ภาคที่ 5 บทที่ 38 ไม่ถอย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เลือดสดสาดรอบด้าน ลำคอของทหารจินคนหนึ่งถูกทวนยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุ เขาร้องครวญครางทีหนึ่งยื่นมือคว้าทวนยาวไว้ แต่นาทีต่อมาก็ถูกทหารโจวที่พุ่งมาด้านข้างหนึ่งเท้าถีบลงจากกำแพงเมือง แต่ทหารโจวคนนี้ยังไม่ทันได้ยินดี ดาบโค้งเล่มหนึ่งก็ฟันเกี่ยวคอของเขาจากด้านข้าง หนึ่งดึงหนึ่งกระชาก ทหารโจวพลันเลือดทะลักกรีดร้องล้มลง

บนกำแพงเมืองใต้กำแพงเมืองเข่นฆ่ากันไปหมด ทุกหนทุกแห่งล้วนสู้รบนองเลือด

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ทหารจินที่ล้มตายบาดเจ็บไปเกินครึ่งในที่สุดก็หยุดโจมตี ผู้รอดชีวิตลากทหารจินที่ล้มตายบาดเจ็บถอยไปพร้อมกับเสียงสัญญาณ

อาทิตย์อัสดงทอดส่องกำแพงเมืองอันยิ่งใหญ่ กำแพงเมืองบนล่างล้วนไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นรอยเลือดเต็มไปหมด ซากศพแขนขาที่ขาด บนพื้นบันไดยาวสำหรับปีนกำแพงเมืองร่วงกระจาย อิฐบนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยรอยดาบหอกธนู ไฟและควันลุกอยู่รอบด้าน

เสียงเข่นฆ่าถดถอยไป เสียงครวญครางร่ำไห้เจ็บปวดเสียงคร่ำครวญกระจายทั่ว

ผู้ที่มีชีวิตอยู่หลั่งน้ำตา ผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยครวญคราง ผู้ที่บาดเจ็บร้องเจ็บปวด

เสียงชุดเกราะดาบกระบี่ปะทะกันสอดแทรกอยู่ระหว่างกลาง นี่คือนายทหารที่เก็บกวาดกำแพงเมืองเพื่อรอวางการป้องกันใหม่ รอรับศัตรูที่จะโจมตีอีกครั้ง

ชิงเหอปั๋วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด หมวกไม่รู้หายไปไหนแล้ว เส้นผมแซมขาวคล้ายกลายเป็นขาวโพลน ยุ่งเหยิงปลิวสะบัดตามลม

เขายืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูผู้บาดเจ็บเต็มลานสายตานี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ครั้งนี้ล้มตายบาดเจ็บเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม

“ยังไม่ได้สำรวจออกมาชัดขอรับ” แม่ทัพคนหนึ่งก้มศีรษะเอ่ย “คำนวณคร่าวๆ ที่รบตายไปคงมีหนึ่งพันกว่าคน”

สำหรับศึกรุกรับหนึ่งครั้งจำนวนการล้มตายบาดเจ็บนี่ก็นับว่าธรรมดา

ทว่านี่ไม่รู้เป็นการล้มตายบาดเจ็บครั้งที่เท่าไรแล้ว นับดูจำนวนก็น่าตกใจแล้ว

พูดอีกทางหนึ่งคือที่บอกว่าจำนวนการล้มตายบาดเจ็บนี่ธรรมดา ก็เพราะหลังล้มตายบาดเจ็บจะยังมีกำลังพลเสริมเข้ามา แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีกำลังพลเสริมแล้ว

ตายคนหนึ่งขาดไปคนหนึ่ง บาดเจ็บไปคนหนึ่งหมดประโยชน์ไปคนหนึ่ง

ชิงเหอปั๋วหันหน้ามองไปด้านข้างด้านซ้ายขวา

กองทหารที่เดิมทีหดกลับมาป้องกัน แม้ธงค่ายยังอยู่ แต่ชิงเหอปั๋วรู้ว่ากองทัพใหญ่นี่ถูกตีเสียหายแล้ว

