บทที่ 1611 - ปราณจักรพรรดิทมิฬ บดขยี้กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํา

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1611 – ปราณจักรพรรดิทมิฬ บดขยี้กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํา

 

หมิงเยวี่ยเก้อโหลวไม่อาจอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้ยินคําพูดของชิงหมิง เธอรักลูกของเธอมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้คือจุดสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชิงสุ่ยและตระกูลชิง

 

“หมิงเอ๋อของเรายังมีเหตุผลอยู่บ้าง”ซิงอี้ยิ้ม เธอมักจะอยู่ใกล้ชิดกับบรรดาลูกหลานทั้งหมด เช่นเดียวกับชิงชิง และจุดที่เธอยืนอยู่ปัจจุบันเป็นจุดที่เธอไม่เคยฝันถึงมาก่อน

 

ในขณะเดียวกัน ชิงอวี่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ไอ้เด็กเหลือขอจากตระกูลน่าหลานต้องสํานึกเจ็บปวด แม้ข้าจะยอมรับว่าตระกูลน่าหลานแข็งแกร่งจริงๆ”

 

“ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”ชิงสุ่ยตอบ

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้หวาดกลัว แต่ที่ข้ากลัวคือกลัวว่าท่านย่าและท่านแม่จะบาดเจ็บเพราะสิ่งนี้”ชิงอวี่ตอบกลับด้วยน้ําเสียงกังวล

 

“อืมม เด็กหญิงตัวน้อยของพวกเราเติบโตขึ้นอีกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะให้ความสําคัญกับผู้อื่น” ชิงสุ่ยกล่าว เขาเองก็ไม่ได้ใช้เวลากับลูกๆของเขาเลย จึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้สั่งสอนลูกๆได้ดีพอ แม้ว่าพวกเขาจะทําอะไรผิด ชิงสุ่ยก็สามารถให้อภัยได้ทุกเรื่อง

 

” ท่านพ่อ ตระกูลน่าหลานแข็งแกร่งมากๆเลย” ชิงอวี่กระซิบ

 

ชิงสุ่ยส่ายหน้าก่อนจะยิ้ม “ใครกันที่กล้ารังแกลูกๆของข้า? ไม่ว่าศัตรูพวกนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้าหากกระทําการโดยไร้เหตุผล ข้าเกรงว่าภัยพิบัติจะไปเยือน”

 

เห็นได้ชัดถึงคําพูดของชิงสุ่ย เขาไม่ต้องการให้คนดีถูกกลั่นแกล้งแต่คนชั่วจําเป็นต้องถูกกําจัด

 

ลูกๆมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นคําพูดของชิงสุ่ย โดยเฉพาะชิงหมิง ” ท่านพ่อของข้าแข็งแกร่งที่สุดเสมอ ข้าจะจําคําสั่งสอนของท่านพ่อเอาไว้”

 

“หมิงเอ๋อ มานี่สิ” ชิงสุ่ยเรียกชิงหมิงเพื่อต้องการตรวจสอบภายในร่างกายของชิงหมิง

 

ซิงหมิงรีบวิ่งเข้าหาชิงสุ่ยทันที จากนั้นชิงสุ่ยยื่นมือออกมาก่อนจะสัมผัสชีพจรลูกชายของเขา หมิงเยวี่ยเก้อโหลวรู้สึกประหม่าในสิ่งที่ชิงสุ่ยทํา เพราะเธอรู้ดีว่าทักษะการแพทย์สามีของเธอนั้นอยู่ในระดับใด จึงทําให้เธอรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นสามีของเธอตรวจชีพจรลูกของตัวเองทั้งที่ไม่เคยทํามาก่อน

 

แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมากจนกระทั่งชิงสุ่ยลืมตาขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ที่อยู่ภายในตัวลูกชายของเขาเช่นกัน

 

ชิงหมิงเองก็มีพลังปราณจักรพรรดิทมิฬอยู่ภายในร่างกาย เพื่อให้เข้าใจง่ายมันคือรูปแบบของปราณจักรพรรดิ ที่สามารถลดความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้ 20% แต่ในรูปแบบของพลังจักรพรรดิทมิฬจะเป็นการเพิ่มพูนความสามารถของผู้ใช้ 20% แทน

 

พลังปราณจักรพรรดิทมิฬ คล้ายคลึงกับพลังปราณจักรพรรดิ และมีข้อดีเป็นของตัวเอง ในรูปแบบพลังปราณจักรพรรดิ จะเหมาะสมก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้น้ําแข็งแกร่งกว่าเพราะมันจะลดพลังคู่ต่อสู้เป็นจํานวนมาก แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าพลังที่ลดลงก็จะเป็นจํานวนน้อยนิด ในขณะที่ปราณจักรพรรดิทมิฬจะสามารถเพิ่มพูนความสามารถของผู้ชาย ซึ่งถ้าหากศัตรูมีพลังในระดับสูงกว่าเล็กน้อย 20%ของพลังที่เพิ่มขึ้นจะสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดทันที และคู่ต่อสู้ก็ไม่มีทางเอาชนะผู้ที่ครอบครองพลังปราณจักรพรรดิทมิฬได้อย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างไร พลังปราณจักรพรรดิทมิฬในร่างของชิงหมิงยังไม่อยู่ในขั้นสมบูรณ์ กล่าวอีกนัย หนึ่งคือมันอยู่ในระดับที่ยังไม่มั่นคง แต่ถ้าหากได้รับการช่วยเหลือจากชิงสุ่ยอีกไม่นานนักพลังป ราณจักรพรรดิทมิฬก็จะก่อรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ

 

” ท่านพ่อร่างกายของข้ามีปัญหาหรือไม่?” ชิงหมิงถามพร้อมกับวิตกกังวลเล็กน้อย

 

“นอกจากจะไม่มีปัญหาแล้ว ร่างกายของเจ้ายังมีฐานพลังที่ดีมาก ภายใน 2 วันนี้ พ่อจะช่วยปรับแต่งพลังของเจ้า รวมถึงช่วยเจ้าและคนอื่นให้มีพลังเพิ่มขึ้นอีก 20%”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

 

เขารู้สึกดีอย่างมากที่จะได้เห็นตระกูลชิงก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างก้าวกระโดด เพราะเด็กรุ่นนี้มีความสามารถเพียบพร้อมและพร้อมที่จะรับเอาพลังสังหารไร้ปรานี้ซึ่งเป็นทักษะสวรรค์มาใช้ในการเผด็จศึก

 

ทุกคนต่างก็ร่าเริงไม่ได้ยินคําพูดของชิงสุ่ย โดยแต่ละคนต่างมีความสุขและอิจฉากันและกัน

 

“มันเป็นเรื่องปกติ เพราะกรรมพันธ์ของท่านพ่อนั้นเปรียบดั่งเทพเจ้าอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องอิจฉาเลย” ชิงหมิงถอนหายใจ

 

แม้คําพูดของเขาจะดูเหมือนคํายั่วยุเด็กคนอื่น แต่ชิงสุ่ยและเด็กที่เหลือต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะเพราะคําพูดที่ดูตลกนั้น ตัวของชิงสุ่ยเองก็ไม่คาดคิดว่าชิงหมิงจะได้รับสืบทอดพลังปราณจักรพรรดิ์ออกไปในรูปแบบปราณจักรพรรดิทมิฬ

 

แน่นอนว่ากลิ่นอายกดดันแบบนี้ไม่ได้มาจากหมิงเยวี่ยเก้อโหลวแน่นอน และเป็นไปไม่ได้เพราะภายใต้ร่างกายของเธออัดแน่นไปด้วยพลังกลิ่นอายบริสุทธิ์ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ยังอิจฉาในพลังนี้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทําไมเขาถึงไม่สามารถค้นคว้ามันมาได้ หรือบางทีมันอาจจะเป็นพลังปลดปล่อยที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด?

