ตอนที่ 797 ตอบจดหมาย
ซูหลีหลับตาตั้งสมาธิมาตลอดทาง ทว่าภายในใจกลับวุ่นวายอึกทึกครึกโครม มิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่นางกำลังคิดมีมาก คำตอบที่นางให้ไปนี้ลู่อวี้เหิงจะพึงพอใจหรือไม่ เรื่องของสกุลป๋ายกับสกุลหลี่แท้จริงแล้วเกี่ยวพันกันมากน้อยเพียงใด
สกุลหลี่ถูกตัดหัวทั้งตระกูล เสิ่นฉางชิงพบคนตกที่นั่งลำบากแต่กลับไม่ช่วยเหลือ นางได้ทำให้เสิ่นฉางชิงจ่ายค่าตอบแทนออกมาแล้ว อย่างไรก็ตามนางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าหลี่หรุ่ยอิงบิดาผู้จิตใจดี สุภาพงดงามผู้นั้นจะสามารถทำเรื่องทรยศเนรคุณอะไรออกมาจนต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูลเช่นนี้
แม้คนหนึ่งก็ไม่เหลือ
เมื่อนึกถึงปัญหานี้หน้าอกของนางก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดอย่างมาก ตลอดเส้นทางนี้เหมือนแทบไม่ได้สงบจิตสงบใจลงเลย
“เอี๊ยด!” รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน ซูหลีลืมตาขึ้น
“คุณหนูถึงแล้วขอรับ”
เสียงของชุยตานดังมาจากด้านนอก ซูหลีโยนอารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายเหล่านี้ของตนเองทิ้งไปจนหมดและเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกมาจากรถม้า
“คุณหนู” ข้ารับใช้เฝ้าประตูประจำจวนของนางซึ่งก็เป็นชายชราที่คุ้นเคยตั้งแต่ตอนที่นางอยู่ที่บ้านสกุลซู เมื่อเห็นนางกลับมาก็รีบก้าวเข้ามาคำนับพลางกล่าวว่า
“ใต้เท้าจ้าวเสนาบดีกรมอาญามาที่นี่ขอรับ พอได้ยินว่าท่านไม่อยู่ใต้เท้าจ้าวก็มิได้อยู่นาน เพียงแต่ใต้เท้าจ้าวนำเอาเอกสารราชการบางส่วนมาด้วย ข้าน้อยให้คนเอาไปที่ส่งไว้ที่ห้องอักษรของท่านแล้วขอรับ”
ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
ใต้เท้าจ้าวเสนาบดีกรมอาญาเป็นเพื่อนที่นางได้ทำความรู้จักเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
ก่อนหน้านี้นางได้ขอร้องรบกวนให้ใต้เท้าจ้าวช่วยนางค้นหาเอกสารราชการคดีใหญ่ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้ออ้างที่นางใช้ก็คือนางอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในราชสำนักสักน้อย
เอกสารเหล่านั้นมิได้ถือว่าเป็นความลับอะไร ทั้งนี้ซูหลีก็มีสถานะถึงเพียงนี้ หลังจากใต้เท้าจ้าวได้ยินเรื่องนี้ก็มิได้ลังเลอะไรและตอบตกลงรับคำ
เพียงแต่เอกสารราชการมีจำนวนมาก หลังจากที่เขาจัดการเรียบร้อยแล้วค่อยจะส่งมาให้ซูหลีทีหลัง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะจัดแจงแยกเอกสารราชการเรียบร้อยแล้ว
กรมอาญากับศาลต้าหลี่ต่างก็มีเอกสารบันทึกเช่นนี้เหมือนกัน ต้าหลี่ซื่อชิง[1]คนเดิมเฉิงเค่อได้ถูกองค์ฮ่องเต้เนรเทศออกไปจากกรณีเรื่องผงฝิ่นเมื่อครั้งนั้นแล้ว
ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งตำแหน่งต้าหลี่ซื่งชิงคนใหม่ ซูหลียังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
จึงขอให้กรมอาญาเอาเอกสารราชการจากกรมอาญามาดู
อยากจะเริ่มหาเบาะแสร่องรอยเกี่ยวกับสกุลหลี่จากตรงนี้
ตอนนี้ทางกรมอาญาได้จัดส่งมาถึงแล้ว ส่วนทางศาลต้าหลี่…ซูหลีสงสัยว่าคงไม่สามารถหาข้อมูลอะไรออกมาได้ ในปีนั้นเฉิงเค่อรีบร้อนตัดสินลงโทษสกุลหลี่ถึงขนาดนั้น เอกสารราชการที่เหลืออยู่คาดว่าคงไม่มีมูลค่าอะไร
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่สำคัญที่สุดคือต้องรอฟังว่าลู่อวี้เหิงจะว่าอย่างไร
พี่ชายร่วมสาบานที่เติบโตมาด้วยกัน ซูหลีรู้จักเขาดี ลู่อวี้เหิงเป็นคนประเภทที่ยอมให้ตนเองตายก็จะไม่ยอมทรยศต่อผู้อื่น ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับสกุลหลี่นับดูแล้วเขาน่าจะยังอยู่ที่ชายแดน ตอนนี้กลับกลายเป็นลู่อวี้เหิงไปแล้ว แม้แต่นามสกุลก็เปลี่ยนไปแล้ว…
ความสัมพันธ์ข้างในนี้มันซับซ้อนมาก
เพียงแค่นึกถึงลู่อวี้เหิง ภายในใจของซูหลีก็ไม่ค่อยสงบ ไม่รู้ว่าคำตอบที่นางให้ไปในวันนี้จะสามารถทำให้ลู่อวี้เหิงเปลี่ยนใจได้หรือไม่ ในเมื่อนางในวันนี้คือซูหลี ไม่ใช่คนที่ลู่อวี้เหิงสามารถเชื่อมั่นไว้วางใจอย่างหลี่จื่อจินผู้นั้นแล้ว!
