ภาคที่ 5 บทที่ 39 ทหารกองหนุน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ทหารกองหนุนมาแล้ว!

แม่ทัพตะเบ็งเสียงคำรามทีหนึ่งร่างกายพลันอ่อนยวบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แต่นาทีต่อมาเขาก็รีบใช้ดาบยันร่างไว้

“ตั้งทัพ” เขาตะโกน “ตั้งกระบวนทัพกลม”

รูปแบบกระบวนทัพเช่นนี้ ทหารม้าเดินนำ พวกเขาอยู่ด้านหลัง เจ้ารุกข้ารุก เจ้าถอยข้ารุก

นายทหารทั้งหลายตั้งกระบวนทัพอย่างรวดเร็ว ทหารม้าที่วิ่งควบหลังร่างกระโดดข้ามคูน้ำ ในที่สุดก็มองเห็นหน้าตาของพวกเขาชัดด้วย

ทหารโจวจริงแท้แน่นอน

พวกเขาแยกแถวผ่านสองข้างของกระบวนทัพกลมเล็กๆ นี่ไปอย่างชำนาญ คันศรในมือเก็บขึ้นไป เปลี่ยนเป็นดาบยาว

ส่วนทหารจินด้านนั้นที่ตกสู่ความโกลาหลชั่วคราวก็จัดรูปขบวนใหม่อีกหนเช่นกัน ชูดาบโค้งขึ้น

กำลังคนพุ่งปะทะ อาวุธฟันเกี่ยว เสียงเข่นฆ่าเสียงชนดังอึกทึก

มีคนล้มลงไม่หยุด มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว แต่หลังร่างยังมีทหารม้าพุ่งมาต่อเนื่องไม่ขาด

ทหารกองหนุนมาเท่าไร แม่ทัพที่ยืนอยู่ในกระบวนทัพพยายามสุดกำลังมองไป คล้ายหลังร่างท่ามกลางผืนราตรีล้วนเป็นทหารม้า

เพราะไม่ทันตั้งตัวทหารจินจึงเริ่มพังทลายหลบหนีอย่างรวดเร็วยิ่ง

พร้อมกับเสียงแตรสัญญาณ ทหารโจวที่เดิมทีจะไล่โจมตีพลันหยุดลง ขบวนแถวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าเป็นพี่น้องที่ไหน?” แม่ทัพตะโกน

ทหารโจวเดินเข้ามาข้างกายพวกเขามองมา

“พวกเราหรือ?” คนหนึ่งในนั้นที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าเอ่ยขึ้น “กองทหารเฟิงหนิง”

กองทหารเฟิงหนิง?

แม่ทัพไม่ใช่ไม่คุ้น ทัพหนึ่งในทหารม้าที่ขัดขืนคำสั่งหนีไปไม่มาช่วยนั่นเอง

สีหน้าเขาอารมณ์สับสนปนเปอยู่บ้าง

ไม่รู้ควรแค้นพวกเขาที่ข้าศึกประชิดหลบหนีทำให้ทหารกองหนุนไม่พอ หรือขอบคุณพวกเขาที่เดินทางมาช่วยในห้วงเวลาวิกฤติ

“ใต้เท้าถังอยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยถาม

ทหารโจวคนนั้นเงยศีรษะชี้ไปด้านหน้านิดหนึ่ง

แม่ทัพมองไป เห็นในความมืดเบื้องหน้าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรคบไฟคดเคี้ยวส่องสว่างประหนึ่งกำแพงยาวสร้างขึ้นท่ามกลางราตรี

เรื่องมาถึงตอนนี้เรื่องก่อนหน้าไม่ต้องพูดแล้ว อย่างไรก็หารือว่าจะรบอย่างไรดีเถอะ ชิงเหอปั๋วยังอยู่ในวงล้อม ในเมื่อกำลังพลกองนี้ของใต้เท้าถังยอมเร่งเดินทางมา ดูสิว่าจะโน้มน้าวกำลังพลที่หนีไปอื่นๆ ให้มาช่วยเหลือได้หรือไม่

แม่ทัพสูดหายใจลึกคำหนึ่งก้าวยาวเดินไปด้านนั้น ท่ามกลางคบไฟและธงหลายผืนที่ปลิวสะบัด ธงกองทหารเฟิงหนิงแยกออกง่ายดายยิ่งแล้วก็บ่งบอกชัดตำแหน่งที่แม่ทัพอยู่

