ตอนที่ 801 เก็บภาษีเพิ่ม / ตอนที่ 802 คนที่พูดจาส่งเดชมิใช่เจ้าหรือ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 801 เก็บภาษีเพิ่ม

 

 

“ทูลฝ่าบาท ที่พวกเราต้าโจวสามารถมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองได้เช่นนี้ อย่างไรก็เกี่ยวข้องการที่เหล่าทหารชายแดนที่มิห่วงชีวิตของตน และปกป้องแว่นแคว้นอย่างสุดชีวิต กระหม่อมคิดว่าไม่ว่าอย่างไร ก็ควรให้เงินเดือนและเสบียงพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เมื่อซุนเฉียงเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ยังมีคนลุกขึ้นเห็นด้วยกันเขา

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

 

 

เมื่อมีขุนนางยืนขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายคน บรรยากาศภายในท้องพระโรงจึงแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

 

 

ซูหลีมองคนเหล่านั้นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางมิได้แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน

 

 

“ทูลฝ่าบาท อุทกภัยครานี้ได้ใช้เงินไปจำนวนมาก โชคดีที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยไม่ร้ายแรงนัก ทว่าแต่ละหนแห่งล้วนประสบภัยนี้ มีสถานที่บางแห่งดินถล่มลงมา สถานที่เหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินจัดการให้เรียบร้อย หากให้เบี้ยหวัดและเสบียงทหารเพิ่มเวลานี้ เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

บัณฑิตเซี่ยยังคงยืนกรานไม่ให้เบี้ยหวัดและเสบียงทหาร

 

 

“กระหม่อมคิดว่าที่ใต้เท้าเซี่ยกล่าวมาถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหัวหน้ากระทรวงการคลังลุกขึ้นยืน กระทรวงการคลังนั้นเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้มากที่สุด แต่ละที่ล้วนต้องใช้เงิน

 

 

แม้แต่องค์จักรพรรดิผู้ปรีชาญาณที่ทำให้ราชวงศ์ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองก็มิได้มีวิธีการใช้เงินคลังเช่นนี้

 

 

“บัดนี้กองคลังของแว่นแคว้นนั้นว่างเปล่า ไม่อาจทนรับปัญหานี้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

หึ!

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ขุนนางเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่มีซุนเฉียงเป็นผู้นำ จำนวนผู้คนที่ยืนขึ้นนั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย ไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึง

 

 

ส่วนอีกกลุ่มกลับเป็นเหล่าขุนนางที่เป็นเสาหลักในราชสำนัก บัณฑิตเซี่ยเป็นหนังหน้าไฟ รวมกับขุนนางกระทรวงการคลังอีกหลายคนด้วย

 

 

ต่างกล่าวว่าไม่ให้เงินเบี้ยหวัดอะไรนั้น

 

 

ชั่วขณะนี้บนท้องพระโรงเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นทันที

 

 

ขุนนางเหล่านี้ต่างพากันถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ไม่มีใครยอมใคร

 

 

“ทูลฝ่าบาท!” และในเวลานี้เอง พลันมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน

 

 

ซูหลีหรี่ตามองพบว่า คนผู้นั้นก็คือป๋ายไต้ซือ

 

 

ป๋ายไต้ซือที่ยืนอยู่นั้น และยังมีคนจำนวนหนึ่งหันมองนางปราดหนึ่ง นั่นเพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นคุณูปการของนาง

 

 

ทว่าซูหลีกลับไม่รู้จักกังวลใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อเปรียบเรื่องเล็กเหล่านั้นกับเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้ อย่างไรก็ถูกมองข้าม นอกเสียจากป๋ายไต้ซือจะเสียสติ มิเช่นนั้นก็คงไม่โพล่งพูดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในเวลานี้

 

 

“กระหม่อมคิดว่า เงินเดือนเบี้ยหวัดทหารเป็นเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้น ทหารฝั่งชายแดนต่างทำเพื่อแว่นแคว้นและราษฎร จึงเหมาะสมที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ทว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้ก็คือ กองคลังของแคว้นว่างเปล่า จึงมิอาจนำเงินออกไปได้อีก กระหม่อมนั้นคิดว่ามีวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

ใบหน้าของป๋ายไต้ซือเยือกเย็นเป็นอย่างมาก มิเห็นริ้วของความกังวลใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

