บทที่ 351.2 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน ProjectZyphon
สำหรับใบถงทวีปแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นสำนักใหญ่อันดับที่สามตามหลังสำนักใบถงและสำนักกุยหยกนั้น
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปต่างก็พูดกันว่าสำนักฝูจีที่ทั้งเจ้าสำนักและคู่บำเพ็ญเพียรของเขาต่างก็เป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าคนนอกจะประจบยกยอ หรือให้การยอมรับจากใจจริงแค่ไหน สำนักฝูจีก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือสำนักอันดับที่สามของใบถงทวีป สำหรับข้อถกเถียงนี้ เจ้าสำนักของสำนักฝูจีเคยพูดจาบ่ายเบี่ยงข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าหากสำนักฝูจีย้ายไปอยู่แจกันสมบัติทวีปอันเป็นทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือแห่งนั้น ต่อให้พยายามจะช่วงชิงเป็นอันดับหนึ่ง จะมีอะไรยาก?
สายรุ้งสีขาวที่ว่ายวนไม่หยุดนิ่งอยู่นอกภูเขาไท่ผิงเส้นนั้นแหวกผ่าชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาชั้นหนึ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาอีกครั้ง ร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงปักเข้าใส่ศีรษะของจงขุย
หน้าหนังสือแต่ละแผ่นที่เป็นดั่งม่านน้ำตกไหลย้อนทวนขึ้นไปด้านบนในแนวเฉียง ก่อตัวเป็นค่ายกลหิมะครึ่งวงกลมอยู่รอบกายและเหนือศีรษะของจงขุย
หลังจากปลายกระบี่ของกระบี่ยาวชนเข้ากับม่านน้ำตก ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็แตกออก
ความเร็วในการลดลงสู่เบื้องล่างของกระบี่ยาวถูกขัดขวางให้ชะลอช้าลงไปหลายส่วน ทว่าปราณเที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำตกกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ต่อให้จะเป็นแค่สะเก็ดไฟที่สาดกระเซ็นออกไปก็ทำให้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ศาลาชมทัศนียภาพและถ้ำสถิตอันเป็นที่ฝึกตนของเซียนซือซึ่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงถูกทำลายจนมีแต่หลุมบ่อเต็มไปหมด สัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนแตกฮือเผ่นหนีไปคนละทิศคนละทาง
จงขุยไม่สนใจกระบี่โบราณที่ไม่ช้าก็เร็วต้องแหวกกระแสน้ำตกพุ่งมาถึงตัวเล่มนั้น แต่กลับจ้องไปยังปีศาจใหญ่ที่ยืนนิ่งไม่ขยับตนนั้นเขม็ง
สีหน้าของวานรขาวเป็นปกติ มุมปากยกยิ้มมีเลศนัย เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งตารอ อยากจะเห็นว่าวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่เขาต้องฆ่าสถานเดียวผู้นี้จะยังมีความสามารถอะไรเก็บไว้ก้นกรุอีก
กระบี่ที่อยู่เหนือศีรษะของจงขุยนั้นเป็นแค่กระบี่ที่สองของมันเท่านั้น
เดิมทีหากพวกเผ่าปีศาจคิดจะฝึกตนก็เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว คิดจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งยากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้นั้นล้วนเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แถบหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสมเกียรติ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เป็นห้าขอบเขตกลาง เมื่ออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แทบจะเท่าเทียมกับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาในใต้หล้าไพศาล ต่อให้ไปแก้แค้นหรือโจมตีผู้อื่นโดยมีเหตุผลที่ถูกต้อง ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางก็ยังสามารถได้รับการละเว้นโทษตายหนึ่งครั้ง แต่คนที่ไม่รักษากฎ สังหารผู้ฝึกกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าสถานะจะสูงส่งมากเท่าไหร่ หากถูกจับได้ล้วนต้องถูกลงโทษสถานหนัก
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลอาจจะไม่ค่อยรู้ถึงความน่ากลัวของปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เท่าใดนัก เพราะถึงแม้จำนวนของภูตผีปีศาจจะมีเยอะมาก แต่ปีศาจใหญ่ที่แท้จริงกลับมีน้อยนิด ทว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับรู้ถึงระดับความรับมือยากของปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เป็นอย่างดี เพราะต้องให้ผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์จำนวนเหลือคณานับกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญถึงจะรับรู้พลังการสังหารที่น่าหวาดกลัวและวิธีการอันอำมหิตของพวกมัน
อาเหลียงแข็งแกร่งถึงเพียงไหน เหตุใดคนจำนวนนับไม่ถ้วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ชื่นชมเลื่อมใส ให้การสนับสนุนอาเหลียงมากขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าอาเหลียงขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานนับร้อยปี ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนซึ่งเป็นขอบเขตเท่าเทียมกันล้วนไม่มีศัตรูคนใดทัดทานเขาได้ ไม่เพียงแต่ไม่เคยพ่ายแพ้ กลับยังไล่ล่าอีกฝ่ายไปไกลหลายหมื่นลี้ ถึงขั้นทำสถิติสังหารศัตรูตายคาที่ได้มากที่สุด
ดังนั้นสำหรับเรื่องที่อาเหลียงบินทะยานจากใต้หล้าไพศาลไปยังสถานที่ประหลาดที่มีเทวบุตรมารอาละวาดอย่างโอหังซึ่งเป็นที่อยู่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าพลิกดินสะเทือน ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าถึงแม้อาเหลียงจะพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นความพ่ายแพ้อย่างทรงเกียรติ ทว่าหากหันกลับมามองเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมั่นว่าอาเหลียงที่ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอผู้นั้น จะต้องเล่นงานให้ ‘ผู้ไร้ศัตรูที่แท้จริง’ ผู้นั้นกลายมาเป็นมีศัตรูได้จริงๆ อย่างแน่นอน
เผ่าปีศาจเคารพยำเกรงและเลื่อมใสคนที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะเกลียดแค้นเจ้าอาเหลียงที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ผู้นั้นเข้ากระดูกดำ แต่หลังจากที่ปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดตนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแล้วพ่ายแพ้ ทว่าจุดที่ฝังร่างของเขาในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับใช้กระบี่เป็นป้ายหน้าหลุมศพ
ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสถานที่ป่าเถื่อนที่ใต้หล้าไพศาลมองว่า ‘ไม่มีเสียงท่องตำราแม้แต่ประโยคเดียว’ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้กลับถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
นักพรตร้อยกว่าคนที่อยู่บนภูเขาไท่ผิงไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนเป็นนักพรตที่มีลำดับศักดิ์ต่ำที่สุดในสำนักแทบทั้งสิ้น และส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตเด็กที่สีหน้าซีดขาว ทว่าสายตากลับเด็ดเดี่ยว
จงขุยกลับตวาดพวกเขาเสียงกร้าว “ถอยกลับไป! อย่าพาตัวมาตาย!”
แม้ว่านักพรตเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งในบรรดาคนมากมายพอจะรู้ตัวตนของวานรขาวแล้ว แต่กลับเอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำให้จงขุยหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ “ในการกำจัดปีศาจปราบมาร ไม่มีเหตุผลให้นักพรตของภูเขาไท่ผิงอย่างข้าตายอยู่เบื้องหลังคนอื่น”
วานรขาวไม่แม้แต่จะชายตามองนักพรตโอสถทองคนนั้น กำหมัดง่ายๆ ครั้งเดียว พายุหมัดก็ต่อยให้เรือนกายของเซียนดินโอสถทองในสายตาของคนบนโลกแหลกสลาย โอสถทองปริแตก
ใช้ความดีตอบแทนความดี แม้ตายก็ไม่เสียดาย
นักพรตภูเขาไท่ผิงเป็นเช่นนี้
จงขุยเองก็ไม่ต่างกัน
ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดโบกหนึ่งครั้ง ลมฤดูใบไม้ร่วงสองขุมในชายแขนเสื้อห่อหุ้มนักพรตของภูเขาไท่ผิงเหล่านั้นเอาไว้แล้วโยนออกไปไกล
วานรขาวไม่สนใจเรื่องนี้ ปล่อยให้จงขุยโยนนักพรตเหล่านั้นออกไปนอกสนามรบตามใจชอบ
จงขุยคนเดียวก็ชดเชยกับภูเขาไท่ผิงทั้งแห่งได้แล้ว
ความคิดของวานรขาวฉุกขึ้น
กระบี่โบราณที่ออกจากฝักลดระดับความเร็วลง
นิ้วมือสองข้างของจงขุยคีบแผ่นยันต์กระดาษเขียวแผ่นหนึ่งไว้อย่างเงียบเชียบ
กระดาษต้นฉบับของอริยะ ถูกจงขุยวิญญูชนใช้เหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ วาดยันต์สยบกระบี่ที่จงขุยสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเอง!
วินาทีที่กระบี่ยาวแหวกผ่านม่านน้ำตกเข้ามา เหนือศีรษะของจงขุยก็มียันต์สยบกระบี่แผ่นนั้นลอยขึ้น
กระบี่โบราณเล่มนั้นเหมือนตกเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของเจ๋อเซียนท่านหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่วานรขาวที่หล่อหลอมมันมานานเป็นพันปีก็ยังสัมผัสไม่ถึง
ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาสองแห่งของภูเขาไท่ผิงซาน กระจกจันทร์กระจ่างที่เป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภามีไว้เพื่อใช้ส่องปีศาจตามหาตัวภูตผี ต่อให้เป็นนักพรตขอบเขตหยกดิบก็ยังถูกมันกักขังไว้ด้านในครู่หนึ่ง แต่กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงกลับตามมาติดๆ หลังจากนั้น นั่นก็คือกระบี่เซียนบรรพกาลที่สร้างเลียนแบบกระบี่สี่เล่มซึ่งบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาที่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าของภูเขาไท่ผิงทุ่มทั้งแรงคนและทรัพย์สินสร้างขึ้นมา แม้จะเป็นของเลียนแบบ แต่ทุกเล่มล้วนมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน หลังจากกระบี่ทั้งสี่เล่มก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล พลานุภาพก็จะยิ่งผงาดค้ำฟ้า สามารถเทียบกับอาวุธเซียนที่ใช้ในการพิฆาตสังหารอย่างแท้จริงชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว
แต่กระบี่ที่วานรขาวตัวนี้สะพายอยู่ด้านหลังกลับเป็นหนึ่งในกระบี่สี่เล่มพอดี
ในฐานะข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ขุนเขา เวลาสามพันปีที่ผ่านมา มันไม่เพียงแต่ไล่จับและสังหารพวกปีศาจใหญ่ในบ่ออเวจีที่ ‘หนีไป’ แต่ยังเคยแอบลงจากภูเขาไปสังหารศัตรูนับครั้งไม่ถ้วน คุณความชอบที่มันสร้างไว้มีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด
สุดท้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงในปีนั้นไม่สนใจคำคัดค้านของผู้คนมากมาย ยืนกรานจะมอบกระบี่โบราณเล่มหนึ่งให้กับวานรขาวที่ ‘มีคุณูปการมากมายจนมิอาจโต้แย้งได้’
