ตอนที่ 395 ชนเผ่าวิหคโบยบิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ ชนเผ่าเมฆาคราม อสูรมายานับร้อยตัวได้ทำพันธสัญญากับสมาชิกที่ซูวั่งชวนคัดเลือกไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากพวกมันทั้งหมดล้วนเป็นอสูรมายาระดับสูง หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทำพันธสัญญา ความแข็งแกร่งโดยรวมของชนเผ่าเมฆาครามจึงพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

บัดนี้หากทั้งสามขุมกำลังใหญ่ของเมืองเพลิงมายาทำสงครามกัน ชนเผ่าเมฆาครามจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ซูวั่งชวนไม่โง่เขลาพอที่จะปล่อยให้ผู้อื่นรู้ไพ่ตายใบนี้ของชนเผ่าเมฆาคราม เพราะเหตุนั้นเขาจึงสั่งห้ามไม่ให้คนเหล่านี้เปิดเผยเรื่องนี้โดยเด็ดขาด ในขณะเดียวกัน บรรดาสมาชิกของชนเผ่าต้องปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้

ชนเผ่าเมฆาครามของพวกเขาจำเป็นต้องมีไพ่ตายซ่อนไว้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้

แน่นอนว่าทุกคนในชนเผ่าเชื่อฟังและตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างดี

และเป็นเพราะเหตุการณ์นี้ ทุกคนในชนเผ่าต่างก็เคารพฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม บัดนี้นางกลายเป็นที่เคารพและเทิดทูนของชนเผ่าเมฆาครามอย่างแท้จริง

ซูวั่งชวนและคนอื่นๆซาบซึ้งในการกระทำของฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งชนเผ่าของพวกเขาจะบรรลุความแข็งแกร่งในระดับนี้ได้ บัดนี้เมื่อพลังอำนาจของชนเผ่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างยิ่ง มันก็เหมือนกับเป็นความฝันที่กลายเป็นจริงขึ้นมา

ภายในกระโจมหลังหนึ่ง ซูวั่งชวน ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆนั่งลงรวมตัวกัน

“อวี้โม่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มากฝีมือเช่นนี้”

ซูชิงมองฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม เขาไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ผู้เก่งอาจผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรฝีมือดี

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ‘ทักษะการสยบอสูรมายา’ นี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ที่นางรู้ว่าตนเองเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายา

ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาทักษะการสยบอสูรมายาของนางแม้แต่น้อย อสูรมายาทุกตัวที่พบนั้น นางสามารถสยบพวกมันได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องใช้เวลามากมายด้วยซ้ำ

“ฮ่าๆๆ ท่านปู่ ยังมีเรื่องอื่นที่ท่านไม่รู้ อวี้โม่ไม่ได้มีดีแค่นั้น ทว่านางยังเป็นช่างหลอมอุปกรณ์ระดับเชี่ยวชาญที่มีเพลิงจักรพรรดิอีกด้วย”

ซูน่ายิ้มกว้างและกล่าวเสริมต่อ

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ปิดบังเรื่องการเป็นช่างหลอมจากซูน่า นางจึงได้ทราบถึงเรื่องนี้ ซูน่าชื่นชมคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของฉินอวี้โม่อย่างที่สุด หากไม่ใช่เพราะสภาวะพลังภายในนั้นไม่หนาแน่นเท่าโลกภายนอก นางก็คงจะขลุกตัวอยู่ข้างในและไม่ยอมออกมาข้างนอก

“จริงรึ?”