เป็นอย่างที่ซูหลีคาดไว้ ป๋ายไต้ซือเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่มีทางที่จะพูดเรื่องที่มิเกี่ยวข้องกับราชสำนักเป็นธรรมดา

 

 

และแผนการที่เขากำลังเสนอตอนนี้ ถือเป็นเรื่องดีต่อเขาและสกุลป๋าย

 

 

หลังจากสกุลป๋ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผงฝิ่น อิทธิพลบนราชสำนักก็มิได้กระจายกว้างเหมือนดังแต่ก่อน หากแผนการในวันนี้ของเขาสามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ สกุลป๋ายก็จะกลับมาเป็นดังเดิม

 

 

“พูด” ฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบนเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

 

“กระหม่อมคิดว่าควรจะเก็บภาษีเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ทันทีที่พูดจบ ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

 

ซูหลีเงยหน้ามองไปทางป๋ายไต้ซืออย่างฉับไว

 

 

“ในเวลานี้หากเก็บภาษีเพิ่ม ประการแรก จักสามารถเติมเต็มกองคลังของแคว้น และสามารถแก้ปัญหาเรื่องเงินเดือนเบี้ยหวัดทหารได้ ประการที่สอง นี่ถือเป็นการให้ราษฎรทุกคนมีส่วนในการช่วยเหลืออุทกภัยครานี้ กระหม่อมคิดว่า นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ใบหน้าของป๋ายไต้ซือยังคงนิ่งเฉย ขณะที่เอ่ยมิได้แฝงไปด้วยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

อีกทั้งหลังจากเขาพูดจบ ก็มีคนผงกศีรษะเห็นด้วยกันข้อเสนอแนะนี้

 

 

ต่างคิดว่าวิธีนี้มีความเป็นไปได้

 

 

เดิมเงินในกองคลังของแคว้นนั้นมาจากการเก็บภาษีในทุกปี

 

 

บัดนี้หากมีการเรียกเก็บภาษีอีกครา ก็มิถือว่าเป็นความผิดอันใหญ่

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอันใหญ่หลวงเช่นนี้!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 802 คนที่พูดจาส่งเดชมิใช่เจ้าหรือ

 

 

ซูหลีกลับรู้สึกอย่างฉับไวว่า บรรยากาศในตำหนักอวิ๋นเซียวเคร่งขรึมขึ้นในชั่วพริบตา

 

 

นางมองทางฉินเย่หานอย่างอดมิได้ นางกลับเห็นใบหน้าที่มิมีริ้วอารมณ์ใดๆ ดวงตานั้นดำเข้มจนมิเห็นสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าเขามิค่อยเบิกบานใจนัก

 

 

ความมิเบิกบานใจนี้ ยามที่ซุนเฉียงออกมาพูดเรื่องต้องการเงินเดือนเบี้ยหวัดทหาร ยังมิได้ปรากฏขึ้น

 

 

ซูหลีหัวเราะเย้ยหยัน ป๋ายไต้ซือเก่งกาจจริงๆ

 

 

“วิธีของป๋ายไต้ซือนั้นยอดเยี่ยม ทางทหารฝั่งชายแดนไม่ต้องลำบาก และยังสามารถช่วยให้ผู้ประสบภัยทรงตัวได้ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“เป็นวิธีที่ไม่เลวจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“กระหม่อมรู้สึกว่าเป็นวิธีที่เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ที่น่าขันที่สุดก็คือ มีขุนนางจำนวนไม่น้อยเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต่างก็รู้สึกถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

 

 

แม้แต่ใบหน้าของบัณฑิตเซี่ยก็ยังอดมีความสั่นคลอนมิได้ เขาคล้ายกับต้องการพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่ายังไม่เอ่ยออกมา

 

 

ซูหลีอดยิ้มหยันออกมาไม่ได้ เหล่าขุนนางในเมืองหลวงนี้พักอยู่ในที่อยู่อาศัยดีๆ กินอาหารที่มีค่า ไฉนจะเข้าใจความยากลำบากของราษฎรกัน พูดว่าจะเพิ่มภาษีก็จะเพิ่มภาษี

 

 

ครานี้หากมีประกาศการเก็บภาษีเพิ่มแถลงออกไป เกรงว่าจะมีชาวบ้านจำนวนมากคงจะมิมีเงินจ่าย และทำได้เพียงเอาบุตรและบุตรีไปขาย!

