บทที่ 1612 - ยอมรับคําท้า

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1612 – ยอมรับคําท้า

 

หลังจากที่เขาอ่านจบ ชิงหมิงก็ยิ้มและพูดอย่างไม่แยแสว่า “พวกเราพร้อมจะสู้ต่อ และจะไม่มีใครหวาดกลัวพวกแก”

 

ชิงหมิงส่งจดหมายท้าประลองให้กับชิงหยิน โดยชิงหยินไม่แม้แต่จะเปิดอ่านก่อนจะส่งให้กับชิงฉางเฟิง ไม่ใช่ว่าเธอกังวล แต่เพราะเธอไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่เข้าประลอง แต่เธอก็เป็นส่วนหนึ่งในการทักทายครั้งนี้

 

ชิงสุ่ยวิตกอย่างมากเมื่อเรื่องราวนี้เกี่ยวกับเด็กๆของเขา แต่เด็กจะโตได้ก็ต้องเผชิญหน้ากันปัญหาเผื่อไว้วันข้างหน้าเด็กเหล่านี้จะกลายเป็นเสาหลักของตระกูล ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจให้เด็กๆคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองโดยที่มีเขามองดูอยู่ห่างๆ

 

ตามธรรมชาติแล้ว ชิงซุนและเด็กคนอื่นจะเลือกยอมรับคําท้า ชิงสุ่ยเฝ้ามองดูหลวนหลวน ลูกสาวคนนี้ยังคงไว้ซึ่งความสงบนิ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเธอนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้นี่คือสิ่งที่แตกต่างระหว่างเธอกับเด็กรุ่นที่ 4 ของตระกูลชิง

 

นอกจากเธอจะมีอายุมากกว่าชิงซุน เธอยังแข็งแกร่งเหนือทุกคนอีกด้วยบรรดาเด็กหนุ่มหญิงสาวมากมายชื่นชมและใฝ่ฝันจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเธอ เธอยังมีความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่ สัตว์อสูรพูดและทําให้มันเชื่องได้ นี่ก็เป็นความสามารถที่น่ากลัวของเธอเช่นกัน

 

กิจวัตรประจําวันของหลวนหลวนคือการฝึกฝน แต่เธอก็จะช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ๆ และเข้าจัดการธุรกิจการค้า ทําให้ทั่วบริเวณตระกูลชิงต่างรู้จักเธอดี แต่กลับมีคนเพียงแค่หยิบมือที่รู้ความสามารถที่แท้จริงของเธอ

 

การประลองจะถูกจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นของวันถัดไป และจะต่อสู้กันทั้งหมด 4 ชั่วโมงใครที่ยืนอยู่บนสังเวียนคนสุดท้ายคือผู้ชนะ กฏนี้ดูเหมือนจะทําให้ตระกูลชิงเสียเปรียบ เพราะเด็กรุ่นเยาว์ในตระกูลชิงมีน้อยกว่าตระกูลน่าหลาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเด็กๆก็ยังยอมรับการประลอง

 

ชิงอี้เป็นกังวลเรื่องการกลับมาครั้งนี้ของชิงสุ่ย แต่เมื่อรู้ว่าลูกชายของเธอจะอยู่กับเธอเป็นเวลา 1 เดือน ความเศร้าที่เธอเคยมีก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุข ชิงสุ่ยสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมให้ได้มากกว่านี้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยพูด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงกลับมาบ้าน

 

ตระกูลชิงจัดงานเลี้ยงสังสรรค์และพูดคุยในเรื่องต่างๆมากมาย

 

ชิงสุ่ยจ้องมองจรู้ชิงที่กําลังจับมือชิงหลงลูกของเธอ เธอเป็นคนที่มีนิสัยนอบน้อมและสง่างามจึงทําให้ภาพลักษณ์ของเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์มากขึ้น ชิงสุ่ยจึงนึกถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมากับเธอ

 

เมื่อจรู้ชิงรับรู้ได้ว่าชิงสุ่ยกําลังจ้องมองอยู่เธอก็หันมามองชิงสุ่ยด้วยความอบอุ่นในดวงตาเธอพึงพอใจกับจุดที่เธอยืนอยู่ในปัจจุบันมาก

 

ชิงสุ่ยและหญิงสาวคนอื่นๆกลับเข้าสู่ห้องโถงภายในบ้าน อี้หวงหรูต้องไปดูแลลูกชายของเธอเหยียนหลาง เธอจึงขอตัวกลับไปก่อน ส่วนจรู้ชิงก็ขอตัวลาไปพร้อมกันชิงหลง รวมถึงเหวินเหรินอูซวงและติชิงที่กลับไปกับลูกๆ เด็กๆย่อมต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่

 

ชิงสุ่ยจ้องมองสาวงามรอบตัวเขาจากไปและพบว่าภรรยาของเขามีจํานวนมากจริงๆ เขาลูบจมูกอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ชางห่ายหมิงเยวียกําลังมองดูชิงสุ่ย เธอก็หัวเราะออกมา “เจ้าคงกําลังคิดว่า สาวงามรอบตัวเจ้ามีจํานวนมากจริงๆสินะ?”

 

“จะ จะ จํานง จํานวนอะไรกัน” ชิงสุ่ยเป็นเฉไฉแกล้งไม่รู้เรื่อง นี้เป็นคําถามที่เขาไม่ต้องการตอบ

 

“เจ้าคนพาล พวกเราไม่ได้ออกไปไหนเลย ส่วนเจ้าคงจะเป็นชายหนุ่มเจ้าชู้ตลอดเวลาใช่หรือไม่?” ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองชิงสุ่ยด้วยสายตาทรงเสน่ห์

 

ชิงสุ่ยส่ายหน้าปฏิเสธ ” ก็ไม่นะ ทุกครั้งที่ข้ามองหญิงอื่น ความรู้สึกผิดต่อพวกเจ้าก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ”

 

เมื่อหญิงสาวได้ยินสิ่งที่ชิงสุ่ยพูด พวกเธอก็หัวเราะคิกคักโดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่าวหยุนลิ่วลี่ เธอเองก็เป็นแม่คน แต่ยังคงเอกลักษณ์ในตัวของเธอเอาไว้เหมือนเดิม “เจ้าทํางานหนักมาโดยตลอดถ้าหากเจ้ามีหญิงสาวข้างกายแค่คนเดียว หญิงสาวผู้นั้นจะต้องลําบากแน่”

 

“เห้อ บางสิ่งบางอย่างก็เข้ามาในชีวิตของข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้าขอยืนยันได้เลยว่าความรักที่ข้ามีแต่พวกเจ้านั้นเท่าเทียมกันทุกคน แม้ว่าเวลาของข้าจะมีน้อยแต่ข้าก็พร้อมมอบทุกอย่างให้กับพวกเจ้า” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า

 

“พวกเราไม่มีวันโทษเจ้าหรอก เพราะพวกเราตกหลุมรักเจ้าด้วยตัวเอง”

 

ชิงสุ่ยมองดูหญิงสาวทั้งหมดและอยากร่วมห้องกับพวกเธอ แต่หญิงสาวของเขามีจํานวนมากเขาจึงไม่รู้ว่าควรทําอะไรหรือมีใครอยากทําสิ่งที่เขาต้องการหรือไม่

 

และแล้วเหมือนว่าสือฉิงจวงจะเข้าใจความนึกคิดของชิงสุ่ย เธอก็ยิ้มให้กับทุกคนและกล่าวว่า“พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะแล้วเจอกันพรุ่งนี้!”

 

“ข้าเองก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันลาก่อน!!”

 

ชิงสุ่ยอ้าปากค้างขณะมองดูเพื่อเธอออกไปทีละคนจนเหลือเพียงแค่หมิงเยวี่ยเก้อโหลวลึกๆแล้วเธอรู้ดีว่าคนอื่นๆอยากจะพูดเรื่องของชิงหมิง แต่เธอรู้ดีว่าที่ทุกคนพูดนั้นคือคําแก้ตัว

 

ชิงสุ่ยยิ้มขณะจับมือของเธอ ” ต่อให้เจ้าอยากจะออกจากห้องนี้ไปก็สายเกินไปแล้ว”

 

ใบหน้าของหมิงเยวี่ยเก้อโหลวแดงระเรื่อ เธอเองก็เป็นหนึ่งคนที่ยังคงบุคลิกของตัวเองเอาไว้แม้ว่าจะอยู่กับชิงสุ่ยมานาน แต่เธอก็ยังคงขี้อาย เธอแสดงท่าทางประหม่าราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน

 

เธอเองต้องการจะพูดเรื่องของชิงหมิง แต่ก็ถูกหยุดโดยริมฝีปากของชิงสุ่ย ชิงสุ่ยค่อยๆแลกลิ้นอันยืดหยุ่นของเขาเข้าไปในปากของเธอและจูบอย่างดูดดื่ม

 

ร่างกายของเธอเหมือนทุกหยุดชะงัก ในขณะที่ชิงสุ่ยดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดและค่อยๆสัมผัสร่างกายของเธออย่างนิ่มนวล

 

ในไม่ช้า เสื้อผ้าของหมิงเยวี่ยเก้อโหลวก็ถูกถอดออกทั้งหมด ผิวพรรณของเธอยังคงเปรียบเสมือนหยก และมีหน้าอกที่เรียบเนียน การฝึกพลังเต่ช่วยให้เธอรักษาผิวพรรณของเธอให้เป็นดั่งเด็กรุ่นเยาว์เสมอมา จุดปทุมถันบนหน้าอกเด้งรับฝ่ามือซิงสุ่ย ใครจะคาดคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะผ่านการมีลูกมาแล้ว 2 คน

 

ร่างกายเพียวบางเอวคอดน่าหลงใหลดึงดูดสายตาชิงสุ่ยอย่างมาก ชิงสุ่ยไม่อาจล้างอารมณ์ได้อีกต่อไป เขากอดจูบเธออย่างแนบแน่น ก็บรรเลงเพลงรักอันแสนหวาน

 

ในคืนนั้น ชิงสุ่ยปลดปล่อยพลังตลอดทั้งคืน จนไม่ได้หยุดพักแม้แต่นิดเดียว เขาออกจากห้องและเดินตรงมาที่ห้องของสือฉิงจวงในยามรุ่งสาง ซึ่งเป็นเวลาที่เธอตื่นพอดี

 

เธอยังคงสวมชุดนอนที่ถักทอจากผ้าอันบางเบา รอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของเธอ จะสายตาของเธอ เธอบอกได้ทันทีว่าชิงสุ่ยยังไม่ได้พักมาทั้งคืน “เจ้าเหนื่อยหรือไม่? เหตุใดจึงไม่ไปพักผ่อน”

 

รอยยิ้มของสือฉิงจวงทําให้จิตใจของชิงสุ่ยสงบเสงี่ยม เวลาตลอดทั้งคืนทําให้ชิงสุ่ยเหนื่อย แต่ต้องขอบคุณร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาจึงสามารถใช้เวลาทั้งหมดได้อย่างคุ้มค่าและไปถึงห้องของสือฉิงจวงยามที่เธอตื่นพอดี

 

ชิงสุ่ยเดินตรงเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตู และขยับตัวเข้าสู่ภายใต้ผ้าห่มของสือฉิงจวงเขาค่อยๆสุดกลิ่นหอม และสวมกอดเธออย่างช้าๆ