ส่วนชาวจินด้านนั้น ชิงเหอปั๋วมองไปด้านหน้าอีกหน เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่เห็นค่าย เวลานี้มากมายถี่ยิบมองเห็นได้

ศึกนี้ ไม่คิดถึงชัยชนะนานแล้ว รบแพ้รวมถึงความตายถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ดูแค่ช้าเร็วเท่านั้น

“ท่านปั๋ว” ฉับพลันแม่ทัพคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยสังเกตแล้ว ทางตะวันตกชาวจินเบาบาง ไม่สู้พวกเราคุ้มครองท่านปั๋วแหวกวงล้อม”

คำพูดนี้ออกมาปุบ แม่ทัพคนอื่นพลันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ท่านปั๋ว ยังเหลือขุนเขาเขียวขจี ไม่กลัวไร้ฟืนเผา”

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยยินดีรั้งอยู่ล่อศัตรู ขอท่านปั๋วบุกออกจากวงล้อม อนาคตแก้แค้นให้ผู้น้อย”

แม่ทัพคนแล้วคนเล่าก้าวออกมาเอ่ย

“เหลวไหล!” ชิงเหอปั๋วเสียงเข้มขัดพวกเขา “ข้าโจวเจียงไม่เคยหนีต่อหน้าชาวจิน”

แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าหลากหลายอารมณ์

“ท่านปั๋ว พวกเราไม่ได้พูดว่าท่านปั๋วขี้ขลาดหนีศึก” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยอย่างจริงใจ “เพียงแต่ตายไปเช่นนี้ไม่คุ้ม…”

ชิงเหอปั๋วขัดเขาอีกครั้ง

“เจ้าผิดแล้ว ตายไปเช่นนี้ถึงคุ้มที่สุด” เขาเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การทำศึกตั้งรับนี่ที่สำคัญที่สุดก็คืออดกลั้น หากพวกเราแหวกวงล้อมออกไป ความอดกลั้นนั้นก็จะคลายออก กองทัพของข้าจะพังทลายทันที แต่ละคนล้วนวิ่งหนี”

เขายื่นมือชี้ด้านหน้า

“ท่ามกลางสายตาจับจ้องมาดร้ายของโจรจินหลายหมื่นนี่ จะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไรพวกเจ้าคิดไม่ได้หรือ?”

แม่ทัพทั้งหลายมองไปด้านหน้า สีหน้าซีดเผือด คล้ายมองเห็นภาพผู้คนหนีเอาชีวิตรอด กองทัพจินขี่อาชาเหล็กเข่นฆ่าตามอำเภอใจนั่น

“ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกเราแหวกลงล้อมออกไปไม่ได้สักนิด” ชิงเหอปั๋วเอ่ยด้วยเสียงนิ่งสงบ “นอกจากนี้ หากพวกเราข้างในพังไปก่อน ทหารกองหนุนด้านนอกย่อมถูกหางเลขไปด้วย”

ทหารกองหนุน…

ถึงกับยังคิดถึงทหารกองหนุน

แม่ทัพหลายคนสีหน้าขมขื่น หลายวันเช่นนี้แล้ว ทหารกองหนุนสักกองก็ไม่เห็นสักนิด ไม่รู้ว่าล้วนขลาดกลัวศึกหลบหนีไปหมดแล้วหรือถูกชาวจินตีเสียหายแล้ว

ไม่มีช่าวส่งเข้ามา ชาวจินก็ไม่พังทลายวุ่นวายถอยกระจายตัวสักนิด

พวกเขาเหมือนกับเรือเดี่ยวเดียวดายถูกทิ้งอยู่กลางมหาสมุทร

ท่านปั๋วถึงกับยังรอคอยทหารกองหนุนอยู่ นี่คือตนเองหลอกตนเองจะได้เรียกกำลังใจได้ง่ายสินะ

“โจรจินกำลังมาก ทว่าขอเพียงพวกเรายืนหยัดรักษาค่าย เทียบกับวิ่งหนีบนทุ่งกว้างยังมีความหวังจะรอดมากกว่า” ชิงเหอปั๋วเอ่ยหน้าขรึม “ถึงเวลารอทหารกองหนุนเร่งมาถึง ในนอกกระนาบโจมตี ต้องแหวกทางรอดเส้นหนึ่งได้แน่”

