บทที่ 351.1 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 351.1 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน ProjectZyphon

บนเส้นทางของชีวิตคน มักจะต้องเจอฝนกระหน่ำลมพัดแรงอยู่หลายครั้ง นี่เป็นการที่สวรรค์กำลังบอกเตือนคนบนโลกว่า พวกเจ้าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นก็จงก้มหน้ายอมรับไปเสียแต่โดยดี

เหมือนอย่างตอนที่เฉินผิงอันพบเจอกับไช่จินเจี่ยนหน้าประตูบ้านตัวเองในตรอกหนีผิง เจอกับเจ้าของเดิมของชุดคลุมอาคมจินหลี่ในร่องเจียวหลง จับผลัดจับผลูเข้าไปในจุดลึกของดอกบัวแล้วจึงเจอกับการล้อมสังหารที่ปรมาจารย์หลายท่านร่วมมือกัน

แค่ต้องดูว่าจะอดทนผ่านมันไปได้หรือไม่

หากผ่านไปได้ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส หากผ่านไปไม่ได้ อย่างมากสุดก็เหมือนพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่ตะโกนโหวกเหวกว่าอีกสิบแปดปีให้หลังก็ยังเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อยู่ดี

อาจารย์เป็นผู้นำพาเข้าสำนัก การฝึกบำเพ็ญตนอยู่ที่ตัวคน

วันนี้จงขุยก็เป็นเช่นนี้

ก่อนหน้าจะถึงวันนี้ การฝึกตนของจงขุยแห่งสำนักศึกษาต้าฝูดีเกินไปและเร็วเกินไป ทำให้คนตกตะลึงและอิจฉามากเกินไป บนมหามรรคาเขาพุ่งนำไปข้างหน้าจนคนด้านหลังมองไม่เห็นฝุ่น ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนที่อยู่ในใบถงทวีปต่างก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา

ทว่าวันนี้วานรขาวปรากฏกายบนโลก

ศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินเป็นตาย

เมื่อเทียบกับอาจารย์ของจงขุย เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูที่ไปขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใกล้กับสำนักฝูจีลงมหาสมุทรแล้ว อันที่จริงจงขุยกลับอันตรายกว่ามาก

นี่นับว่าผิดต่อความตั้งใจเดิมของเจ้าขุนเขา

สภาพการณ์ของจงขุยในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าต้องตายสถานเดียว

วานรขาวมองบัณฑิตหนุ่มที่ถูกมองว่ามีหวังจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในอนาคตด้วยสายตาเฉยชา

จงขุยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

ต่อให้จะยังไม่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน ทั้งยังไม่ใช่เผ่าปีศาจที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่ง

แต่วานรขาวที่สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังตนนี้ก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง

หากจะบอกว่าผู้ฝึกลมปราณคือโจรที่ละเมิดวิถีสวรรค์ กล้าที่จะท้าทายโชคชะตาความเป็นความตายที่วัฏจักรแห่งวิถีสวรรค์กำหนดไว้มากที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่ไม่มีเหตุผลมากที่สุด

วิญญูชนนั้นไซร้ หากมิเกิดเหตุใดย่อมมิไร้หยกพกติดกาย

กระบี่แรกที่วานรขาวชักออกจากฝักก็คือทำลายหยกประดับคุ้มกันกายที่วิญญูชนทุกคนจะได้รับมอบมาจากสำนักต้าฝูให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง

ระหว่างหนึ่งวิญญูชนกับหนึ่งปีศาจใหญ่คือเศษซากหยกประดับที่ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งบทประพันธ์ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ตัวอักษรสีทองหลายร้อยตัวพากันสลายหายไปจากโลกมนุษย์คล้ายฝนเม็ดเล็กสีทองที่ตกลงมาครู่สั้นๆ

จงขุยพลันถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้งจนไปอยู่ริมขอบด้านนอกอีกฝั่งหนึ่งของบ่ออเวจี ชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่ง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น ในชายแขนเสื้อสีเขียวเล็กๆ สองข้างเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจหนาข้นยิ่งใหญ่ดุจทหารที่จัดเรียงขบวนทัพอยู่บนสนามรบในฤดูใบไม้ร่วง

บ่ออเวจีแห่งนี้ของภูเขาไท่ผิงคือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายบ่อน้ำขนาดใหญ่มโหฬารแห่งหนึ่ง ผนังบ่อเจาะเป็นขั้นบันไดที่ทอดยาวหมุนวนลงไปด้านล่าง ภายในเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมประหนึ่งถ้ำไร้ก้นแห่งหนึ่งที่มุ่งหน้าลงไปสู่โลกแห่งความมืดมิด

ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างแค่ขยับเข้าใกล้บ่ออเวจีก็จะถูกปราณชั่วร้ายที่สั่งสมมานานหลายปีของบ่อปั่นป่วนลมปราณให้วุ่นวาย รุกรานเข้าไปในร่างกาย

นักพรตที่ได้เข้ามาอยู่ในภูเขาไท่ผิงอย่างเป็นทางการจะต้องผ่านการฝึกบำเพ็ญตนที่ยากลำบากอย่างหนึ่ง นั่นคือต้องนั่งเข้าฌานลืมตนอยู่ใกล้กับบ่อโบราณเพื่อหล่อหลอมเรือนกายและจิตใจ นั่นเป็นความลำบากยากเข็ญที่แทบเอ่ยเป็นคำพูดไม่ได้

การที่นักพรตหญิงหวงถิงถูกมองเป็นหยกงามแห่งการฝึกตนที่มีพรสวรรค์น่าครั่นคร้ามก็เพราะว่าครั้งแรกที่นางเข้าใกล้บ่ออเวจีพร้อมกับศิษย์พี่ชายหญิงในปีนั้น ในขณะที่ทุกคนพยายามประคับประคองตัวไม่ให้ปราณชั่วร้ายไหลบ่าเข้าไปในช่องโพรงลมปราณอย่างยากลำบาก นางกลับไม่รู้สึกอะไรที่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแอบเดินไปยังทางเข้าริมขอบบ่ออเวจีด้วย หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นนักพรตเฒ่าของภูเขาไท่ผิงที่รับผิดชอบคอยจับตามองการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังรีบตามไปดึงคอเสื้อของเด็กหญิงขึ้นมา ไม่แน่ว่าตอนที่หวงถิงอายุเก้าขวบก็น่าจะได้เข้าไปในบ่ออเวจีแล้ว

หลังจากนั้นมาหวงถิงก็คอยประชันปัญญาประชันความกล้าหาญอยู่กับผู้อาวุโสของภูเขาไท่ผิง ในที่สุดตอนที่อายุสิบเอ็ดปีก็สามารถเข้าไปในบ่ออเวจีได้สำเร็จ ผลคือเกือบจะต้องไปตายอยู่ในจุดลึกของบ่อ ลงไปไม่ได้ ออกมาก็ไม่ได้ หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

สุดท้ายเป็นวานรขาวชุดดำตนหนึ่งที่โยนนางออกมานอกบ่ออเวจี

วานรเฒ่าเดินไปข้างหน้าช้าๆ ย่างก้าวผ่อนคลาย มาหยุดอยู่ริมขอบของปากบ่อที่กั้นขวางเขากับจงขุย

กระบี่โบราณที่ออกจากฝักเล่มนั้นปราณกระบี่หนักอึ้งเกินไปจึงมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของตัวกระบี่แล้ว หลังจากหนึ่งกระบี่ทำลายหยกประดับที่ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นยอดไปแล้ว กระบี่บินเล่มนั้นก็ไม่ได้อยู่บนภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ แต่ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าห่างออกไปมีรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานดุจสายฟ้า ราวกับงูขาวตัวเล็กบางที่เลื้อยอยู่บนผ้าสีดำขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีควรถูกชักนำจึงหยุดการโคจรในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังเกิดความวุ่นวายโกลาหลที่ผิดปกติด้วย

จงขุยไม่สามารถบังคับค่ายกลใหญ่ให้กำราบปีศาจตนนี้ได้

บรรพจารย์กำลังเดินทางไปรับหวงถิงมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าประมุขไปสกัดขวางปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองที่สำนักฝูจี เซียนดินก่อกำเนิดที่เป็นผู้จัดการดูแลภูเขาไท่ผิง ก่อนจะลงจากภูเขาได้บอกวิธีควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาให้กับจงขุยที่เป็นคนนอกอย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะวิญญูชนสำนักศึกษาต้าฝูของเขา เพียงแค่เชื่อมั่นในตัวจงขุยเท่านั้น อันที่จริงการกระทำเช่นนี้ย่อมต้องตกเป็นผู้สงสัยว่ากระทำเกินขอบเขตอำนาจ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าจะเปิดเผยความลับวงในของภูเขาไท่ผิง ทว่าคนทั่วทั้งบนและล่างภูเขาไท่ผิงกลับไม่มีใครมีความเห็นต่าง

เคยมีอริยะกล่าวไว้ว่านักพรตของภูเขาไท่ผิงต่างก็มีมาดแห่งจอมยุทธ์ในสมัยโบราณ

ซึ่งพวกเขาก็คู่ควรกับคำสรรเสริญนี้จริงๆ

เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งศอก อธรรมสูงหนึ่งจั้ง ไม่เสียแรงที่วานรขาวเป็นข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ภูเขาไท่ผิงมาสามพันปี ถึงกับทำให้ค่ายกลใหญ่หยุดชะงักได้

จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด ในใจท่องบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่ง

ลมฤดูใบไม้ร่วงในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขา เมื่อเทียบกับลมเปิดหน้าหนังสือที่ผู้คนได้แต่ปรารถนา ทว่าไม่อาจได้มาครอบครองแล้วยังมีระดับสูงยิ่งกว่า

ตอนนั้นจงขุยยังอายุไม่ถึงยี่สิบก็ได้เลื่อนขั้นเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษา เนื่องจากใช้ชีวิตหลงระเริงอยู่ตลอดทั้งปี เขาที่อยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูจึงมี ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ อย่างยิ่ง อาจารย์หลายคนที่มีนิสัยคร่ำครึตายตัวต่างก็ไม่ชอบเขา หากไม่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาให้การปกป้องเขาอย่างที่แทบจะเรียกได้ว่าลำเอียง ยศนักปราชญ์คงถูกถอดถอนไปนานแล้ว การได้เป็นนักปราชญ์และวิญญูชนของสำนักศึกษาไม่ใช่เรื่องที่ลำบากครั้งเดียวแล้วจะสบายไปตลอดชาติ ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องมีการทดสอบครั้งใหญ่ ตอนนั้นจงขุยดื่มเหล้าจนเมามาย นอนหลับไปสามวันสามคืน ทำให้เขาขาดสอบไปโดยตรง เหล่าอาจารย์อายุมากของสำนักศึกษา บ้างก็ทนรับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของจงขุยไม่ไหว บ้างก็โกรธเคืองที่เขาย่ำยีพรสวรรค์ของตัวเองให้เสียเปล่า บ้างก็คิดว่าในเมื่อสวรรค์ประทานภารกิจยิ่งใหญ่มาให้ก็ย่อมต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ดังนั้นนักปราชญ์และวิญญูชนทุกคนจึงพร้อมใจกันลงชื่อเสนอให้เจ้าขุนเขาถอดถอนสถานะนักปราชญ์ของจงขุยออก

ผลกลับกลายเป็นว่าวันนั้นคือฤดูหนาวที่หิมะตกหนักพอดี จงขุยเดินเท้าเปล่าอยู่ท่ามกลางหิมะ ปากก็ท่องบทความจริยธรรมของอริยะบางท่านบทหนึ่ง อีกทั้งยังทำท่าแหงนหน้าถามสวรรค์ แสดงข้อสงสัยที่มีต่อบทความของอริยะท่านนั้นอย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายจงขุยก็ถามเองตอบเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย

ตอนที่จงขุยหยุดเดิน ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับมีลมฤดูใบไม้ร่วงระลอกหนึ่งพัดพาเอาคำชมว่า ‘ประเสริฐ’ จากปากของอริยะท่านนั้นมาให้ดังก้องไปทั้งสำนักศึกษาต้าฝู

ลมฤดูใบไม้ร่วงผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ

วันนั้นจงขุยก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนโดยที่ไม่มีใครกล้ากังขาในตัวเขาอีก

เล่าลือกันว่ายามที่อริยะสร้างตัวอักษร ทั้งผีและเทพต่างก็ร่ำไห้

ตัวอักษรมีพลังในตัวมันเองอย่างแท้จริง อย่างน้อยสำหรับลูกศิษย์สำนักศึกษาแล้วก็เป็นเช่นนี้

การแสดงออกในระดับขั้นที่สูงที่สุดก็คือตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตที่ ‘สุภาพงดงามอันเป็นต้นตำรับแท้จริง’ ซึ่งอริยะในศาลบุ๋นได้ครอบครอง อริยะใหญ่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกเคารพบูชาอยู่บนแท่นสูงมายาวนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน ได้รับการกราบไหว้จากคนในโลกมนุษย์ สายบุ๋นสืบทอดไม่ขาดหาย ควันธูปดำรงอยู่ตลอดกาล