แม่ทัพเดินตรงเข้าไป ยิ่งเข้าไปใกล้ ฉับพลันเขาก็หยุดฝีเท้า ไม่อยากเชื่ออยู่บ้างมองดูธงหลายผืนนั่น

เพราะการเดินมาของเขา กำลังพลที่ยืนเรียงแถวอยู่จึงหลีกออกเผยแม่ทัพที่อยู่ด้านหลัง

ธงมากกว่าเดิมปรากฏขึ้นตรงหน้า

เลยผ่านธงผืนใหญ่ของกองทหารเฟิงหนิงที่คุ้นเคย ยังมีธงผืนใหญ่กว่าด้ามหนึ่งปลิวสะบัด

ธงผืนใหญ่สีดำกลืนเป็นร่างเดียวกับราตรี ทำให้อักษรคำว่าจูสีแดงสดบนนั้นคล้ายปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า

ธงผืนใหญ่อักษรคำว่าจู

แม่ทัพเข่าทรุดโดยไม่ทันรู้ตัว คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สีหน้าไม่อยากเชื่อ

เฉิงกั๋วกง

……………………………………….

……………………………………….

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ชิงเหอป๋วเดินขึ้นกำแพงเมืองมาด้วย บนกำแพงเมืองนายทหารทั้งหลายมือกำอาวุธ ทหารสนับสนุนทั้งหลายประคองก้อนหินและเสากลมไว้ แต่ไม่มีทหารจินโจมตีมา

เมื่อครู่ขณะที่กินข้าวเสร็จพักเอาแรงยามค่ำคืน ทหารสอดแนมก็มาแจ้งว่ากำลังพลของชาวจินเคลื่อนไหวแล้ว แม้ระหว่างกลางคืนโจมตีเมืองไม่สะดวก แต่ดูท่าชาวจินจะใช้กลยุทธ์ผลัดกันรบผลาญแรงพวกเขาให้ตาย

รบก็ตาย ไม่รบก็ตาย ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่แลกเลือด

คนทั้งหมดล้วนวิ่งมายังกำแพงเมือง เตรียมพร้อมรับผลลัพธ์ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจะตาย

พวกเขายืนนิ่งอยู่บนประตูเมือง กลับไม่เห็นทหารจินถาโถมมา

ชาวจินเจ้าเล่ห์ กำลังวางแผนอันใดอยู่ ใช้ไฟโจมตี? ใช้น้ำโจมตี? คนทั้งหมดล้วนขบคิดวิธีตายสารพัดในสมอง

แต่ไม่มีใครคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะรอด ตัวอย่างเช่นชาวจินล่าถอยไป แต่เรื่องเช่นนี้เป็นไปไม่ได้หลังสิ้นเชิง ไยต้องหลอกตัวเองด้วยเล่า

“พวกเจ้าฟัง” ฉับพลันแม่ทัพคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบกริบบนกำแพงเมือง

ฟัง? ทหารม้าชาวจินบีบเข้ามาใกล้แล้วหรือ?

ผู้คนล้วนเงี่ยหูกลั้นลมหายใจ

ขอบฟ้าคล้ายมีเสียงอสนีบาตโหมซัด

“ฝนจะตกหรือ?” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ

นี่หากฝนตกลงมา นั่นก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ ตอนนี้คนแทบทั้งหมดล้วนบาดเจ็บ ถึงเวลาฝนหนาวเย็นตกลงมา ไม่ต้องให้ทหารจินโจมตี คืนเดียวก็คงแข็งตายไม่น้อย

“ไม่ใช่เสียงฟ้าร้อง” นายทหารด้านข้างพลันตะโกน ไม่ทราบว่าประหลาดใจหรือหวาดกลัว เสียงจึงเปลี่ยนโทนไป “เป็นกลองศึก”

กลองศึก?

สัญญาณกลองศึกของชาวจินกับชาวโจวไม่เหมือนกัน ดังนั้นแยกแยะง่ายยิ่ง

เสียงกลองศึกครืนๆ ประหนึ่งลอยมาจากขอบฟ้า ยิ่งดังขึ้นทุกที ยิ่งใกล้ขึ้นทุกที เสียงอสนีบาตคำรนคำรามตัดผ่านท้องฟ้ายามราตรีอย่างรวดเร็วยิ่ง

“เป็นกลองศึก!”

“เป็นกลองศึกของพวกเรา!”

คนมากกว่าเดิมตะโกนเสียงดังขึ้นมา

ชิงเหอปั๋วเพียงรู้สึกว่าทั้งร่างชาหนึบ

ทหารกองหนุน!

ในที่สุดทหารกองหนุนก็มาแล้ว!

ข่าวนี้ทำให้บนกำแพงตกสู่ความบ้าคลั่ง มีคนตะโกนร้องเสียงดัง มีคนคุกเข่าลงร่ำไห้โฮ แล้วยิ่งมีคนหน้าแดงกอดอาวุธจะพุ่งไปข้างหน้า

แม่ทัพทั้งหลายไม่อาจไม่ตำหนิให้ทหารทั้งหลายรักษาความจริงจังไว้

แต่พวกเขาเองก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“ทหารกองหนุนกำลังพลเท่าไร?” ชิงเหอปั๋วพลันเอ่ยถาม

ประโยคนี้คล้ายน้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดลงมาจากศีรษะ แม่ทัพทั้งหลายฉับพลันได้สติ ความยินดีแปรเปลี่ยนกลายเป็นความกังวลลึกซึ้ง

แรกสุดพวกเขาคาดการณ์ว่าจะมีทหารกองหนุนสิบหมื่น ผลสุดท้ายได้รับข่าวว่าหนีไปครึ่งหนึ่ง แล้วยังลากนานเช่นนี้เห็นชัดยิ่งว่าทหารกองหนุนด้านนอกหากไม่ใช่บุกเข้ามาไม่ได้ก็ความเห็นไม่ตรงกัน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ในที่สุดก็เริ่มบุกแล้วสิ ท้ายที่สุดที่เหลืออยู่จะมีทหารได้สักเท่าไรเล่า?

ชาวจินล้อมด้านนี้นานเช่นนี้ แต่จากการสังเกตของพวกเขาก็ยังเคลื่อนรวมพลเสริมอยู่ตลอดไม่ขาด ทหารม้าที่นี่ตรงหน้ามากกว่าตอนแรก

คนทั้งหมดล้วนค่อยๆ เงียบลง มองไปยังทิศทางที่เสียงกลองกระหน่ำอยู่ด้วยความกังวลและโศกเศร้าคับแค้น ราตรีมืดมิดบดบังทุกสิ่ง เห็นเพียงขอบฟ้าคล้ายลุกไหม้ แดงเพลิงเป็นแถบ

……………………………………….

……………………………………….

เสียงเข่นฆ่าดังตลอดคืนไม่หยุด

แสงอรุณเต้นเร่าออกมาจากขอบฟ้า ส่องผู้คนที่แข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นศิลาที่ยืนเต็มอยู่บนกำแพงเมือง

เส้นผมขาวที่เดิมทีขาวโพลนของชิงหอปั๋วยิ่งขาว กระทั่งหนวดเคราก็ขาวแล้ว ชุดเกราะเต็มไปด้วยชั้นเกล็ดน้ำแข็ง

ในสายตาของพวกเขาไม่มีความกังวลแล้ว ทหารสอดแนมหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านำข่าวดีมาให้

ทหารจินถอยไปแล้ว

แต่ไม่มีคนโห่ร้องยินดีกระโดดโลดเต้นพุ่งลงจากกำแพงเมือง คนทั้งหมดล้วนยังยืนนิ่งอยู่ ยืนอยู่บนกำแพงเมืองสูง ดวงตาไม่กะพริบมองไปตรงที่ดวงตะวันขึ้น รอคอยอยู่

รอจนเห็นทหารกล้าทั้งหลายที่โจมตีทหารจินมากปานนี้ล่าถอยไปเหล่านี้แวบแรก

พร้อมกับที่แสงอรุณยิ่งสว่าง ในสายตาในที่สุดก็ปรากฏกำลังพลแถวแล้วแถวเล่า นี่คือทัพหน้าสอดแนม พวกเขาควบม้าทะยานเร็วรี่บนทุ่งกว้าง สอดส่องเพื่อกองทัพหลักด้านหลังร่าง

ต่อมาอีกก็เป็นทหารม้าคู่แล้วคู่เล่า มากมายถี่ยิบแห่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ธงประหนึ่งเมฆมืดฟ้ามัวดิน

ยิ่งเข้ามายิ่งใกล้ นั่นเป็นธงที่พวกเขาคุ้นเคย เกราะที่คุ้นเคย กระบวนทัพเคลื่อนที่อันคุ้นเคย สหายร่วมชาติอันคุ้นเคย