เขาพูดไปเสียงก็ตะเบ็งดัง

“พวกเรานับแต่วันนั้นที่เป็นแม่ทัพเป็นทหาร ก็สละกายเพื่อประเทศแล้ว ต้องหาญกล้าสังหารศัตรู หากมีคนกล้าบอกจะขี้ขลาดถอยหนี”

เขาพูดพลางเหวี่ยงดาบยาวในมือลงอย่างแรง หมวกของชาวจินที่กลิ้งร่วงอยู่บนพื้นใบหนึ่งถูกหนึ่งดาบฟันสะบั้น

“สำเร็จโทษทันที”

แม่ทัพทั้งหลายคุกเข่าลงอย่างจริงจังขานรับเสียงพร้อมเพรียง

“มา ฉวยเวลานี้ทำอาหาร” ชิงเหอปั๋วเอ่ยพลางมองไปด้านหลัง “เสบียงไม่พอแล้ว พิจารณาแบ่งๆ กัน”

แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียงอีกครั้ง ลุกขึ้นรับคำสั่งไป

ชิงเหอปั๋วยืนอยู่ที่เดิมตามลำพัง หันกลับมามองทีหนึ่ง

ทหารกองหนุน…

แดนเหนือนี่ไม่ใช่ใต้หล้าของเขานานแล้ว เขาโกรธแค้นเต็มหัวใจ

กลางคืนคล้ายสถานที่มากมายมีแตรหยุดรบ

หน้าเนินเขาเล็กลูกหนึ่ง เห็นทหารจินประหนึ่งคลื่นน้ำถอยไปแล้ว คนผู้หนึ่งก็ผลักนายทหารที่นอนตายบนร่างออก ล้มลุกคลุกคลานข้ามสนามรบที่ระเนระนาดไปหมด ข้ามเข้ามาในคูน้ำสายหนึ่ง

ในคูน้ำกลับเป็นนายทหารเบียดอยู่เต็ม ล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล สีหน้าหวาดหวั่นหดหู่

“ใต้เท้าฉี ทหารจินถอยไปแล้วขอรับ” คนที่มาเอ่ยเสียงแหบ “พวกเราฉวยเวลากลางคืน ฉวยเวลากลางคืนถอยเถอะ”

แม่ทัพที่หัวไหล่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางนายทหารกลุ่มนี้มองมา

“ไม่อาจถอย” เขาเอ่ย “ท่านปั๋วยังรอทหารกองหนุนอยู่นะ”

“ใต้เท้า” คนที่มาเสียงแหบพร่าติดจะสะอื้น “ชาวจินล้อมโจมตีหลายวันเช่นนี้ หลายครั้งเช่นนี้ ท่านปั๋วน่ากลัวว่าจะไม่อยู่แล้ว”

เขามองผู้คนรอบด้านอีกหน

“พวกเราเหลือคนเท่านี้แล้ว ต่อให้แหวกวงล้อมเข้าไป จะทำอันใดได้อีกเล่า”

แหวกวงล้อม จะแหวกวงล้อมเข้าไปได้อย่างไร หากแหวกวงล้อมได้พวกเขาก็เข้าไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยยังต้องรออยู่ที่นี่

แม่ทัพสีหน้าโศกเศร้าคับแค้น

“แต่ พวกเราถอยไม่ได้แล้ว”

“ใต้เท้า” คนที่มาใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว “ท่านกล้าหาญมากแล้ว ท่านไม่ได้ทรยศราชสำนักกับท่านปั๋ว ทหารกองหนุนหลายกองปานนั้น ผู้อื่นล้วนถอยไปแล้ว มีเพียงท่านไม่”