“ไปห้องอักษร!” นางหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งถึงได้มุ่งหน้าเดินไปทางห้องหนังสือด้วยใบหน้าที่มีเรื่องในใจ
แต่ทว่าซูหลีอยู่ที่ห้องอักษรได้เพียงไม่นานก็ได้รับข่าวว่าลู่เหมียนเหมียนให้คนเอาขนมมาส่งให้นาง
ซูหลีเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้าโดยไม่ลังเลใดๆ
พบว่าคนที่มาเป็นสาวใช้ข้างกายของลู่เหมียนเหมียนจริงและได้นำขนมแปลกใหม่หลายอย่างมาให้นางด้วยจริงๆ
หลังจากซูหลีรับขนมแล้ว สาวใช้คนนั้นก็จากไป
——
[1] ต้าหลี่ซื่อชิง ‘大理寺卿’ เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการในศาลต้าหลี่
ตอนที่ 798 ชุดสตรีในราชกิจยามเช้า
สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติมิสำคัญอะไร เพียงแค่ขนมธรรมดาเท่านั้น
แต่ทว่าหลังจากสาวใช้ผู้นั้นกลับออกไปแล้ว ซูหลีเข้ามาในห้องอักษรเพียงลำพังจากนั้นดึงกระดาษชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านในของขนมเหล่านั้น
หลังจากนางอ่านอย่างละเอียดแล้วใบหน้าที่หลบซ่อนอยู่ใต้แสงไฟนั้นเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
หลังจากนั้นไม่นานนางก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นไปข้างๆ โคมไฟเคลือบแล้วเผาทิ้งจนสะอาดหมดจด
“ฟู่!” ซูหลีถอนหายใจออกมายาวๆ ทั้งตัวทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
โชคดีที่การแสดงออกของนางในวันนี้ทำให้ลู่อวี้เหิงพึงพอใจ
แต่ว่าลู่อวี้เหิงยังคงมิได้กล่าวอะไร เพียงแต่นัดหมายให้นางไปพบเขาในวันอื่น
แม้ว่าใจของซูหลีจะรีบร้อนมากแต่นางก็รู้ว่ารีบร้อนไปมันก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นนางได้เฝ้ารอมานานถึงหนึ่งปีกว่าแล้ว ไหนเล่าจะใส่ใจกับแค่เวลาสองสามวันนี้?
ขอเพียงแค่ลู่อวี้เหิงเต็มใจที่จะพูดก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับซูหลีแล้ว
หลังจากที่ซูหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้อยู่ตรวจสอบเอกสารราชการเหล่านั้นต่อที่ห้องอักษร แต่กลับมาพักผ่อนที่ห้องของตนเองแล้ว
ราชกิจยามเช้าในวันพรุ่ง สำหรับนางแล้วถือเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่ง
เพราะ…
วันพรุ่งนี้เป็นวันแรกที่นางจะไปว่าราชกิจในฐานะขุนนางหญิงคนแรกแห่งราชวงศ์ต้าโจว!