 

 

“ทูลฝ่าบาท!” ในขณะที่ทุกคนกำลังผงกศีรษะ รู้สึกว่าวิธีนี้นั้นไม่เลว เสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

 

 

เสียงนี้แตกต่างกับเสียงของทุกคนในที่นี้ ด้วยเสียงที่เย้ายวนเล็กน้อยนั้น ทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คนในท้องพระโรง

 

 

เกือบจะในเวลาเดียวกันที่นางเปิดปากเอ่ย ก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้

 

 

“กระหม่อมคิดว่า วิธีนี้มิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะที่ตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้คน ซูหลีก้าวเดินออกมาจากด้านข้าง

 

 

ที่จริงการกลับมาในราชสำนักของนางในครานี้ ในใจของคนจำนวนมากรู้สึกซับซ้อนเป็นอย่างมาก

 

 

แม้นางจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสอง ทว่าขุนนางจำนวนมากต่างมิเห็นความสำคัญของนางเหมือนดังแต่ก่อน

 

 

เห็นนางเป็นเพียงสิ่งของที่จัดวางไว้

 

 

คิดไม่ถึงว่านางจะออกมาพูดด้วยมาดเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังเช่นนี้

 

 

และมีคนที่มองนางอย่างขัดตาจึงเอ่ยว่า “ก็แค่สตรีคนหนึ่งจะเข้าใจออกไป เจ้ารู้หรือไม่อะไรคือเงินเดือนเบี้ยหวัดทหาร”

 

 

คนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ดูเหมือนจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายป๋ายไต้ซือคนหนึ่ง

 

 

สีหน้าของซูหลีเย็นยะเยียบขึ้นทันใด นางมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ย “สตรีคนหนึ่ง? ใต้เท้าจาง เจ้าควรมองให้ชัดแจ้ง ข้าเป็นเซ่าซือขั้นสองที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าอยู่มาก เจ้าพูดกับข้าอย่างไม่เจียมตัวเช่นนี้ ทำไมรึ ในสายตาของเจ้าคำตรัสของฝ่าบาท เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นหรือ”

 

 

ใต้เท้าจางผู้นั้นถูกนางตอบโต้ขนาดนี้ ใบหน้าจึงแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก

 

 

รอบข้างต่างมองดูด้วยความตกตะลึง

 

 

ซูหลีผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือไม่ ล้วนเป็นคนที่ไม่สามารถยุแหย่ได้

 

 

“ไยใต้เท้าซูถึงต้องยกตนข่มท่านเช่นนี้ด้วยเล่า อีกทั้งขุนนางจำนวนมากล้วนกล่าวว่าวิธีนี้มิเลว ไยใต้เท้าซูถึงรู้สึกว่ามิดีกัน” ป๋ายไต้ซือเห็นซูหลีพูดโผงขึ้น หน้าผากของเขาถึงกับกระตุกอย่างห้ามมิได้

 

 

ทันทีที่คิดถึงเรื่องที่ข้ารับใช้มารายงานเขาเหล่านั้น เขาก็แทบจะเข้าไปสังหารซูหลีเสียเดี๋ยวนี้

 

 

เพียงแต่เขามิอาจทำ และมิสามารถทำได้

 

 

ถึงขั้นไม่อาจให้คนใต้อาณัติของตน ปะทะกับซูหลีอย่างตรงไปตรงมาได้

 

 

ซูหลีเห็นใต้เท้าจางถูกตอกกลับหน้าหงาย เดินกลับเข้าไปในแถว ซูหลีจึงยิ้มหยันแล้วเอ่ยกลับป๋ายไต้ซือว่า

 

 

“ไต้ซือเป็นขุนนางมาตั้งหลายปี หรือแม้แต่มูลเหตุก็ลืมหมดแล้ว”

 

 

นี่…

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

คนอย่างป๋ายไต้ซือเมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้ เขาเอ่ยด้วยโทสะว่า “เจ้าพูดจาส่งเดชอะไรกัน!?”

 

 

“พูดจาส่งเดช!? คนที่พูดจาส่งเดชไม่ใช่ท่านหรอกหรือ?” คนอื่นกลัวเขา ทว่าซูหลีกลับไม่รู้สึกหวั่นเกรงเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ถึงขั้นไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัว!