บทที่ 351.3 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 351.3 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน ProjectZyphon

กระบี่เซียนพิทักษ์ภูเขาไท่ผิงทั้งสามเล่มกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าสามเส้นที่ส่องพื้นที่โดยรอบในรัศมีพันลี้ให้สว่างราวกับเวลากลางวัน พวกมันพุ่งผ่านกลางอากาศไล่ตามวานรขาวที่หลังจากกระทำการชั่วร้ายแล้วก็พยายามเผ่นหนีไปทางทิศใต้อย่างสุดชีวิต

วานรขาวสะพายกระบี่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด มันยื่นมือออกมาดึงกระบี่ด้านหลังซึ่งเป็นหนึ่งในกระบี่เซียนสี่เล่มออกจากฝัก บังคับให้พุ่งเข้าชนลำแสงสีเขียวมรกตหนึ่งในสามเส้น

มันแค่ต้องการให้กระบี่สามเล่มของภูเขาไท่ผิงหยุดชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น

บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงยิ่งลงมือโหดเหี้ยมกว่าเดิม เขาถึงขั้นยอมให้กระบี่โบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสองเล่มพินาศวอดวายไปพร้อมกัน กระบี่เล่มหนึ่งระเบิดแสงเจิดจ้าสะท้านฟ้าสะเทือนดินพร่างพราวอยู่กลางอากาศ นักพรตเฒ่ายังคงควบคุมกระบี่บินสองเล่มอย่างไม่ลังเล กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้าจ้วงแทงวานรขาวที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างไรก็หลบเลี่ยงไม่พ้น ทว่าวานรขาวกลับยังคงไม่ปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุศีรษะของมันโดยตรง แต่ใช้แผ่นหลังเข้ารับ ปล่อยให้กระบี่แทงหัวใจทางด้านหลังแทน

นี่บีบให้วานรขาวจำต้องเผยร่างกายธรรมร้อยจั้ง สองเท้ากระทืบลงบนภูเขาและแม่น้ำอย่างหนัก สองมือกำกระบี่โบราณเล่มที่สองเอาไว้แน่น

มือทั้งสองข้างของวานรยักษ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เรือนกายสูงใหญ่มโหฬารถอยกรูดออกไป สุดท้ายก็ไม่อาจจับกุมกระบี่โบราณเล่มนั้นไว้ได้ กระบี่หลุดพ้นจากพันธนาการแทงเข้าผ่านหัวใจแล้วทะลุร่างของมันออกไป

วานรขาวร่างยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสองครั้งไม่อาจรักษาร่างกายธรรมเอาไว้ได้อีก จึงกลับคืนสภาพมามีความสูงเท่าคนธรรมดาอีกครั้ง และบาดแผลนั้นก็ทำลายลึกไปถึงรากฐานมหามรรคาของมัน มันได้แต่พยายามหนีไปทางใต้อย่างสุดชีวิตต่ออีกครั้ง

ก่อนที่ร่างยักษ์ของวานรเฒ่าจะหายไป มันหัวเราะเหี้ยมพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดจะช่วยจงขุยผู้นั้นเลยหรือ?! เจ้ายังมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง สรุปว่าเจ้าจะช่วยคนหรือฆ่าปีศาจกันแน่ ฆ่าปีศาจก็เท่ากับฆ่าคน ฮ่าๆ …”

หลังจากที่ปีศาจใหญ่ตนนี้ห้อตะบึงออกได้หลายร้อยลี้ก็ถูกกระบี่โบราณที่เนื่องจากอยู่ห่างจากภูเขาไท่ผิงไกลเกินไป ในที่สุดก็เผยร่างจริงแทงทะลุเรือนกายอีกสองครั้ง

นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที เดิมทีเขาก็ฝืนบังคับเปลี่ยนชะตาภูเขาและแม่น้ำทำให้ภูเขาไท่ผิงทรุดโทรมลงเร็วอยู่แล้ว แล้วยังฝืนเคลื่อนย้าย ‘กายธรรม’ ของตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงให้บุกรุดไปข้างหน้าหลายร้อยลี้ นี่ก็เพื่อประคับประคองพลานุภาพของกระบี่เซียนทั้งสองเล่มเอาไว้ แต่หากเขาทำอย่างนี้ บัณฑิตที่นอนอยู่ข้างบ่ออเวจีตรงกึ่งกลางภูเขาก็คงสูญเสียโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งไปแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้หลังจากที่เขาใช้กายธรรมร่างทองแล้ว ร่างจริงยังคงอยู่ที่เดิมเพื่อช่วยรวบรวมจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุย พยายามที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต ทำให้เขายังเป็น ‘คนมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์’ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ขัดต่อวิถีสวรรค์อยู่แล้ว ย่อมต้องสร้างความเดือดดาลแก่ดินแดนเฟิงตูในยมโลก ขอแค่ลมปราณบนภูเขาของภูเขาไท่ผิงเกิดการเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าทางดินแดนเฟิงตูอาจจะฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาช่วงชิงจิตหยินที่หลงเหลืออยู่อีกไม่มากของจงขุยไป

นี่จึงเป็นสาเหตุให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นพูดว่าฆ่าปีศาจก็คือฆ่าคน

คาดว่าการที่มันไม่ได้ทำลายดวงจิตต้นกำเนิดของจงขุยให้สิ้นซากก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของวานรขาวตัวนั้นด้วย

บริเวณใกล้กับบ่ออเวจี เบื้องหน้านักพรตเฒ่ามีจิตหยินที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่งดวงหนึ่ง นั่นก็คือบัณฑิตชุดเขียวสีหน้าซีดขาว วิญญูชนจงขุย

นักพรตเฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “เป็นภูเขาไท่ผิงของข้าที่ผิดต่อเจ้า อาจารย์จง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีหน้าจะไปพบสำนักศึกษาต้าฝูแล้ว”

หากพูดกันตามลำดับศักดิ์ของนักพรตเฒ่าขอบเขตเซียนเหริน ไม่ว่าจะเป็นสำนักอย่างภูเขาไท่ผิงหรือตลอดทั้งใบถงทวีป เขาก็ล้วนถือเป็นเทพเซียนกลางเมฆาที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา ผู้เฒ่าเรียกคนหนุ่มอย่างจงขุยว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นการให้การยอมรับอย่างยิ่งใหญ่แล้ว

เพียงแต่ว่าคนก็ตายไปแล้ว เหลือเพียงจิตหยินอ่อนแอหนึ่งดวงที่อาจจะสลายหายไปจากฟ้าดินได้ทุกเมื่อ แล้วจะยังมีประโยชน์อะไร?

ทว่าการกระทำของบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้กลับคู่ควรกับคำว่า ‘เจินเหริน’ แล้ว

จิตหยินของจงขุยส่ายหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางเบา ริมฝีปากขยับนิดๆ ไม่มีเสียงใดๆ ดังอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่นักพรตเฒ่าย่อมเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา “ท่านเจินเหรินผู้เฒ่าไม่ต้องละอายใจ เป็นข้าเองที่ต้องเจอกับหายนะครั้งนี้ ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น หากไม่ใช่ที่ภูเขาไท่ผิง ก็ย่อมต้องเป็นที่สำนักศึกษาต้าฝู หรือไม่ก็ที่อื่นๆ ในใบถงทวีป”

ข้างบ่ออเวจียังมีนักพรตสาวอีกคนหนึ่ง

ริมฝีปากที่เม้มแน่นของนางมีเลือดซึมออกมา

นางก็คือหวงถิงที่เดิมทียังต้องอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต่ออีกหกสิบปี หรือควรจะเรียกนางอีกอย่างว่าฝานกว่านเอ่อร์ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน

ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงนี้ นางเป็นคนที่โกรธเคืองขุ่นแค้นยิ่งกว่าใคร

วานรขาวที่สะพายกระบี่ไว้บนแผ่นหลังตัวนั้นเคยเป็นหนึ่งในโชควาสนาบนเส้นทางการฝึกตนของนาง มันถ่ายทอดวิชาสะพายกระบี่ที่ไม่เคยบันทึกไว้ในสำนักให้แก่นาง นางจดจำไว้ได้ขึ้นใจ ถึงขั้นพาไปที่พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย ดังนั้นในยุทธภพถึงมีคำกล่าวว่า ‘ฝานกว่านเอ่อร์ที่สะพายหรือไม่สะพายกระบี่ คือคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง’