ซูวั่งชวนและซูชิงต้องประหลาดใจอีกครั้ง ทว่าครานี้พวกเขาไม่ได้มีท่าทีตกใจมากเหมือนก่อน เวลานี้หากมีใครบอกว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้หลอมโอสถชั้นยอด พวกเขาก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ

“ฮ่าๆๆ ท่านปู่ซูเตรียมวัสดุระดับสูงไว้ได้เลย หากมีเวลาว่าง ข้าจะหลอมอุปกรณ์ดีๆให้ท่านเพื่อที่ท่านจะได้ใช้พวกมันเป็นรางวัลสำหรับสมาชิกของชนเผ่าที่แสดงผลงานได้ดี หากท่านมีรางวัลและสิ่งจูงใจเหล่านี้ ข้าเชื่อว่าทุกคนจะหมั่นฝึกฝนอย่างขยันแข็งเป็นแน่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าคฤหาสน์เฟิงหัวของนางในตอนนี้จะไม่ยอดเยี่ยมอีกต่อไป ถึงเวลาที่นางจะต้องพิจารณาการปรับปรุงพัฒนาคฤหาสน์หลังน้อยนี้เสียแล้ว

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ พวกเราก็ต้องขอขอบคุณเจ้าเป็นการล่วงหน้า”

ซูวั่งชวนพยักศีรษะพร้อมกล่าวตอบ เขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้พิจารณาอย่างแน่นอน

“เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป?”

ซูชิงเอ่ยถามแผนต่อไปของฉินอวี้โม่

“ได้เวลามุ่งหน้าไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบิน ข้อตกลงระหว่างข้ากับฉินส่าวชิงและชนเผ่าเพลิงคำรามคือเวลาหนึ่งร้อยวัน ภายในหนึ่งร้อยวันนี้ ข้าต้องทำให้ชนเผ่าวิหคโบยบินยอมร่วมมือและมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราให้ได้”

ฉินอวี้โม่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ ชนเผ่าวิหคโบยบินนี้จะเป็นจุดหมายปลายทางแรกในโลกมายาที่นางไปเยือน

เมื่อเห็นสีหน้าแววตามั่นใจของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คงจะไม่มั่นใจมากนัก ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นล้วนหายไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเชื่อมั่นว่าด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของฉินอวี้โม่ เวลาหนึ่งร้อยวันนั้นเกินพอสำหรับการโน้มน้าวใจชนเผ่าวิหคโบยบิน

“เจ้าจะทำอย่างไรรึ?”

ซูน่ามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้และตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามฉินอวี้โม่ไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบินเช่นกัน

“ท่านลุงซู ท่านรู้ข้อมูลของผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินมากเพียงใดรึเจ้าคะ?”

ฉินอวี้โม่หันไปมองซูชิงด้วยความหวังว่าเขาจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์

ซูชิงไตร่ตรองพักใหญ่และเอ่ยตอบ “บอกตามตรง ชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นขุมกำลังที่ลึกลับจริงๆ พวกเขาเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดและไม่เคยต่อสู้หรือขัดแย้งกับผู้อื่น แม้แต่ข้าเองก็เคยพบกับผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

ชนเผ่าวิหคโบยบินถือเป็นชนเผ่าที่รักสันโดษและลึกลับมากที่สุดในสามขุมกำลัง แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วดูเหมือนพลังของชนเผ่าวิหคโบยบินอ่อนแอกว่าชนเผ่าเพลิงคำรามมาก ทว่าซูชิงสัมผัสได้ว่าแท้ที่จริงแล้วชนเผ่าวิหคโบยบินมิได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก

“จูเฟยชวี่—ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นคนที่มีจิตใจล้ำลึกและยากที่จะเข้าใจ เขาเป็นคนถ่อมตนและสุภาพทว่าก็ดูห่างเหินอย่างยิ่ง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนอารมณ์ดีทว่าก็ไม่มีผู้ใดที่รังแกเขาได้ ก่อนหน้านี้เลี่ยหยางก็เคยพยายามจัดการกับจูเฟยชวี่อย่างลับๆ ทว่าเขาก็ต้องกลับไปมือเปล่า กล่าวกันว่าเลี่ยหยางไม่เคยเป็นฝ่ายได้เปรียบตลอดช่วงเวลาที่พวกเขาต่อสู้กัน”

วาจาของซูชิงเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อจูเฟยชวี่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้นำชนเผ่าผู้ลึกลับคนนั้นไม่ธรรมดาเลย

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเคยพบกันเพียงครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าทั้งฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางไม่ใช่คนดีและเข้ากับผู้อื่นได้ยาก อาจกล่าวได้ว่าการที่ชนเผ่าเมฆาครามสร้างรากฐานที่มั่นคงได้ก็เป็นเพราะทัศนคติที่แน่วแน่และการกระทำที่องอาจกล้าหาญของพวกเขา ทว่าการที่ชนเผ่าวิหคโบยบินกลายเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ของเมืองเพลิงมายาและมีรากฐานที่มั่นคงได้ คาดการณ์ได้ว่ามันคงเกิดจากภูมิปัญญาและไหวพริบของจูเฟยชวี่

“อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าวิหคโบยบินเป็นขุมกำลังที่เป็นปึกแผ่นเดียวกันและพวกเขาเชื่อมั่นใจในตัวผู้นำอย่างที่สุด หากเจ้าทำให้จูเฟยชวี่ยอมรับและจำนนต่อเจ้าได้ ชนเผ่าวิหคโบยบินก็อยู่ในกำมือของเจ้าอย่างแน่นอน”

ซูวั่งชวนกล่าวเสริม เขาเคยพบกับจูเฟยชวี่ผู้นี้มาก่อนและรู้สึกชื่นชมคนผู้นั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าวิหคโบยบินก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริงและเชื่อฟังคำสั่งของจูเฟยชวี่ ตราบใดที่ฉินอวี้โม่โน้มน้าวใจจูเฟยชวี่ได้ ชนเผ่าวิหคโบยบินก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ ตอนนี้นางพอจะเข้าใจบุรุษผู้นั้นมากขึ้นแล้ว หากเป็นจริงอย่างที่ซูวั่งชวนและซูชิงกล่าวไว้ การทำให้จูเฟยชวี่และชนเผ่าวิหคโบยบินมาเป็นฝ่ายเดียวกับนางก็คงจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก

“จะว่าไปแล้ว อวี้โม่ ข้าอยากจะเตือนเจ้าบางอย่าง”

ซูวั่งชวนนึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวกับฉินอวี้โม่ “ถึงแม้เรามั่นใจว่าชนเผ่าวิหคโบยบินจะจงรักภักดีต่อเทพมายา เจ้าก็ไม่ควรเปิดเผยตัวตนเร็วเกินไป ถึงอย่างไรเราก็ไม่รู้สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีรู้ตัวตนของเจ้าเข้า เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาอีกมาก”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ แน่นอนว่านางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะจงรักภักดีเพียงใดก็ย่อมมีคนที่คิดต่าง นางไม่อาจเปิดเผยตัวตนออกไปตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้น แผนของนางก็คือการโน้มน้าวจูเฟยชวี่ให้ได้ก่อน ซึ่งหลังจากนั้นสมาชิกของชนเผ่าวิหคโบยบินก็จะได้รู้ถึงตัวตนของนางเอง

“เช่นนั้นข้าก็ขอให้เจ้าโชคดี จงระลึกไว้เสมอว่าหากเกิดปัญหาใดๆหรือว่าต้องการความช่วยเหลือ พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ ต่อให้ต้องสู้ด้วยชีวิต เราก็จะช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักศีรษะ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ พวกเขาเพียงยิ้มให้นางอย่างจริงใจ

“ข้าเข้าใจแล้ว”

แม้กล่าวเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่จะเกิดสถานการณ์เหล่านั้นขึ้น

“อวี้โม่ ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยเถอะ ข้าจะซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและสัญญาว่าจะไม่ออกไปสร้างความวุ่นวายให้กับเจ้า”

