บทที่ 1613 - กรรมการตัดสินหยุน ยี่เจี้ยน

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1613 – กรรมการตัดสินหยุน ยี่เจี้ยน

 

อุณหภูมิในร่างกายของสือฉิงจวงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และค่อยๆขยับเข้าไปกอดชิงสุ่ย

 

เธอคือผู้หญิงคนแรกของชิงสุ่ยตั้งแต่ที่เขากลับมาจุติในโลกใหม่ใบนี้ ดังนั้นไม่ว่าชีวิตของเขาจะเรียกง่ายหรือยากลําบากเพียงใด ความรู้สึกที่เขามีแต่เธอก็ยังคงลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนล้วนตราตรึงใจทั้งคู่ เมื่อคิดย้อนเวลากลับไปมันเหมือนกับว่าทุกสิ่งต้องเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

 

ชิงสุ่ยประกบริมฝีปากเท่ากับริมฝีปากที่เย็นชาของเธอ ในขณะที่มือของเขาก็คืบคลานเข้าสู่ภายใต้ชั้นเสื้อผ้าชุดนอนบางๆ จากนั้นก็เริ่มนวดคลึงหน้าอกหน้าใจของเธอ มันเป็นความอบอุ่นและความสุขพร้อมกัน

 

ไม่นานนักเสียงร้องแห่งความใคร่อันทรงเสน่ห์ก็ดังขึ้นและยังคงดังซ้ําแล้วซ้ําเล่าจนกระทั่งท้องฟ้าข้างนอกสดใส บันดาลหญิงสาวที่เหลือของชิงสุ่ยต่างรู้ว่าภายในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่มีใครเข้าไปรบกวน

 

ชิงสุ่ยและสือฉิงจวงออกมาจากห้องค่อนข้างเร็ว คนของตระกูลชิงไม่ค่อยได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะร่วมกันรับประทานอาหารมื้อค่ําเสมอเฉกเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับห้องตัวเอง

 

นึกๆแล้วหญิงสาวเรานั้นล้วนแล้วแต่เข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน และหลังจากคืนนั้นผ่านไปจนกระทั่งช่วงเช้า ทันทีที่พบนางได้เจอหน้าสือฉิงจวง ใบหน้าของเธอดูสว่างไสวและสดใสมากขึ้น แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ทุกคนก็ไม่มีใครพูดถึงมัน สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของพวกเธอคือความรักสามีและเข้าใจความต้องการของสามีดี พวกนั้นรู้ดีว่าหญิงสาวแค่คนเดียวคงไม่ทําให้สามีของพวกนางพึงพอใจได้

 

ชิงสุ่ยเองก็มองดูบรรดาภรรยาของเขาพร้อมรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ ชิงสุ่ยภูมิใจอย่างมาก มันไม่ใช่ความภูมิใจในความแข็งแกร่งหรือรูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่เป็นบรรดาหญิงสาวและลูกๆที่เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์

 

ในช่วงเช้า ชิงสุ่ยเดินเข้าไปในสนามฝึกซ้อมหลังบ้านและพบว่าบรรดาลูกๆมารวมตัวกันตอนนี้เด็กๆต่างเตรียมตัวเข้าต่อสู้กันเอง หลวนหลวน ชิงฉางเฟิง ชิงชุน ชิงหยิง ชิงหมินกําลังนั่งรวมตัวกัน ทุกคนคือผู้เข้าร่วมในการคัดเลือกเข้าการต่อสู้ครั้งนี้ สําหรับชิงเหยียน เธอมีกําลังมากพอแต่ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะเข้าต่อสู้

 

“ท่านพ่อ!!” หลวนหลวนเปล่งเสียงตะโกนร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็น

 

“ท่านพ่อ!!”

 

“ท่านพ่อ!!”

 

เด็กคนอื่นกล่าวทักทายเรียกพ่อของเขาด้วยความสุข ชิงสุ่ยโอบไหล่สาวน้อยและอุ้มเธอขึ้นมาก่อนจะเอาจมูกชนจมูก และกล่าวอย่างอ่อนโยน “วันนี้พ่อจะช่วยพวกเจ้าปรับปรุงฐานพลังของพวกเจ้าให้ดีกว่าเดิม”

 

หลวนหลวนมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว และยังมีโชคที่ทําให้ร่างกายของเธอนะไม่เหมือนใครชิงสุ่ยจําได้ว่าเคยสอนเธอเรื่องทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ แต่เขาไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเธอได้เรียนรู้อะไรจากมันเพิ่มเติมหรือไม่?

 

ในอดีต ชิงสุ่ยเคยเพิ่มพูนฐานพลังร่างกายให้กับพวกเด็กๆ และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกครั้งในการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงฐานพลัง สําหรับพลังที่จะเพิ่มขึ้นล้วนขึ้นอยู่กับตัวของตนเองแม้ว่าระดับพลังบ่มเพาะอาจจะขึ้นเพิ่มพูนเพียงเล็กน้อยแต่ฐานพลังที่ถูกปรับแต่งก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนแผ่นดินที่มีศาลาถูกสร้างขึ้นตรงๆ ไม่ว่าศาลานั้นจะมีกี่ชั้นถ้าหากฐานแผ่นดินมีความคงทน ศาลาเหล่านั้นก็จะมั่นคงและไม่มีวันพังทลายเช่นเดียวกับพลังปราณบ่มเพาะของแต่ละบุคคล

 

ชิงสุ่ยช่วยเด็กๆปรับฐานพลังโดยที่ชิงหมินเป็นคนสุดท้าย นอกจากนี้เขายังได้ตัดแต่งพลังปราณจักรพรรดิทมิฬในตัวลูกชายของเขาเพื่อให้มันเสถียรมากขึ้น

 

ชิงสุ่ยคิดกับตัวเองว่าในอนาคตถ้าหากเขากับลูกชายผสานพลังกัน พวกเขาจะกลายเป็นคู่หูที่น่ากลัวและสร้างความหวาดหวั่นให้กับศัตรูทุกคน ตัวของชิงสุ่ยลดพลังของศัตรู 20% ในขณะที่ลูกชายของเขาเพิ่มพูนพลังให้พันธมิตร 20% นี่ยังไม่รวมพลังค่ายกลรูปแบบ และสัตว์ อสูรที่ชิงสุ่ยมี

 

ชิงซุนและชิงหยินพลังเพิ่มขึ้น 2 เท่าส่วนชิงหมินเพิ่มขึ้น 3 เท่า นอกจากนี้เขายังมีพลังปราณจักรพรรดิทมิฬที่น่ากลัวมากขึ้น จึงทําให้แซงหน้าคนส่วนใหญ่ นอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้ทักษะย่างก้าว 9 เทวา กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตที่เหมาะต่อการลอบเร้นสังหาร

 

เส้นทางที่ชิงหมินเลือกคือเส้นทางที่ต้องมีความแม่นยําสูง ตัวของเด็กคนนี้ได้ฝึกฝนทักษะเพลงกระบี่จนถึงระดับทรงพลัง ในแง่ของทักษะวิชาที่เด็กๆได้เรียนรู้พื้นฐาน ชิงสุ่ยจะใช้แนวโน้มของมันในการรับรู้ว่าควรปรับแต่งพลังเล็กๆไปในทางใด และเมื่อผ่านการปรับแต่งทักษะที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความมหัศจรรย์ได้

 

ชิงสุ่ยเป็นตัวอย่างที่ดีของครูที่สอนศิษย์ เขาแสดงทักษะทุกอย่างให้ดูเพื่อให้เด็กใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาต้องการถ่ายทอด

 

ชิงฉางเพิ่งมีระดับพลังที่ค่อนข้างดีเช่นกัน เขาเป็นคนเรียบง่ายและซื่อตรง มีพื้นฐานที่ดีและมีความอดทนดังนั้นเขาจึงเหมาะสมต่อการต่อสู้ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ชิงสุ่ยได้เลือกสอนที่อาศัยการเคลื่อนไหวของหมีไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือมี ที่เป็นไปด้วยความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น และได้สอนทักษะย่างก้าว 9 เทวาเพื่อเสริมการเคลื่อนไหวและเข้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย

 

ครึ่งวันผ่านไปชิงสุ่ยยังคงสอนเด็กๆซ้ําแล้วซ้ําเล่าจนเด็กทุกคนมีพลังเพิ่มพูนขึ้น 2-3 เท่า ที่เขาทําไม่ใช่เพื่อเตรียมพร้อมเข้าประลองกับตระกูลน่าหลาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการที่เขาเตรียมพร้อมเอาไว้นานแล้ว และมันก็ทําให้เขามีความสุขอย่างมากที่ได้ดูแลลูกๆในฐานะพ่อ