วานรเฒ่าเคยพานางเดินเข้าไปในจุดลึกของบ่ออเวจีหลายครั้งเพื่อขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ ช่วยในการฝึกตนของนาง

นางต้องสังหารมันกับมือตัวเอง แล้วค่อยถามมันว่า เคยเสียใจกับการทรยศหักหลังภูเขาไท่ผิงบ้างไหม!

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดมันถึงเลือกจะทรยศ หวงถิงไม่คิดจะถาม แล้วก็ไม่เต็มใจอยากจะถาม!

ร่างของจงขุยตายไปแล้ว บนยอดเขาของภูเขาไท่ผิงปรากฏน้ำวนสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง พอจะมองเห็นเรือนกายมโหฬารที่บนศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิกำลังหลุบตามองต่ำมายังภูเขาไท่ผิงได้รางๆ

จิตหยินของจงขุยเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้มเศร้าสลด

เดิมทีนักพรตเฒ่าคิดจะเก็บกายธรรมร่างทองลงไป แต่อยู่ดีๆ เข่าของกายธรรมร่างทองก็งอลงเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง มือทั้งสองข้างต่อยน้ำวนลูกนั้นให้แตกสลายไปโดยตรง

เพียงแต่ว่ากายธรรมร่างทองของนักพรตเฒ่าก็แหลกสลายตามไปด้วย

ค่าตอบแทนนี้ยิ่งใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้

จงขุยกำลังจะอ้าปากพูด

นักพรตเฒ่ากลับโบกมือ คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เรื่องของการฝึกตน ขอบเขตอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการทำให้ตัวเองรู้สึก…สาแก่ใจ!”

กล่าวจบสีหน้าของนักพรตเฒ่าก็หม่นหมองเล็กน้อย

อาจารย์จงขุยท่านนี้ ไม่พูดถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ยาวไกลที่จะได้เป็นว่าที่อริยะหรือผู้อำนวยการใหญ่อะไร ลำพังแค่นิสัยของเขา วิญญูชนที่มีบุคลิกนิสัยเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จะต้องมาตายก่อนวัยอันควรแบบนี้

หวงถิงหันไปถ่มเลือดทิ้งคำหนึ่ง แล้วพูดกับนักพรตเฒ่าว่า “บรรพจารย์ ข้าจะลงจากภูเขา!”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากวานรขาวยังไม่ตาย เจ้าหวงถิงห้ามกลับคืนสู่ภูเขา หากไม่หิ้วหัวของมันกลับมา เจ้าก็จงไปตายอยู่ข้างนอกนั่นเถิด กระบี่โบราณพิทักษ์ภูเขาสองเล่มนั้น เจ้าสามารถยืมใช้ได้หกสิบปี หลังจากนั้นก็อาศัยความสามารถของตัวเองไล่ฆ่าวานรขาวซะ”

หวงถิงกล่าวเสียงหนัก “หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงน้อมรับคำสั่งจากท่านบรรพจารย์!”

นักพรตหญิงกลายร่างเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานไปทางทิศใต้

ถึงอย่างไรบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไรนัก อีกอย่างในใจเขาก็เต็มไปด้วยความละอาย เวลานี้จึงยิ่งเงียบงันมากกว่าเดิม

จุดลึกในใจจงขุยก็มีความละอายใจอยู่เช่นกัน

ดวงตาของนักพรตเฒ่าพลันมีประกายของความประหลาดใจปรากฏขึ้น

เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้กับบ่ออเวจีมีลมเย็นสองขุมโชยมาหาจิตหยินของจงขุย แล้วล้อมวนอยู่รอบกายเขา

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กที่เป็นสีใสโปร่งแวววาวเล่มหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของที่จับต้องได้จริงมาลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย

และยิ่งมีชุดสีแดงสดลักษณะคล้ายชุดขุนนางในสมัยโบราณชุดหนึ่งพลิ้วร่วงลงมาจากตำแหน่งที่น้ำวนสลายหายไป

จงขุยมองเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น ลังเลอยู่ชั่วขณะก็กุมไว้ในมือเบาๆ

ชุดขุนนางสีแดงห่มคลุมอยู่บนร่างของจงขุย

ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเฉียบสองขุมกรูกันเข้าไปอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่

ขณะเดียวกันนั้น

เบื้องใต้บ่ออเวจี เหล่าภูตผีปีศาจที่ว่านอนสอนง่ายดุจสุนัขที่เลี้ยงในบ้านก็ไม่เพียงแต่ถอยกลับเข้าไปอยู่ในคุกที่คุมขังพวกมันเหมือนเดิม อยู่ดีๆ ยังถอยกรูดไปด้านหลัง จนกระทั่งไม่เหลือทางให้ถอยอีกต่อไป

จงขุยนึกถึงคำพยากรณ์ประโยคนั้นขึ้นมา

เขาไม่ใช่บัณฑิตชุดเขียวอีกต่อไป แต่เป็นจิตหยินของจงขุยที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดง พึมพำเบาๆ ว่า “ก่อนที่จงขุยจะลงจากภูเขา หมื่นภูตผีบนโลกไร้ความหวาดเกรง”

เขาหันหน้ามองไปแล้วหลุดปากพูดกับบ่ออเวจีว่า “ได้แต่โขกหัวกราบกราน”

ในบ่ออเวจีจึงมีแต่เสียงโขกศีรษะดังขึ้นนับไม่ถ้วน

นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม

จากขอบเขตเซียนเหรินกลับมาเป็นหยกดิบ ดูท่าการถดถอยของขอบเขตในครั้งนี้จะไม่ได้เสียเปล่า

จงขุยพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงียบงันไปเป็นนาน

สุดท้ายถึงเปิดปากเอ่ยว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าไม่บอกให้ข้าผู้เป็นนักพรตโขกหัวคำนับเจ้าก็ล้วนได้หมด”

จงขุยหลุดหัวเราะพรืด สุดท้ายกุมมือคารวะ “แม้ข้าจะเป็นวิญญาณแล้ว ทว่าภูเขาไท่ผิงซานกลับเป็นคนที่แท้จริง (ตรงกับคำว่าเจินเหรินที่หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญพรตจนบรรลุธรรม)

นักพรตเฒ่าตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “คำประจบเช่นนี้ ถูกใจนัก!”

…….

กลางดึกของคืนนี้ อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็จิตใจว้าวุ่นหงุดหงิด จึงออกมาฝึกวิชากระบี่ในลานกว้างด้านนอกโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจทำใจให้สงบลงได้

เขาพลันเงยหน้าขึ้น

ม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏริ้วกระเพื่อมบางเบาจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น

เฉินผิงอันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

แต่ไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก

เพราะเขาเห็นว่าเป็นวิญญูชนจงขุยที่สวมชุดคลุมสีแดงแปลกประหลาด ข้างกายยังมีนักพรตเฒ่าเส้นผมขาวโพลนอยู่อีกคนหนึ่ง

นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วผงกศีรษะให้เขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับจงขุยเบาๆ ว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ คุยกันจบแล้วก็บอกข้าผู้เป็นนักพรต ข้าจะรีบพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้นานเกินไปนัก”

หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว

จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ให้ข้าเล่าให้เจ้าฟังเองแล้วกัน”

หลังจากเล่าถึงศึกบนภูเขาไท่ผิงให้ฟังคร่าวๆ จบ จงขุยทำตัวราวกับเป็นคนนอกสถานการณ์คนหนึ่ง เขาเล่าอย่างราบเรียบไร้รสชาติ ไม่น่าตื่นเต้นตกใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งบนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วว่าเอาชนะปีศาจใหญ่วานรขาวตัวนั้นไม่ได้ ฝีมือเก่งกาจไม่เท่าคนอื่น เลยถูกคนอื่นใช้สองกระบี่กับหนึ่งดาบฆ่าตาย กลายมาเป็นวิญญาณผีเร่ร่อน วันหน้าไม่อาจเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาได้อีกแล้ว…

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “อย่างนี่เนี่ยนะ? ตายแล้ว?!”

เขาชี้หน้าจงขุย “เปลี่ยนจากคนไปเป็นผีทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ? เจ้าเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาไม่ใช่หรือ? สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกจากช่องโพรงได้ไม่ใช่หรือไร?”

กล่าวมาถึงท้ายที่สุด น้ำเสียงของเฉินผิงอันก็ยิ่งแผ่วเบาลงทุกที สีหน้าของเขาเลื่อนลอย ถามเบาๆ ว่า “ตายได้อย่างไรกัน?”

กล่าวประโยคนี้แล้ว เฉินผิงอันก็พูดอะไรไม่ออกอีก

ในสมองมีภาพเหตุการณ์แล่นผ่านไปเหมือนโคมไฟม้าวิ่ง สุดท้ายหยุดอยู่ที่ภาพเหตุการณ์หนึ่ง

มีบัณฑิตจอมเสเพลไม่ชอบตกอยู่ใต้อาณัติใครคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนพื้นผิวแม่น้ำ รู้สึกว่าผีสาวหน้าตางดงามจึงดึงกระชากผมของผีสาว คิดอยากจะเห็นหน้านางสักครั้ง

เหตุใดบัณฑิตที่อยู่ในใจของตนจึงตายแล้ว?

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็ผูกมันกลับตรงเอวเงียบๆ

เหล็กหมาดหิมะด้ามนั้นหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย เห็นได้ชัดว่าได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตหยินของจงขุยไปแล้ว

จงขุยกล่าวอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นข้าที่ไร้คุณธรรม จงใจเล่นตุกติกกับเหล็กหมาดหิมะด้ามนี้ของเจ้า จะตีจะด่า เชิญเจ้าตามสบาย!”

เฉินผิงอันถาม “คำพูดของวิญญูชน ประโยคหลังว่าอย่างไรแล้วนะ?”

จงขุยกล่าวอย่างร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ “รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากจะตามทัน?” (เปรียบเปรยว่าคำพูดเมื่อพูดออกมาแล้ว ไม่สามารถเก็บกลับคืนได้ ต้องพูดคำไหนเป็นคำนั้น)

เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะหิน จงขุยเกาหัวนั่งลงด้านข้าง

เฉินผิงอันกล่าว “ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว ไม่ใช่วิญญูชนอะไรอีกแล้ว”

มโนธรรมในใจจงขุยยิ่งไม่อาจสงบลงได้

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองจงขุย เอ่ยเนิบช้าว่า “แต่เรื่องที่ข้าเคยรับปากคนอื่น ข้าจะต้องทำให้ได้ กับอาจารย์ฉีเป็นเช่นนี้ กับเจ้าจงขุยก็เป็นเช่นเดียวกัน”

จงขุยเริ่มมึนงง “หืม?”

เฉินผิงอันตาแดงก่ำ พูดช้าๆ ว่า “บอกว่าให้เจ้ายืมก็คือให้เจ้ายืม หนึ่งปีคือให้ยืม หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีก็คือให้ยืมเหมือนกัน”

จงขุยเงียบงัน

สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “หนึ่งพันปีไม่พอ หนึ่งหมื่นปีพอหรือไม่?”

จงขุยพยักหน้ารับเบาๆ

เขาลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันจึงลุกตามด้วย

จงขุยยิ้มกว้างอย่างสดใสอีกครั้ง “จงขุย ภูตผีแห่งใบถงทวีป! ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง แซ่เฉินนามผิงอัน!”

เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขาหนึ่งครั้ง แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้างตามไป “เฉินผิงอัน มือกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีป! ข้าได้รู้จักวิญญูชนเจิ้งเหรินคนหนึ่ง ชื่อว่าจงขุย”

ห่างออกไปไกล

บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงลูบหนวดพลางพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีให้หลัง การพบกันคืนนี้ก็จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่งหรือไม่?”

—–