ตอนที่ 799 ฉินเฮ่าผู้นี้ / ตอนที่ 800 แส่หาเรื่อง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 799 ฉินเฮ่าผู้นี้

 

 

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ซูหลีเดินเข้าไปในแถวของบรรดาเหล่าขุนนางด้วยสีหน้าสงบเงียบพลางคำนับลงไปพร้อมๆ กับทุกคน

 

 

“ลุกขึ้นได้” เสียงนิ่งเรียบที่คุ้นเคยดังสะท้อนมาจากเบื้องบน ไม่รู้ว่าทำไมซูหลีถึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคุกที่งดงามเฉพาะตัวนั้นขึ้นมา

 

 

สอดประสานกับใบหน้าแสนเย็นชาทั้งยังรูปงามนั้นแล้วทำให้หัวใจของนางถึงกับเต้นผิดจังหวะ

 

 

อย่าได้กล่าวไป ชายอย่างฉินเย่หานผู้นี้ หากเขาต้องการจริงๆ คาดว่าสตรีในใต้หล้านี้ต่างก็ยากที่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาได้

 

 

ในเวลานี้ซูหลียังสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้เล็กน้อย แต่เพราะนางแบกเอาหนี้แค้นบัญชีเลือดของสกุลหลี่เอาไว้บนหลังของตน

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้แล้วนางเหลือบคิ้วหลบตาลงมิได้เงยหน้าไปมองฉินเย่หานอีก

 

 

ราชกิจยามเช้ายังคงเป็นเช่นดังเดิม ขุนนางพลเรือนหลายคนแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวตามความจริงก็ยังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยขนไก่เปลือกกระเทียม[1]

 

 

ซูหลีรู้สึกมิได้สนอกสนใจ เหลือบสายตาลอยไปทั่วแต่กลับบังเอิญไปหยุดอยู่ที่ร่างของใครผู้หนึ่งตรงหน้า

 

 

นางผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองสังเกตคนผู้นั้นอย่างละเอียด

 

 

โดยทั่วไปแล้ว หากสถานการณ์พิเศษนี้มิได้ปรากฏขึ้นบนศาลราชสำนัก คนผู้นั้นน่าจะเป็นผู้ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดในเวลานี้ เพราะเขา…มิได้ยืนอยู่

 

 

ทว่านั่งอยู่บนรถเข็นทางด้านหลัง

 

 

ซูหลีเห็นรถเข็นคันนั้นก็แทบจะสามารถมั่นใจได้ในทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใคร

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้างๆ ของคนผู้นี้ยังมีฉินมู่ปิงยืนอยู่ด้วย

 

 

บุคคลท่านนี้คือผู้ที่ปกป้องชายแดนมานานหลายปี จิ้งหนานอ๋องผู้เลื่องชื่อไปทั่วทั้งราชวงศ์ต้าโจว…ฉินเฮ่า

 

 

แล้วก็เป็นพี่ชายแท้ๆ มารดาเดียวกันที่เหลืออยู่ของฉินเย่หาน บิดาของฉินมู่ปิง

 

 

จอนผมทั้งสองข้างของฉินเฮ่าเริ่มจะหงอกขาวแล้วเล็กน้อย ทว่าใบหน้านั้นยังคงหล่อเหลารูปงาม คนสกุลฉินเหมือนจะไม่มีผู้ใดที่รูปไม่งามเลย รวมถึงองค์หญิงองค์โตฉินเข่อซินที่ซูหลีได้พบเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนก็มีใบหน้าที่งดงามเช่นกัน

 

 

จิ้งหนานอ๋องผู้นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ทั่วทั้งตัวเขาดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทั้งยังคงหน้าเดิมหน้าเดียวบวกกับผมหงอกขาวดูเหมือนว่าจะแก่กว่าฉินเย่หานมาก

 

 

ถึงกระทั่งว่าหากไม่รู้อะไรอาจจะคิดว่าเขาเป็นบิดาของฉินเย่หานเสียด้วยซ้ำ

 

 

แต่ทว่าก็มิน่าแปลกใจไป เดิมทีอายุของฉินเฮ่าก็มากกว่าฉินเย่หานมากอยู่แล้ว องค์ชายทั้งสามพระองค์ของฮ่องเต้องค์ก่อนให้กำเนิดออกมานับตั้งแต่พระองค์ยังเป็นองค์รัชทายาท แล้วตอนที่ฉินเย่หานกำเนิดออกมานั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็อายุมากแล้ว

 

 

อายุของเขากับฉินเฮ่าจึงแตกต่างกันมากเป็นเรื่องธรรมชาติ

 

 

แต่เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ซูหลียิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

 

 

ไม่ว่าอย่างไรฉินเย่หานก็เป็นบุตรชายในยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแก่ชราแล้ว แม้ว่าภายหลังจะยังให้กำเนิดฉินม่อโจวอีกคนแต่พวกเขาทั้งสองคนก็ถือได้ว่าเป็นบุตรชายสองคนสุดท้ายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนกับไทเฮาควรจะรักใคร่โปรดปรานฉินเฮ่ามากกว่า…

 

 

ต่างว่ากันว่า ฮ่องเต้โปรดปรานบุตรชายคนโต สามัญชนถนอมบุตรคนเล็ก แต่จะว่าไปแล้วฉินเฮ่าก็มิใช่บุตรชายคนโตเช่นกัน!