แม้ว่าวานรขาวจะไม่สามารถควบคุมค่ายกลใหญ่สี่กระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากคิดจะอาศัยช่องโหว่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งกลับง่ายมาก หากเป็นเซียนดินทั่วไปที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนแล้วถูกบีบให้ควบคุมค่ายกลใหญ่อย่างฉุกละหุก วานรขาวยังสามารถบังคับให้กระบี่ทั้งสี่เล่มแว้งกลับมาเล่นงานผู้ควบคุมค่ายกลได้
ไม่มีกระบี่โบราณที่เป็นทั้งกระบี่ประจำกายและวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นแล้ว
วานรขาวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กระตุกมุมปาก ความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยนี้กลับเต็มไปด้วยความอำมหิตป่าเถื่อนและกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งตลบฟ้า
จงขุยเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถือเหล็กหมาดหิมะ เริ่มเขียนตัวอักษรแรกลงไปเหมือนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ผู้เป็น
ตัวอักษรที่สอง อริยะ
ตัวอักษรที่สาม เคย
ตัวอักษรที่สี่ กล่าวไว้ว่า
พู่กันตวัดรัวเร็วยิ่งยวด
ตัวอักษรทุกตัวที่อยู่เบื้องล่างพู่กันเหล็กหมาดหิมะล้วนลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล
บนภูเขาไท่ผิง ลมหอบเอาก้อนเมฆให้กลิ้งซัดหลุนๆ เข้ามา
วานรขาวส่ายหน้าเบาๆ
ร่างของมันพุ่งวูบออกไป
วานรขาวใช้มือสองข้างเป็นท่าถือดาบพุ่งผ่านปากบ่ออเวจีตรงเข้าหาจงขุย
ครั้นจึงฟันดาบออกไปเป็นแนวขวาง
ไม่มอบความหวังใดๆ ให้แก่วิญญูชนหนุ่มผู้นี้อีก
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อจงขุยเขียนบทความนั้นได้สำเร็จแล้ว วานรเฒ่าจะไร้หนทางให้รับมือ
เพราะถึงอย่างไรตอนที่มันออกจากด่านมาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
มันทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงจงใจกดขอบเขตเอาไว้นานถึงห้าร้อยปี
เว้นเสียแต่ว่าจงขุยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดคือมรรคาจารย์เต๋าหรือศาสดาพุทธกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วตรงกลางมีขอบเขตหยกดิบกั้นขวาง อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับร่องลึกปราการธรรมชาติที่อยู่ระหว่างห้าขอบเขตกลางกับห้าขอบเขตบน จงขุยจะรอดชีวิตไปได้อย่างไร?
หากจงขุยสามารถควบคุมค่ายกลปกป้องภูเขาไท่ผิงทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันก็ว่าไปอย่าง
น่าเสียดายก็แต่ค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ เว้นเสียจากว่าเจ้าสำนักและบรรพจารย์ท่านนั้นมาเป็นผู้ควบคุมเอง หาไม่แล้วก็ล้วนถูกวานรขาวมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าหากมันยังอยู่ต่อที่ภูเขาไท่ผิงนานกว่านี้อีกหน่อยย่อมเป็นปัญหายุ่งยากมาก ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง
เมื่อวานรขาวพลิ้วกายลงบนตำแหน่งที่จงขุยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างของจงขุยถูกฟันออกเป็นสองท่อน ข้างศพทั้งสองซีกมีเลือดไหลนองเต็มพื้น
ตัวอักษรสีทองสี่ตัว เหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กหนึ่งด้ามล้วนถูกทำลายจนสิ้น
โอสถทองที่เปี่ยมไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมไม่หลงเหลืออยู่นานแล้ว ร่างทารกก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดก็ยิ่งแหลกสลายหายไป
นี่ก็คือจุดจบที่มาจากการลงมืออย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองคนหนึ่ง