ทว่าต่อให้เป็นอริยะของศาลบุ๋น ‘ดั้งเดิม’ แห่งนั้น ไม่พูดถึงปรมาจารย์อริยะปราชญ์ที่ถูกวางไว้ตรงกลางและห้าท่านที่ถูกวางขนาบซ้ายขวา แน่นอนว่าตอนนี้เหลือแค่สี่ท่านแล้ว อริยะคนอื่นๆ ก็ได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตแค่คนละตัวเท่านั้น

ใต้หล้านี้มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น

ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา

ชุน จิ้ง ล้วนเป็นตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของบัณฑิตท่านนี้ อีกทั้งสองตัวอักษรนี้ยังยิ่งใหญ่อย่างมาก

รองลงมาถึงเป็นคำว่าปากอมกฎแห่งสวรรค์ (เปรียบเปรยว่าพูดจาเป็นหลักเกณฑ์เป็นกฎหมาย สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้) ของพวกวิญญูชนหรือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ปราณเที่ยงธรรมซื่อตรงที่มีอยู่เต็มท้องพวกเขาจะชักนำการขานรับจากฟ้าดิน

หลังจากนั้นก็เป็นบทกวีที่ท่องออกจากปากของพวกนักปราชญ์ซึ่งสามารถชักนำพายุลมกรด ทำให้คนเหลือเพียงโครงกระดูกที่ตั้งอยู่ ทำให้จิตวิญญาณของพวกภูตผีแหลกสลาย

วานรขาวที่สะพายกระบี่แค่เล่มเดียวไว้ด้านหลังยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ่อซึ่งห่างไปไกล ไม่ได้เอ่ยคำใด มันเพียงแต่ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว

น่าจะกำลังบอกว่า สังหารเจ้าจงขุย ใช้แค่สามกระบี่ก็พอ?

จงขุยไม่พูดไม่จา ไม่ลับฝีปากโต้แย้งใดๆ

หยกประดับที่เป็นตัวแทนของสถานะวิญญูชนชิ้นนั้นได้แจ้งสถานการณ์ของที่แห่งนี้กลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว

บริเวณสี่ด้านแปดทิศรอบกายจงขุยคล้ายมีม่านน้ำตกสีขาวหิมะหลายสายปรากฎขึ้น กระแสน้ำสีขาวเหล่านั้นเกิดจากการรวมตัวกันของตัวอักษรขนาดเท่าหัวแมลงวันจำนวนมากที่ส่องประกายแสงเจิดจ้า

ราวกับว่าข้างบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงมีหน้าหนังสือขนาดใหญ่มหึมาในตำราอริยะปราชญ์ตั้งวางอยู่หลายหน้า

เป็นเหตุให้ปราณดุร้ายที่แผ่ออกมาจากบ่ออเวจีถูกบังคับข่มทับลงไปเบื้องล่าง สยบภูตผีปีศาจที่อยู่ในนั้นเอาไว้ แต่ละตัวจึงออกฤทธิ์ออกเดชคำรามเสียงแหบแห้ง

เสียงโซ่เหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้บ่ออเวจีสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิดแตก

วานรขาวกวาดตามองไปรอบด้าน อันที่จริงภูเขาไท่ผิงมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง แบ่งออกเป็นในและนอก มืดและสว่าง หากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่คนทั่วทั้งใบถงทวีปต่างก็รู้จักนั้นถูกเปิดใช้ขึ้นมา จะมีกระจกบานหนึ่งเป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นบนนภา สาดสะท้อนแสงสว่างไปทั่วภูเขาไท่ผิง ทำให้เหล่าภูตผีปีศาจไม่มีที่ให้หลบเร้นกาย เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้น ไม่เพียงแต่ตบะและขอบเขตเท่านั้นที่จะถูกกดเอาไว้ ยิ่งเป็นปีศาจและภูตผีก็จะยิ่งพ่ายแพ้ไปในทันที พวกที่มีตบะตื้นเขินอย่างเช่นตบะที่ต่ำกว่าเซียนดิน แค่ถูกกระจกส่องมาร่างก็จะแหลกสลายไปในชั่วพริบตา

ทว่าสิ่งที่วานรขาวยำเกรงอย่างแท้จริงไม่ใช่ค่ายกลที่ถูกเล่นตุกติกไปแล้วค่ายกลนี้ แต่เป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของภูเขาไท่ผิงต่างหาก

ประโยชน์ที่แท้จริงของกระจกจันทร์กระจ่างที่สามารถสยบผู้คนครึ่งทวีปนั้น คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่มีทางคิดออก เพราะการดำรงอยู่ของมันมีไว้เพียงแค่สะดวกให้ภูเขาไท่ผิงหาตัวศัตรูออกมา แค่นี้เท่านั้น!

—–