 

 

“ฮ่องเต้!” ซูหลีกำลังจิตใจล่องลอยท่องไปทั่ว ความสนใจมิได้อยู่ในศาลราชสำนักเลย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหันจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

 

เป็นขุนพลแปลกหน้าผู้หนึ่ง

 

 

รูปร่างสูงโปร่ง หน้าดำคล้ำ ใบหน้าจริงจังมาก

 

 

“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อครู่มีเพียงขุนนางพลเรือนที่พูดจาเรื่อยเปื่อยอยู่ตลอด ไม่มีเรื่องของขุนพลการทหารเลย เมื่อคนผู้นี้ลุกขึ้นยืนต่างทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขา

 

 

ซูหลีรู้สึกว่าคนผู้นี้แปลกหน้าแปลกตามากจริงๆ นางไม่เคยเห็นเขามาก่อน

 

 

ทว่าภายในใจของคนอื่นนั้นต่างมีความคิดเป็นของตนเอง

 

 

ซูหลีไม่รู้ว่าความคิดของผู้อื่นเป็นเช่นไร เพียงแต่หลังจากบุคคลผู้นี้ลุกยืนออกมา นางเห็นแม่ทัพลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

คราก่อนแม่ทัพลู่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรื่องของซูหลี ซูหลียังคงจดจำอยู่ภายในใจเสมอ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ขนไก่เปลือกกระเทียม ‘鸡毛蒜皮’สุภาษิตจีนขนไก่เปลือกกระเทียม หมายถึงเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไรสำคัญ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 800 แส่หาเรื่อง

 

 

บวกกับคุณสมบัติและประสบการณ์ของแม่ทัพลู่นับว่าลึกซึ้งที่สุดในบรรดาขุนพลในราชสำนักนี้

 

 

ซูหลีไม่รู้จักขุนพลทหารแปลกหน้าผู้นี้จึงเหลือบตามองไปทางแม่ทัพลู่โดยไม่รู้ตัว

 

 

คาดไม่ถึงว่าการเหลือบมองครานี้สามารถมองอะไรบางอย่างออกเล็กน้อยจริงๆ

 

 

“ฮ่องเต้ เสื้อผ้าใหม่ที่แบ่งให้ทหารชายแดนเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ปีนี้ไม่สามารถใส่ได้แล้ว ชายแดนลำบากยากแค้นมาก เหล่าทหารรักษาชายแดนก็จำเป็นต้องให้เงินบำรุงแก่ครอบครัว เงินเดือนและเสบียงทหารไม่เพียงพอจริงๆ กระหม่อมขอวิงวอนต่อองค์ฮ่องเต้โปรดทรงเห็นใจทหารชายแดนและจ่ายเงินเดือนเสบียงทหารให้มากขึ้นสักน้อย เพื่อให้เหล่าทหารสามารถมีปีที่ดีด้วยเถิด!”

 

 

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาทั่วทั้งราชสำนักก็เงียบสงบลง

 

 

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อย ทันทีที่ขุนพลผู้นี้เปิดปากขนาดนางยังสามารถตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

 

 

ทางชายแดนมาขอเงินเดือนเสบียงทหารไม่หยุดหย่อนฮ่องเต้ต่างก็ให้หมด นี่ก็เป็นสิ่งที่สมควร เพราะอย่างไรเสียทางชายแดนลำบากยากแค้นมากทุกคนต่างรู้ดี

 

 

แต่ตอนนี้เพิ่งจะถึงฤดูร้อนก็เริ่มมาขอค่าแรงทหารแล้ว?

 

 

ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเอาเสียเลย…

 

 

นอกจากนี้คนอื่นไม่เข้าใจสถานการณ์แต่ซูหลีรู้ดี ปีที่แล้วตลอดหนึ่งปีก็กลับไปกลับมาตั้งหลายครา

 

 

ทั้งยังมีโรคระบาดประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอีก คลังทรัพย์สินของประเทศใกล้จะว่างเปล่าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่งจะบูรณะจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมไปเป็นเงินจำนวนมหาศาล

 

 

ตอนนี้เป็นห้วงฤดูร้อนยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว บ้านสามัญชนเองก็ยากลำบาก ภาษีนาข้าวนี้ย่อมยังไม่ได้เรียกจ่าย คลังทรัพย์สินประเทศก็ว่างไปมากแล้ว

 

 

ในเวลาเช่นนี้มาขอค่าจ้างทหาร นี่…

 

 

ใช้อะไรคิดกัน?