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุที่สิ้นสุดเรื่องที่กังวลใจแล้วทำให้เมื่อคืนซูหลีนอนหลับสบายมาก อีกทั้งบ้านหลังใหม่ก็อยู่ใกล้กับวังหลวงมาก นางจึงสามารถนอนหลับได้นานขึ้นอีก พอตื่นมาจึงอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
หลังจากที่นางแต่งตัวเสร็จแล้วก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปทางวังหลวง
ตอนที่นางก้าวลงจากรถ ผลงานชิ้นเอกของแสงแดดในยามเช้าส่องลงมากระทบบนตัวของนางทำให้ชุดสีฟ้าที่นางสวมใส่อยู่นั้นถูกชุบเคลือบไว้ด้วยแสงสีทอง
ซูหลีอาบความอบอุ่นภายใต้แสงอาทิตย์นี้ ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ มุ่งหน้าเข้าไปในตำหนักอวิ๋นเซียว
ด้านในตำหนักอวิ๋นเซียวในยามเช้าเสียงดังมาก
เมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้รวมตัวกัน เรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้ก็มีมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วย…
ได้ยินมาว่าเมื่อวานขุนนางหญิงคนแรกแห่งราชวงศ์ต้าโจวพาคนบุกเข้าไปที่จวนสกุลป๋าย ทุบแผ่นป้ายที่จวนป๋ายมอบให้นางเมื่อก่อนหน้านี้จนพัง ทั้งยังพูดคำยั่วยุไปอีกเป็นกองเลยเชียว
ระหว่างขุนนางในราชสำนักต่างก็แลกเปลี่ยนข่าวสารกัน อีกทั้งเมื่อวานตอนที่ซูหลีพากำลังคนบุกเข้าบ้านสกุลป๋ายก็มิได้หลบเลี่ยงผู้คนรอบข้างแต่อย่างใด
นางโอ้อวดถึงเพียงนี้คนที่รู้ก็ย่อมมีมากเป็นธรรมดา
เรื่องนี้ไม่นับว่าเล็กน้อยเลย ในราชวงศ์ต้าโจวตำแหน่งของสกุลป๋ายมิได้เทียบกับคนธรรมดาทั่วไป หลายครั้งมานี้เสียเปรียบให้ซูหลีหลายคราแต่นั่นก็ยังเป็นตระกูลระดับต้นๆ
ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเข้าไปพาลพาโลถึงบ้านสกุลป๋าย แถมยังสามารถล่าถอยกลับออกมาได้ทั้งตัวด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังทิ้งคำพูดโหดเ**้ยมไว้ต่างหาก!
สำหรับขุนนางข้าราชบริพารทุกคนนับเป็นเรื่องที่แปลกใหม่อย่างมาก
ซูไท่ยืนอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงบุตรสาวของเขาบนใบหน้าค่อนข้างซับซ้อนยุ่งเหยิงขึ้นมาเล็กน้อย
ซูหลีเริ่มจะแปลกหน้ามากขึ้นไปทุกที เพียงแต่นิสัยผูกพยาบาทนี้กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย เมื่อก่อนนางก็เป็นเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้นางคงจะเกลียดบิดาอย่างซูไท่ผู้นี้ไปแล้วเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่พาคนของนางทั้งหมดในบ้านหลังนั้นแยกออกมาจากจวนซูเช่นนี้!
“ท่านทั้งหลายเหตุใดมาเร็วเช่นนี้” ในขณะที่กำลังคิด ท่ามกลางเสียงต่ำทุ้มของผู้ชายก็ปรากฏเสียงฉอเลาะหยาดเยิ้มเสียงหนึ่งขึ้นมา
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของคนทุกคนในทันที
เหล่าขุนนางต่างเงยหน้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันมองออกไปด้านนอกตำหนักอวิ๋นเซียว
เห็นเป็นสตรีรูปร่างงดงามผู้หนึ่งเดินย้อนแสงเข้ามา
นางสวมชุดสีเดียวกันกับชุดของราชสำนัก ตรงหน้าอกยังปะปู่จือ[2]ของขุนนางขั้นสองระดับสูงไว้ด้วย ศีรษะสวมไว้ด้วยมงกุฎดอกบัวทองแดงฝังมุกตะวันออก ใบหน้าดุจแสงอรุโณทัย พร้อมกับท่วงทีที่สง่างามของสตรี เดินเข้ามาในตำหนักอวิ๋นเซียวแห่งนี้ทีละก้าวๆ!
“ฮ่องเต้เสด็จ…”
——
[1] ปู่จือ ‘补子’ คือผ้าที่ปักลายเป็นรูปต่างๆเอาไว้เย็บติดบนชุดขุนนางและราชวงศ์ ในสมัยราชวงศ์หมิงเป็นยุคที่นำผ้าปู่จือมากำหนดระดับชนชั้นขุนนาง และสืบต่อมาจนถึงสมัยราชวงศ์ชิง