แม่ทัพยืนขึ้นมา ขว้างดาบในมือลงพื้นอย่างรุนแรง

“ไม่ใช่ไม่ถอย แต่พวกเราตอนนี้ถอยไม่ได้” เขาตะโกนเสียงแหบ ชี้หลังร่าง “พวกเจ้าคิดว่าชาวจินไม่ได้ล้อมด้านหลังพวกเราไว้เพราะพวกเขาลืมแล้วจริงหรือ? นี่ก็แค่แมวหยอกหนู พวกเขากำลังรอพวกเราถอยอยู่ ถอยปุบก็จะบีบพวกเราเข้าไปที่แม่น้ำเจียงสุ่ย อากาศหนาวแผ่นดินเย็นเยือก พวกเรากระทั่งม้าศึกก็เหลือไม่กี่ตัวแล้ว พวกเราถอยอย่าไงร? พวกเราวิ่งอย่างไร? ถึงเวลาหนาวตาย หิวตาย เหนื่อยตาย ทหารจินเพียงต้องทะยานม้าอยู่ด้านหลังมองพวกเราก็พอแล้ว ไม่ต้องใช้สักหอกสักธนู”

คนที่อยู่ที่นั่นได้ยิน ใบหน้าพลันประหนึ่งขี้เถ้า

ที่แท้พวกเขาติดกับตั้งนานแล้ว

ยังคิดว่ามาช่วยผู้อื่นลอบโจมตีชาวจิน ผลสุดท้ายที่แท้ชาวจินเปิดปากถุงเชิญพวกเขาเข้ามาข้างในตั้งแต่แรก

“ในเมื่อชาวจินทำให้ท่านปั๋วติดกับได้ จะไม่เตรียมรับมือทหารกองหนุนที่จะติดตามมาล่วงหน้าได้อย่างไร” แม่ทัพนั่งลงอีกครั้ง เอ่ยขึ้นอย่าหดหู่ “มิน่าเจ้าพวกนั้นได้ยินว่ามาช่วยล้วนไม่ยอมมา ดึงกำลังคนหนีไปแล้ว ไม่เสียทีเป็นแม่ทัพเก่าของแดนเหนือที่นี่ คุ้นเคยกับชาวจินจริงๆ”

ผู้คนรอบด้านคิดถึงกำลังทหารหลายทัพที่หนีไปก่อนเคลื่อนพลนั่น พูดไม่ออกว่าโกรธแค้นหรืออิจฉา

“พวกเขาทำไมไม่บอกพวกเรา” มีคนพึมพำคำหนึ่ง

“บอกพวกเรา พวกเราฟังหรือ?” มีคนเอ่ยเสียงเบา

คำนี้ทำให้รอบด้านตกสู่ความเงียบ

“เอาล่ะ ตอนนี้พูดสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ถอยก็ไม่อาจถอยได้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่โจมตีป้องกันต่อ” แม่ทัพสูดหายใจลึกทีหนึ่งเงยศีรษะขึ้นอีกหน สีหน้าแน่วแน่ “รอท่านปั๋วแหวกวงล้อมออกมาได้หรือมีทหารกองหนุนมา”

ประโยคแรกทำให้ผู้คนสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ประโยคหลังพลันถอนหายใจออกมาอีก

“ท่านปั๋วต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ ชาวจินยังไม่หยุดเคลื่อนกำลังพลโจมตี” แม่ทัพเอ่ย “พวกเรายังมีหวัง”

ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้อีกเล่า?

ถอยก็ตาย รุกก็ตาย ถ้าเช่นนั้นก็รอจนตายเถอะ

ในคูน้ำเงียบกริบ ฉับพลันพื้นดินก็สั่นสะเทือนมา จากนั้นพลันมีเสียงกีบเท้าม้าเสียงร้องโห่ร้องรวมถึงแสงสว่างของคบไฟ

“ชาวจินมาอีกแล้ว!”