ไม่รู้ว่านายทหารคนไหนร้องเฮ้คำหนึ่ง ออกแรงโยนหอกยาวที่กอดไว้ในมือขึ้นฟ้าก่อน

หอกยาวลอยขึ้นแล้วร่วงเป็นเส้นโค้งลงไปใต้กำแพง

บนกำแพงเสียงโห่ร้องดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ดาบยาวหมวกเกราะกระทั่งยังมีก้อนหิน แต่ละคนโยนของที่ใกล้มือตนที่โยนได้ล้วนโยนออกไป

ครั้งนี้ชิงเหอปั๋วไม่ได้ตำหนินายทหารทั้งหลายที่คลุ้มคลั่ง บนหน้าของเขาเองก็ปรากฏรอยยิ้มเช่นกัน

“ท่านปั๋ว มากันหมด” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

แม้ยังห่างอยู่ไกล แต่ธงเหล่านั้นพวกเขาคุ้นเคยไม่มีใดเกิน

ทหารกองหนุนที่ส่งคำสั่งเคลื่อนพลไปเหล่านั้น ไม่ว่าคนที่ทำตามหรือที่แจ้งมาว่าหนีไป นาทีนี้เวลานี้ธงของพวกเขาล้วนอยู่ในนั้น

สายตาของชิงเหอปั๋วก็มองธงเหล่านั้น ทันใดนั้นน้ำตาร้อนพลันคลอในเบ้าตาอยู่บ้าง รู้สึกองอาจอย่างยิ่ง

แดนเหนือนี่ ดูท่า ก็ยังเป็นของเขาได้

ถ้าเช่นนั้นการกำจัดคนสนิทของเฉิงกั๋วกงก็สิ้นสุดเท่านี้ โทษที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งเคลื่อนพลก่อนหน้านี้ เขาโจวเจียงก็จะไม่ถาม ส่วนรางวัล…อืมอันนี้น่ะ ค่อยครุ่นคิดเถอะ

นายทหารทั้งหลาย ไม่อาจตามใจมากเกินไป

เขาลูบหนวดครุ่นคิด ข้างหูเป็นเสียงโห่ร้องยินดี ในสายตาพลทหารประหนึ่งเมฆใกล้เข้ามาทุกที ฉับพลันแววตาของเขาก็ตะลึง

นั่นมันธงอะไร?

ชิงเหอปั๋วเบิกตาโต

แม่ทัพข้างกายก็เห็นแล้วเช่นกัน นายทหารที่ทยอยขึ้นมาบนกำแพงเมืองก็ล้วนเห็นแล้วเช่นกัน พวกเขาหยุดโห่ร้องยินดี มองธงใหญ่ผืนนั้น

อย่างไรอยู่ท่ามกลางธงหลากสีสันประหนึ่งเมฆนี่ ธงผืนนั้นก็ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด สะดดุตาที่สุด

กลายเป็นธงผืนใหญ่ที่สุด สูงที่สุดได้มีเพียงธงของแม่ทัพ

ธงแม่ทัพตามอย่างนาย นายเป็นอย่างไรธงแม่ทัพก็เป็นอย่างนั้น ตัวอย่างเช่นธงแม่ทัพของเขาชิงเหอปั๋วตรงกลางสีน้ำเงินขอบสีดำหนักแน่นและสง่างาม ตัวอย่างเช่นธงใหญ่พื้นดำอักษรแดงของจูซานเฉิงกั๋วกงโอ้อวดและหยาบช้า

สิ่งที่ชิงเหอปั๋วชีวิตนี้ไม่อยากเห็นก็คือธงใหญ่ผืนนี้

แต่ตอนนี้มันดันปรากฏในสายตาอีกหน นอกจากนี้ยังเป็นเวลานี้

หน้าของชิงเหอปั๋วเปลี่ยนไปสีขาวเฉกเช่นเดียวกับเส้นผม

……………………………………….

ประตูเมืองเปิดออก ชิงเหอปั๋วยืนอยู่หน้าประตู ร่างกายเหยียดตรงมองบุรุษที่เดินเข้ามาใกล้

บุรุษผู้นั้นขี่อยู่บนม้า ไม่ได้มีท่าทีจะลงจากหลังม้า

“ท่านปั๋ว ไม่พบหน้าเสียนานยังมีสง่าราศีเหมือนเดิมนะ” เขามองชิงเหอปั๋ว บนหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เป็นแม่ทัพนำทหารไม่ได้ ถูกล้อมยืนหยัดป้องกันไม่มีใครเทียบได้”

ชิงเหอปั๋วโกรธจัด

ด่าคนไม่มีคำหยาบ ที่พูดถึงก็คือเฉิงกั๋วกงพวกไร้ยางอายเช่นนี้