 

 

“ใต้เท้าจ้าว” ซูหลีครุ่นคิดและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกระซิบเรียกใต้เท้าจ้าวเสนาบดีกรมอาญาที่อยู่ข้างๆนางเบาๆ

 

 

“มีอะไรหรือใต้เท้าซู” ใต้เท้าจ้าวถือว่าเป็นมิตรภาพต่างวัยคนหนึ่งของซูหลีไปแล้ว แม้ว่าหลังจากที่รู้ว่านางเป็นสตรีแล้วจะตกใจมากแต่ก็มิได้แสดงออกมาทางสีหน้า และยังคงไปมาหาสู่กับซูหลีตามปกติ

 

 

“คนผู้นี้เป็นใครหรือ”

 

 

ใต้เท้าจ้าวเหลือบตามองไปทางขุนพลทหารปราดหนึ่งพลางกระซิบเสียงเบาว่า: “ก็มิแปลกที่ใต้เท้าซูจะไม่รู้จักเขา เขาคือแม่ทัพทหารม้าที่กลับมาจากชายแดนพร้อมกับจิ้งหนานอ๋องในครานี้นามว่า ซุนเฉียง!”

 

 

ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่ใต้เท้าจ้าวด้วยความประหลาดใจ

 

 

แต่ใต้เท้าจ้าวกลับหัวเราะออกมาเล็กน้อยและมิได้พูดสิ่งใดอีก

 

 

คำพูดนี้เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว

 

 

กลับมาพร้อมกับฉินเฮ่า ทั้งตอนนี้ยังทูลขอปัญหาที่ยากเช่นนี้กับองค์ฮ่องเต้!

 

 

เพลานี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าการคลังของประเทศว่างเปล่ามิอาจจัดสรรเงินออกมาจำนวนมากได้

 

 

ทว่าเขาใช้เหล่าทหารชายแดนมาเป็นข้ออ้าง องค์ฮ่องเต้มิอาจปฏิเสธออกไปโดยตรงได้ ไม่เช่นนั้นนี่จะไม่เป็นการทำให้เหล่าทหารชายแดนเจ็บปวดด้วยความผิดหวังหรอกหรือ

 

 

แต่หากจะให้ แล้วจะให้อย่างไร

 

 

เขตชายแดนมีทหารจำนวนมากมายขนาดนั้น เงินเดือนเสบียงทหารจะสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินกี่หมื่นตำลึงหรือไร

 

 

หากปล่อยให้คลังทรัพย์สินว่างเปล่าแล้วหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาภายหลัง ควรจะทำเช่นไรเล่า

 

 

สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางฉินเฮ่าพ่อลูกปราดหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรชายคู่นี้กับองค์ฮ่องเต้นั้นเป็นอะไรที่ยากจะอธิบายมากเสียจริง

 

 

ภายนอกเป็นพี่น้อง ภายนอกแสดงออกว่าเป็นลุงหลานที่จริงมันก็เท่านั้นเอง

 

 

“ใต้เท้าซุน!” ฉินเย่หานที่อยู่ด้านบนมิได้พูดรับคำ เพียงแค่มองไปที่ซุนเฉียงผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับเป็นบัณฑิตเซี่ยที่ลุกยืนขึ้น

 

 

เขากล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า: “นี่เพิ่งจะจัดสรรเงินจำนวนมากไปจัดการบูรณะภัยพิบัติจากน้ำท่วม เพลานี้คลังของชาติขาดดุล ทั้งยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้วจะสามารถจัดสรรเงินการทหารออกมาในเพลานี้ได้อย่างไร”

 

 

“หากว่าตามที่ใต้เท้าเซี่ยกล่าวมา ชีวิตของสามัญชนคือชีวิต ชีวิตของเหล่าทหารไม่ใช่ชีวิตอย่างนั้นหรือ” ซุนเฉียงก็เป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เมื่อบัณฑิตเซี่ยกล่าวเช่นนี้เขาก็ลุกขึ้นมาโต้แย้งในทันที

 

 

“ทหารจำนวนมากเพื่อปกป้องครอบครัวประเทศชาติไม่เคยได้กลับบ้านแม้เพียงครั้งมานานหลายปี ที่บ้านยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลาน คนเหล่านี้ต่างก็ต้องกินข้าวกันเท่านั้น หรือว่าชีวิตของพวกเขาไม่นับว่าเป็นชีวิตหรือไร”

 

 

คนผู้นี้เป็นคนร้ายกาจผู้หนึ่ง!

 

 

ซูหลียิ้มเยาะออกมา ยังรู้จักใช้คำพูดประเภทนี้มาข่มขู่ผู้อื่นด้วย!