คนในคูน้ำตะโกนพร้อมสีหน้าซีดเผือด

ครั้งนี้ถึงกับกระทั่งเวลาหอบหายใจยังไม่ให้ ดูท่าคงหมดความอดทนจะหยอกพวกเขาเล่นแล้ว

แม่ทัพชูดาบขึ้น

“ตั้งทัพ รับศึก” เขาเอ่ยเสียงแหบ

พวกเขาทหารบาดเจ็บที่มือกำหอกยาวเหล่านี้ ยังมีกระบวนทัพอันใดต่อต้านทหารม้าของชาวจินอีก พุ่งโจมตีไม่ต้องถึงสามครั้งก็จบสิ้นแล้ว

นายทหารทั้งหลายกำหอกยาวในมือแน่นกระโดดออกจากคูน้ำ นาทีนั้นที่เผชิญหน้ากับความตายฉับพลันไร้ความรู้สึก

ทหารม้าทั้งหลายยังไม่ทันบีบเข้าใกล้ เสียงแหวกอากาศฟึบฟึบพลันดังขึ้น นายทหารทั้งหลายที่เพิ่งตั้งทัพได้แต่อลหม่านกระโดดกลับลงไปในคูน้ำใหม่อีกครั้ง

พรึบพรึบพรึบธนูปักลงพื้น ที่ยิงมาคือธนูไฟ พริบตาไอร้อนเป็นแถบ ส่องคูน้ำรอบด้านสว่างไสวกระจ่างชัด ส่องแม่ทัพทหารทั้งหลายนในคูน้ำประหนึ่งลูกแกะรอเชือดด้วย

ทหารจินทั้งหลายยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งหัวเราะบ้าคลั่ง

นายทหารคนหนึ่งคว้าคันศรยิงศรดอกสุดท้ายเข้าใส่ทหารจิน

ฝีมือธนูของนายทหารคนนี้ดีอย่างที่สุด ศรบินเข้าไปหาศีรษะของทหารจินคนหนึ่งอย่างแม่นยำ

เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ทหารจินคนนั้นยกมือชูโล่หวายขึ้นขวางธนูดอกนี้ หัวเราะหยันยกมือขึ้นจากนั้นง้างคันศรปล่อยลูกธนู

ท่ามกลางแสงไฟส่อง นายทหารครางเบาๆ ทีหนึ่งถูกศรยิงทะลุล้มไปข้างหลัง

เสียงหัวเราะบ้าคลั่งยิ่งดัง

ไม่เพียงมีความสิ้นหวังยามเผชิญหน้าความตาย ยังมีความอัปยศด้วย

แม่ทัพกระโดดออกจากคูน้ำ สักคำไม่เอ่ย ชูดาบเหมือนจะพุ่งใส่คนที่มา

เขาจะใช้กายเนื้อของตนเผชิญศึกกับทหารม้า

อย่างไรก็ตาย พุ่งเข้าใกล้ไม่แน่อาจฟันทหารจิตายไปด้วยได้สักคน นายทหารทั้งหมดกระโดดออกมา ไม่ว่าวิ่งได้หรือวิ่งไม่ได้ ไม่ว่าแขนครบหรือแขนไม่ครบก็กำอาวุธกัดฟันแน่นปากเงียบไร้เสียงพุ่งไปข้างหน้า

เสียงฟึบฟึบฟึบแหวกท้องฟ้ายามราตรี

แม่ทัพเบิกตากลมรอคอยนาทีนั้นที่ศรจะมาเยือน แต่นาทีต่อมาก็เห็นทหารจินที่ชูคันศรอยู่ด้านหน้าร้องครวญครางกลิ้งลงจากม้า

เกิดอะไรขึ้น?

แม่ทัพอึ้งไปนิดหนึ่ง เสียงฟึบฟึบฟึบพลันดังขึ้นอีกระลอก แม่ทัพเงยศีรษะอย่างไม่ทันรู้ตัว อาศัยแสงไฟหลังร่างมองเห็นเหนือศีรษะมีศรคมนับไม่ถ้วนบินข้ามมา

มาจากหลังร่าง มุ่งไปหาทหารจิน

หลังร่าง!

แม่ทัพหันหลังกลับอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะแสงเปลวไฟขวางสายตาอยู่จึงสบกับความมืดทึมสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น แต่เขาได้ยิน

ได้ยินเสียงร้องหวาดหวั่นโกรธแค้นของชาวจิน ได้ยินเสียงกรีดร้องล้มลงพื้นของชาวจิน ได้ยินแผ่นดินสั่นไหวประหนึ่งพันทหารหมื่นอาชาวิ่งมาท่ามกลางราตรี

ทหารกองหนุน!

ทหารกองหนุน!