม้ไผ่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามาได้ยินบทสนทนาที่จะเกิดขึ้น

“ผู้นำจูช่างใจเย็นยิ่งนัก ท่านไม่กังวลรึว่าข้าจะมาที่นี่เพื่อลอบสังหารท่าน?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำชาและจิบเล็กน้อย

“ชาเถี่ยกวนอินนี่ถือเป็นชารสดีทีเดียว”

กลิ่นชาอบอวลและรสชาติค่อนข้างเด่นชัดในตอนแรก ทว่ารสกรุ่นที่หลงเหลือติดลิ้นนั้นละมุนนุ่มนวลอย่างไม่รู้จบ จูเฟยชวี่ผู้นี้เป็นบุคคลที่สนใจในความสุนทรีย์อย่างแท้จริง

“ฮ่าๆๆ มันไม่ใช่ชาดีเท่าใดนัก ทว่ามันก็ดีกว่าชาทั่วๆไป”

จูเฟยชวี่ยิ้มและนั่งลงตรงข้ามฉินอวี้โม่

ทั้งสองปฏิบัติราวกับสหายสองคนที่มาพบกันและบรรยากาศดูเป็นมิตรกลมกลืนอย่างน่าประหลาด

เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนของจูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “บอกตามตรง ข้าได้ยินข่าวเรื่องหนึ่งมาและพบว่ามันน่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าจึงเดินทางมาที่ชนเผ่าวิหคโบยบินแห่งนี้เพื่อสืบหาความจริง”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆของอีกฝ่าย สีหน้าของผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแต่ถอนหายใจเบาๆอยู่ในใจ ยากจะละสายตาไปจากแม่นางผู้นี้อย่างแท้จริง

“ฮ่าๆๆ ไม่ทราบว่าข่าวที่ว่าคือข่าวใดรึถึงทำให้ท่านมาถึงที่นี่ได้?”

จูเฟยชวี่กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง หากว่าท่านจอมยุทธ์อยากมาที่ชนเผ่าวิหคโบยบินของเรา ท่านก็มาตรงๆอย่างเปิดเผยได้เลย ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มเล็กน้อย เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ บุรุษผู้นี้คือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์และไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ฮ่าๆๆ ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวมาก หากข้ามาอย่างเปิดเผย เกรงว่าข้าคงไม่ได้เข้ามาถึงที่นี่และถูกขับไล่กลับไปตั้งแต่ต้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างติดตลก

สำหรับการรับมือกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างจูเฟยชวี่ นางจะต้องใจเย็นและหนักแน่นเข้าไว้

“เป็นเรื่องที่สำคัญขนาดนั้นเลยรึ?”

สีหน้าของจูเฟยชวี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าก็อยากรู้ยิ่งนัก ปัญหาแบบใดกันที่ทำให้ท่านจอมยุทธ์ต้องยุ่งยากลำบากถึงเพียงนี้”

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าชนเผ่าวิหคโบยบินของท่านจงรักภักดีต่อเทพมายาและไม่ลงรอยกับฉินเหยียน—ผู้นำของโลกมายาคนปัจจุบัน อีกทั้งยังหาโอกาสโค่นล้มอำนาจของนาง ไม่ทราบว่านี่เป็นเรื่องจริงรึไม่?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาทันที

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดสีหน้าของจูเฟยชวี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าเขาปรับสีหน้ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆๆ ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดสิ่งใดอยู่”

หลังจากมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา จูเฟยชวี่ก็นึกสงสัยอย่างยิ่งว่าจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้เป็นใครกันแน่?

“ผู้นำฉินเหยียนเป็นผู้ปกครองโลกมายาของเรา แน่นอนว่าข้าย่อมเคารพนางและไม่มีความคิดกบฏใดๆ การที่ท่านกล่าวเช่นนี้ถือเป็นการทำให้ข้าและชนเผ่าวิหคโบยบินต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง!”

เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็อดแค่นเสียงในลำคอไม่ได้ อยากรู้นักว่าจูเฟยชวี่ผู้นี้จะปิดบังต่อไปได้อีกนานเพียงใด

“ฮ่าๆๆ มีสุภาษิตกล่าวกันว่าช่องว่างในถ้ำย่อมก่อให้เกิดลม ในเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าต้องมีมูลอย่างแน่นอน สาเหตุที่ข้ามาเยี่ยมเยียนชนเผ่าวิหคโบยบินในวันนี้ก็เพื่อตอบสนองความอยากรู้ของตนเองและไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง ผู้นำจูวางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ชอบฉินเหยียนนั่นเช่นกัน หากชนเผ่าวิหคโบยบินคิดเช่นเดียวกันกับข้า เราก็ควรที่จะผนึกกำลังด้วยกัน”

* 空穴来风/空穴來風 ช่องว่างในถ้ำหรือรูถ้ำก่อให้เกิดลม ซึ่งในความหมายก็คือ ลมพายุจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีต้นสายปลายเหตุ ซึ่งสุภาษิตคำนี้ แต่เดิมหมายถึง เรื่องราวหรือข่าวลือต่างๆล้วนเกิดขึ้นจากสาเหตุแห่งสิ่งนั้นด้วย

“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์ไม่กลัวรึว่าข้าจะนำเรื่องนี้ไปเปิดเผย? หากเป็นเช่นนั้น ความไม่พึงพอใจที่ท่านมีต่อผู้นำฉินเหยียนจะได้ไปถึงหูของนาง ข้าเกรงว่าในตอนนั้นท่านจอมยุทธ์คงจะลงเอยไม่สวยแน่”

จูเฟยชวี่ยืนขึ้นทันที เขายิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความข่มขู่เล็กน้อย

“หากข้ากล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด ต่อให้ฉินเหยียนจะยืนอยู่ตรงหน้านี้ ข้าก็จะมีกิริยาท่าทางที่เป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

รอยยิ้มและสีหน้าของฉินอวี้โม่ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้ได้ยินวาจาของอีกฝ่าย

“หากไม่ใช่เพราะข้ายังขาดพลังความแข็งแกร่ง ข้าก็คงจะมุ่งหน้าตรงไปที่เมืองมายาด้วยตัวเองและประชันฝีมือกับฉินเหยียนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดและน้ำเสียงจริงจังของฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็มองนางอย่างพิจารณาและขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ท่านเป็นใครกันแน่?”

จูเฟยชวี่เอ่ยถามขณะแรงกดดันจากเขาแผ่ออกไปอย่างไม่ปิดบัง

“ผู้นำจู แรงกดดันของท่านไม่มีผลกับข้าหรอก”

อดีตนักฆ่าสาวยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางไม่แยแสแรงกดดันจากจูเฟยชวี่เลยสักนิด

เมื่อไม่นานมานี้ นางค้นพบคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของกายเทพมายา นั่นคือตราบใดที่นางกระตุ้นพลังของกายเทพมายาออกมา ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่ทรงพลังใดๆก็จะไม่มีต่อนางแม้แต่น้อย

“ฮ่าๆๆ หากท่านจอมยุทธ์ไม่บอกจุดประสงค์ในการเข้ามาที่ชนเผ่าของเรา ข้าเกรงว่าท่านจะไม่ได้กลับออกไปอีก”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็ถอนแรงกดดันออกไปและกล่าวขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือความข่มขู่เล็กน้อย

ในที่สุดเมื่ออีกฝ่ายหยุดแผ่แรงกดดันออกมา ฉินอวี้โม่ก็เหยียดกายลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยขณะมองจูเฟยชวี่และกล่าวออกไป “จูเฟยชวี่ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพมายา เจ้าไม่คิดจะแสดงความเคารพเลยรึ?”

ขณะกล่าวเช่นนั้น นางก็ไม่ปิดบังอีกต่อไปและแผ่แรงกดดันทรงพลังจากร่างของตนเองออกไปกดขี่จูเฟยชวี่ทันที

นี่คือแรงกดดันเฉพาะตัวของเทพมายาและฉินอวี้โม่ไม่เคยใช้มันมาก่อน นางตัดสินใจใช้มันในวันนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ตัวตนของตนเองกับจูเฟยชวี่เท่านั้น

วาจาของสตรีตรงหน้าทำให้จูเฟยชวี่ตกะลึงไปทันที ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่คุ้นเคย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะค่อยๆคุกเข่าลง

“คารวะท่านเทพมายา!”

เมื่อได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบาๆ  นางเข้าใจดีว่านี่คือความเคารพที่จูเฟยชวี่มีต่อเทพมายา มิใช่ว่าเขายอมรับในตัวนางแล้ว