ซูน่าจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ข้าจำเป็นต้องมีเจ้าเพื่อนำทางข้าไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบิน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้ซูน่าไปกับนางด้วย ถึงอย่างไรแล้วนางก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้และซูน่าที่เป็นเจ้าถิ่นย่อมช่วยนำทางได้อย่างแน่นอน

“ไม่ หากซูน่าไปด้วย เกรงว่าชนเผ่าวิหคโบยบินจะไม่ยอมพบและมันจะดึงดูดความสนใจของชนเผ่าเพลิงคำราม”

ซูชิงกล่าวแย้งทันที พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกับชนเผ่าวิหคโบยบิน หากจู่ๆซูน่าโผล่ไปที่นั่น มันจะดึงดูดความสนใจของชนเผ่าเพลิงคำรามอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยลักษณะนิสัยของจูเฟยชวี่ เขาคงจะส่งซูน่ากลับมาทันทีโดยที่ไม่ยอมให้เข้าพบ

“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะไปกับอวี้โม่และสัญญาว่าจะไม่มีใครรู้”

ซูน่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ หากไม่มีคฤหาสน์เฟิงหัว นางคงไม่กล้ากล่าวเช่นนี้แน่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีคฤหาสน์มิติหลังน้อยนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงชนเผ่าเพลิงคำรามด้วยซ้ำ แม้แต่คนในชนเผ่าวิหคโบยบินก็ยากที่จะรับรู้ได้

ซูวั่งชวนและซูชิงยังคงไม่เข้าใจขณะหันไปมองฉินอวี้โม่ พวกเขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่น่าจะมีสมบัติล้ำค่าบางอย่าง

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆและหยิบคฤหาสน์เฟิงหัวออกมาพร้อมกล่าวแนะนำอย่างคร่าวๆ

“แท้ที่จริงแล้วก็เป็นคฤหาสน์มิติที่หายสาบสูญไปนานหลายปีนี่เอง ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆที่เจ้าหลอมมันขึ้นมาด้วยตัวเอง”

ซูวั่งชวนถึงกับถอนหายใจเบาๆ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับคฤหาสน์มิติมาก่อน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าฉินอวี้โม่จะมีมันอยู่ในการครอบครอง

ไม่แปลกใจเลยที่ในช่วงที่ผ่านมานี้ฉินอวี้โม่และซูน่าออกไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้กังวลสิ่งใดแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่พวกนางนำอสูรมายาจำนวนมากกลับมาโดยไม่เป็นที่สนใจของชนเผ่าอื่นๆ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะมีอุปกรณ์ล้ำค่าเช่นนี้นี่เอง

“ท่านปู่ ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นความประหลาดใจในแววตาของท่านปู่และบิดา ซูน่าก็ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจขณะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว

เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของซูน่า ซูวั่งชวนและซูชิงก็ส่ายศีรษะเบาๆ

ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเชื้อเชิญซูวั่งชวน ซูชิงและคนอื่นๆให้เข้าไปข้างในและเยี่ยมชมคฤหาสน์ของนางเช่นกัน

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธและเข้าไปข้างในอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อเข้ามาภายใน ทุกคนก็รู้สึกชื่นชมคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างยิ่งและต้องถอนหายใจเบาๆให้กับคฤหาสน์มิติที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้

หลังจากเยี่ยมชมรอบๆ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็บอกให้ฉินอวี้โม่และซูน่าระวังตัวก่อนกลับออกไปจัดการเรื่องต่างๆของตนเอง

ครานี้อาอู่ไม่ได้ติดตามไปกับฉินอวี้โม่และซูน่าเพราะเขาต้องการเก็บตัวฝึกวิชา

เพราะเหตุนั้นจึงมีเพียงสตรีทั้งสองและอสูรมายาทั้งหลายที่ออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบินด้วยกัน

ด้วยการนำทางของซูน่า ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปในทิศทางของชนเผ่าวิหคโบยบินอย่างรวดเร็ว

.