วานรขาวยื่นมือไปคว้า กระชากยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งที่มีรอยปริแตกมาจากความว่างเปล่า สองนิ้วขยี้หนึ่งครึ่งก็ดึงเอากระบี่โบราณที่หลุดพ้นจากกรงขังสอดกลับเข้าฝักด้านหลัง
วานรขาวชำเลืองตามองบัณฑิตชุดเขียวที่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า นี่เป็นประโยคแรกที่มันเอ่ยออกมา ถ้อยคำนั้นเนิบช้ายิ่ง “ก็ถือว่าตายเพื่อความยุติธรรมแล้ว”
มันแหงนหน้าขึ้น กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย ร่างของมันทะยานขึ้นสูงไปถึงยอดของภูเขาไท่ผิง ครั้นจึงหมุนตัวพุ่งทะยานไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว
หลังจากภูเขาสั่นสะเทือนก็เหมือนว่าชั้นใต้ดินของบ่ออเวจีจะไม่เหลือพันธนาการอีก ปราณชั่วร้ายพลันทะยานขึ้นฟ้าแผ่อวลไปทั่วทั้งปากบ่อ
ภูตผีปีศาจที่ถูกสยบอยู่ในบ่ออเวจีมานานปี หลังจากผ่านความตื่นตะลึง เลื่อนลอยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น เหล่าภูตผีปีศาจที่ใจคิดอยากจะให้คนของภูเขาไท่ผิงถูกฆ่าล้างจนสิ้นซากกำลังจะพุ่งออกมาจากบ่ออเวจี ทว่าปราณปีศาจชั่วร้ายที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนี้กลับหยุดชะงักแข็งค้าง เริ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้
ที่แท้
ห่างออกไปไกลทางเหนือของภูเขาไท่ผิงมีจุดแสงจุดหนึ่งปรากฏขึ้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทะเลเมฆปั่นป่วนแหลกกระจุยกระจาย
ภูเขาสั่นสะเทือนอีกครั้ง แล้วผู้เฒ่าสวมชุดเต๋าเรือนกายสูงใหญ่ เส้นผมขาวโพลนเต็มศีรษะก็พลิ้วกายลงมายืนอยู่ข้างศพของจงขุย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและละอายใจ
กายธรรมร่างทองทะยานขึ้นจากพื้นดินจนแทบจะสูงเสียดเมฆทัดเทียมกับระดับความสูงของภูเขาไท่ผิง ชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ด้านบนภูเขาก็มีพระจันทร์กลมโตดุจถาดหยกทรงกลมลอยขึ้นมา ถูกนักพรตผู้เฒ่าที่เรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขาถือไว้ในมือแล้วส่องไปทางทิศใต้
ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ แสงกระบี่สามเส้นพุ่งขึ้นจากสามทิศทางอย่างออกตกและใต้ของภูเขาไท่ผิง สุดท้ายพากันมาลอยขนาบข้างกายธรรมร่างทอง
นักพรตท่านนี้ก็คืออาจารย์อาของเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงคนปัจจุบัน
ปีนั้นศิษย์พี่ดึงดันจะมอบหนึ่งในกระบี่เซียนให้กับวานรขาว เขาก็คือคนที่ต่อต้านมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้สองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทสนมจึงกลายมาเป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน
ซ้ำร้ายยังมีคนนอกคนหนึ่งที่ลำดับศักดิ์เท่าเทียมกับพวกเขาสองศิษย์พี่ศิษย์น้องพูดจาเย้ยหยันเขาให้คนอื่นฟังว่า เขาอิจฉาที่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งได้โชควาสนาไปครอบครอง
ในมือของบรรพจารย์ขอบเขตเซียนเหรินของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ถือกระจกจันทร์กระจ่างที่ส่องแสงโชติช่วงไม่ต่างจากดวงจันทร์บนนภาไล่ตรวจหาไปรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่องไปเห็นวานรขาวที่หลบหนีไปได้ไกลนับพันนับหมื่นลี้ตัวนั้น
เสียงของกายธรรมร่างทองประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิด “เจ้าเดรัจฉานเฒ่าเนรคุณ! ข้าผู้เป็นนักพรตจะต้องสับศพเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
ถ้อยคำเปล่งออกไป คาถาอาคมก็ตามติด
—–