 

ทุกคนรับรู้ถึงกลิ่นอายภายใต้ตัวของชิงหมิง จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย ในความเป็นจริงกลิ่นอายนี้ค่อนข้างทําให้ทุกคนมีความสุข

 

“เออจริงสิ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลน่าหลาน?”ชิงสุ่ยเคยได้ยินชื่อของกลุ่มเมฆาสะท้านนภา กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํามาก่อน แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลน่าหลาน ซึ่งจากคําพูดของชิงสุ่ยเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งจริงๆหรือไม่?

 

แล้วก็ถึงเวลาที่หมิงเยวี่ยเก้อโหลวเริ่มพูดอีกครั้ง “ตระกูลน่าหลานมีอยู่มาตั้งแต่ต้น และอยู่ในระดับกลางมาโดยตลอด ดูเหมือนว่ากลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําจะถูกทําลายโดยน้ํามือของตระกูลน่าหลาน”

 

คําพูดของหมิงเยวี่ยเก้อโหลวสร้างความประหลาดใจให้กับชิงสุ่ยอย่างมาก ทุกคนต่างรู้ดีว่ากลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรํา เหมือนกับกลุ่มมังกรอหังกาลที่เป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปมังกรอหังกาล แต่กลุ่มคนกลุ่มนี้ถูกทําลายโดยน้ํามือของชิงสุ่ย ส่วนตระกูลน่าหลานเข้าทําลายกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรํา ซึ่งปัจจุบันความขัดแย้งระหว่าง ตระกูลชิงและตระกูลน่าหลานได้เริ่มต้นขึ้นแม้จะเป็นศึกสงครามระหว่างเด็กสาวรุ่นเยาว์ แต่เรื่องทุกอย่างก็ย่อมบานปลายไม่มากก็น้อย

 

ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็นึกถึงตระกูลหลิงซูแห่งกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําและหยุนยี่เจี้ยนจากกลุ่มเมฆาสะท้านนภา

 

“ตระกูลหลิงฮูเป็นอะไรหรือไม่?” ชิงสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหลิงซู เขาจึงวิตกกังวล

 

“ตระกูลหลิงซูยังอยู่รอดปลอดภัย แต่บุคคลสําคัญของกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําส่วนใหญ่ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว” ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบ

 

ตระกูลชิงในปัจจุบันก็ไม่ง่ายที่จะล่มสลาย ตัวของอีหวงก้หรูและผู้อาวุโสอีก 2 คนก็อยู่ในระดับบัญชาสวรรค์พินาศแล้ว ซึ่งตัวของชางห่ายหมิงเยวี่ย หมิงเยวี่ยเก้อโหลวรวมถึงหญิงสาวคนอื่นๆก็ใกล้ถึงจะบรรลุในระดับนั้นเช่นกัน ไหนจะมีองค์หญิงใหญ่ ติ๊เฉิน อวี้อู่หยาน ถานท่าย หยวน อวี้เหอ ที่ดํารงอยู่ในนิกายใกล้เคียงกับมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรํา ฉะนั้นชิงสุ่ยจึงไม่จําเป็น ต้องหวั่นเกรงเรื่องของกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําที่ล่มสลายไป

 

การที่ตระกูลน่าหลานล้มกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําได้ มันเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่าตระกูลน่าหลานนั้นแข็งแกร่งกว่า แต่ชื่อเสียงของชิงสุ่ยก็เป็นที่รู้จักดีในคนหมู่มาก เพราะชิงสุ่ยเองก็เป็นคนนําพาความล่มสลายไปสู่กลุ่มมังกรอหังกาล อาจเป็นเพราะเหตุนี้ ตระกูลน่าหลานจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามทําอะไรตะกูลชิง

 

“ว่าแต่การขัดแย้งระหว่างสองตระกูลเกิดขึ้นเมื่อใด?”ชิงสุ่ยกล่าวถาม

 

“เมื่อสามวันก่อน!!”