 

เนื่องจากเด็กๆพึ่งปรับแต่งสภาพฐานพลังใหม่ พวกเขาจึงต้องใช้เวลาในการปรับความเสถียรเรื่องตัวเอง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเดินออกจากสนามหลังบ้าน และเริ่มคิดเรื่องพระราชวังจอมอสูรซึ่งเป็นสถานที่นัดพบของทั้ง 3 มหาทวีป

 

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าถานท้าย หลิงเยียนอยู่ที่พระราชวังจอมอสูรอีกหรือไม่? แต่ตอนนี้เขายังไม่อาจไปที่นั่นได้ และควรรอจนครบ 1 เดือนแล้วจึงค่อยไปหา

 

ชิงสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระราชวังจอมอสูร รวมทั้งจักรวรรดิเหยียน สถานที่ที่พ่อของเขาอาศัย และยังมีพันธมิตรมากมาย แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ตระกูลนาหลานย่อมต้องรู้ดี แต่เมื่อสามารถลมกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําได้ ไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะไม่หวาดกลัวจักรวรรดิเหยียน แต่จะมุมมองของชิงสุ่ย กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรําเปราะบางอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนหน้า

 

แต่มันก็ไม่ได้ทําให้ชิงสุ่ยกังวล เขาไม่หวาดกลัวสิ่งใดที่อยู่ภายใต้ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋า

 

ในไม่ช้า วันประลองก็มาถึง คราวนี้จะมีเพียงแค่รุ่นเดียวของทั้งสองตระกูลเท่านั้นที่จะเข้าน้ํานั่นกัน ข่าวคราวแรกสะพัดไปอย่างรวดเร็วจนทุกคนรู้เรื่องนี้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนฝ่ายที่เป็นคนแพร่ข่าวจะมาจากฝั่งตระกูลน่าหลานเพียงอย่างเดียวเพราะตระกูลชิงไม่ได้กระจายข่าวใดๆทั้งสิ้นนี่ เป็นข้อบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าตระกูลน่าหลานมั่นใจในตัวรุ่นเยาว์ของพวกเขามาก

 

ชิงสุ่ยเองก็มั่นใจในตัวลูกๆของเขาเช่นเดียวกับบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลชิง

 

โดยพื้นฐานแล้วทุกคนจากตระกูลชิงจะเข้าเฝ้ามองดูการต่อสู้ ลานประลองแห่งนี้เป็นลานประลองถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารมาก แต่ตอนนี้มันอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายและมีพื้นที่ถูกกันไว้เพื่อให้คนตระกูลชั้นสูงรวมถึงตระกูลชิงและตระกูลนาหลานได้เข้ามารับชม โดยที่ทั้งสองตระกูลที่เข้าแข่งขันจะมีศาลาอาคารที่พักไว้นั่งดูอย่างสะดวกสบายที่สุด

 

“ตระกูลชิงมาแล้วววว!!”

 

คนจากตระกูลชิงทยอยเดินเข้ามาอย่างไม่ขาดสายทุกคนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีและโดดเด่น เด็กๆแต่ละคนทั้งหล่อและสวยเหนือกว่าตระกูลอื่นมากมายและการมาถึงของพวกเขาได้ดึงดูดสายตาของคนหมู่มาก และที่สําคัญ ตระกูลชิงเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อหอคอยจักรพรรดิ

 

ดังนั้นผู้คนมากมายจึงถูกรักษาอาการบาดเจ็บโดยตระกูลชิงคนส่วนมากหวังว่าเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงจะสามารถเอาชนะคนตะกูลน่าหลาน

 

และผู้ตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้เป็นคนที่ทุกคนประหลาดใจอย่างมากซึ่งก็คือหยุน ยี่เจี้ยน

 

ชิงสุ่ยจ้องมองด้วยความตกตะลึงเมื่อเขาเห็นหยุน ยี่เจี้ยน ดูเหมือนตระกูลน่าหลานจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหยุนหยาง

 

หยุน ยี่เจี้ยนจ้องมองชิงสุ่ยก่อนจะเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆวันนี้ข้าจําเป็นที่ต้องมาเป็นผู้ตัดสินและเป็นคนประกาศกฎการแข่งขัน”