 

ซิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าทันทีที่เขากลับบ้านปัญหาจะรอเขาอยู่ เขาวางแผนที่จะอยู่บ้านเป็นเวลา 1 เดือน ดังนั้นเขาจําเป็นจะต้องค้นหาสาเหตุให้เจอก่อนที่เขาจะจากไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

 

“ตระกูลน่าหลานเคลื่อนไหวใดๆหรือไม่?” ชิงสุ่ยกล่าวถาม

 

“ไม่เลย” ชางห่ายหมิงเยวี่ยส่ายหน้า

 

“พูดตามตรง เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แม้ว่าจะมีปัญหาตามมาก็ต่าง เรื่องการทะเลาะเกิดจากคู่หมั้นของลูกศิษย์ตระกูลน่าหลาน และสุดท้ายชิงหมิงก็เป็นคนลงมือทุบตี ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ทั่วไป กลุ่มตระกูลทรงพลังจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้แน่ ฉะนั้นพวกเขาต้องวางแผนอะไรอยู่สักอย่าง”

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีคนจากข้างนอกนําบางสิ่งบางอย่างเข้ามา เขาคือคนเฝ้าประตูประจําตระกูลชิง ตะกูลชิงจัดได้ว่าเป็นตระกูลขนาดใหญ่ จึงมีคนเฝ้าประตูเป็นของตนเอง

คนเฝ้าประตูคนนี้เป็นชายวัยกลางคนที่ได้รับการรักษาโดยชิงสุ่ย เขาเองก็เป็นผู้ฝึกตนแต่บาดเจ็บจนพิการ ต่อมาชิงสุ่ยได้รักษาโรคที่ไม่มีใครรักษาได้ให้กับเขา หลังจากอาการบาดเจ็บหายไป เขาก็ได้ตอบแทนความดีโดยการรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตู

 

ผังกว่านเดินเข้ามาข้างในพร้อมกล่าวว่า “นายท่าน คุณหญิง นี่คือจดหมายท้าประลองที่ถูกส่งมาจากตระกูลน่าหลาน”

 

มันเป็นเรื่องดีอย่างมากที่พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้ในเวลาที่ชิงสุ่ยกลับมาบ้าน เพราะมันจะได้ตัดสินก่อนที่เขาจะจากไป หลังจากที่ชิงสุ่ยรับเอาจดหมายมา ผังกว่านก็ถอยหลังกลับไปประจําตําแหน่งของเขา ชิงสุ่ยค่อยๆเปิดจดหมายอ่าน “จดหมายท้าประลองนี้ถูกส่งจากรุ่นเยาว์ตระกูลน่าหลานสู่รุ่นเยาว์ตระกูลชิง”

 

ชิงสุ่ยยิ้มและส่งมอบจดหมายท้าประลองแก่ชิงซุน แม้ว่าท่าทางตอบกลับของชิงซุนจะดูแปลกประหลาด แต่ชิงซุนก็เปรียบเสมือนตัวแทนและเป็นลูกชายคนโตของชิงสุ่ย ดังนั้นชิงซุนจึงเปรียบเสมือนภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของตระกูลชิง ส่วนชิงหมิงที่มีใบหน้าหล่อเหลา เด็กคนนี้ชอบทําอะไรทุ่มบ่าม และไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของผู้นํา โดยภาพรวม ชิงสุ่ยจึงยังไม่คิดเลือกใครขึ้นมาเป็นผู้นําตระกูล

 

ชิงซุนหยิบจดหมายท้าประลองขึ้นมาอ่านจากนั้นก็ส่งมันให้กับชิงหมิง ตอนนี้ในหมู่รุ่นเยาว์คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิง ก็คงจะเป็นหลวนหลวน ซึ่งอาจจะแข็งแกร่งเกินไปสําหรับคนในรุ่นเดียวกันกับเธอ อาจเรียกได้ว่ามีพลังเกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของหมู่คนตระกูลชิง