มายมิ้นท์กำลังดูรายงานการสอบสวนต่างๆ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นเธอก็หยิบขึ้นมาดูแล้วพบว่าเป็นข้อความของการันต์ เธอส่งถามกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
การันต์ยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่จากนั้นขึ้นนั่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมไม่เป็นไร ผมไม่ยอมรับสารภาพ ดูเหมือนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่าผมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานอะไร ส้มเปรี้ยวก็ไม่มีหลักฐานเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานที่จะจับกุมตัวผม นอกเสียจากว่าเข้าหาผู้ชายหกคนนั้นพบ”
มายมิ้นท์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วผู้ชายหกคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ พวกเขาจะถูกจับได้ไหม?”
การันต์ตอบกลับไปว่า “ไม่หรอก ผมเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลและส่งพวกเขาออกไปต่างประเทศแล้ว ในชีวิตนี้เขาจะไม่กลับมาอีก”
นั่นหมายความว่า ทั้งชาตินี้ทางตำรวจคงไม่อาจจับกุมหกคนร้ายนั้นได้?
ในเมื่อไม่สามารถจับชายทั้งหกคนนั้นมายอมรับสารภาพได้ เช่นนั้นความผิดทั้งหมด ส้มเปรี้ยวจะถูกแบกรับเพียงลำพัง
มายมิ้นท์พยักหน้าเป็นความหมายว่าเธอเข้าใจแล้ว “อย่างนั้นก็ดีค่ะ”
ทั้งสองสนทนากันอีกสองสามประโยค ก่อนจะจบบทสนทนาลง
ทันใดนั้นเองเลขาซินดี้ก็เคาะประตูและเดินตรงเข้ามา “ประธานมายมิ้นท์คะ ทางเอสซีกรุ๊ป คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์และคุณหนูใหญ่เดินทางมาบอกว่าต้องการพบคุณ”
เมื่อพูดถึงเรื่องคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลภักดีพิศุทธิ์ เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาที่ค่อนข้างเป็นประเด็นร้อน
เมื่อสองวันก่อนจู่ๆ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นทางตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็ประกาศตัวตนของหล่อนออกมา ทุกคนจึงได้รู้ว่าตระกูลภักดีพิศุทธิ์ไม่ได้มีเพียงส้มเปรี้ยวคนเดียวที่เป็นบุตรสาว แต่ยังมีบุตรสาวคนโตที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เด็กอีกคน
แต่หัวข้อสนทนาหลังอาหารก็ได้กลับมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกสาวคนเล็กของตระกูลภักดีพิศุทธิ์อีกครั้ง
“คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เหรอ?” มายมิ้นท์หรี่ตาเล็กน้อย “พวกเธอเดินทางมาทำอะไร?”
เลขาซินดี้ส่ายหน้า “เรื่องนี้ดิฉันไม่แน่ใจ แต่จากที่คาดเดาคงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณส้มเปรี้ยว”
“อย่างงั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเธอ” ส้มเปรี้ยวโบกมือ
เลขาซินดี้มองดูเธอแล้วถามว่า “ประธานมายมิ้นท์หมายถึง ไม่ให้พวกเธอเข้าพบใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว” มายมิ้นท์พยักหน้า
เลขาซินดี้ขยับแว่นของเธอพูดว่า “เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คนไปเชิญพวกเธอกลับไป”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินตรงออกไปที่ปากประตู
เมื่อเดินไปถึงประตูยังไม่ทันผลักประตูออกก็พบว่าประตูถูกคนจากด้านนอกพรรคเข้ามา
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์พาชวนชมเดินเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยพนักงานที่เคาน์เตอร์
เมื่อพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์มองเห็นเลขาซินดี้ก็ได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตอบว่า “เลขาซินดี้คะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้พวกเธอเข้ามา แต่พวกเธอยืนกรานจะขึ้นมาให้ได้ อีกทั้งข่มขู่ดิฉันว่าถ้าดิฉันให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับไล่ทั้งสองคนออกไป พวกเธอก็จะตายอยู่ที่นี่ ดังนั้น……”
เลขาซินดี้มองไปทางสองแม่ลูกแล้วรู้สึกปวดหัวจนต้องเอามือขึ้นกุมขมับ ก่อนจะหันไปทางมายมิ้นท์ “ประธานมายมิ้นท์คะ คุณว่า……”
แน่นอนว่ามายมิ้นท์ได้ยินคำพูดของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ เธอจึงมองไปยังคุณนายภักดีพิศุทธิ์อย่างเยือกเย็น เม้มริมฝีปากแดงเรื่อแล้วตอบว่า “เดี๋ยวฉันจัดการเอง คุณกับมิลลี่กลับไปทำงานเถอะ”
“ค่ะ” ซินดี้ตอบรับ
มิลลี่หรือพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์คนนั้นได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ดูจากสถานการณ์แล้ว ประธานมายมิ้นท์ไม่ได้ถือโทษเธอที่ปล่อยให้สองคนนี้ขึ้นมาได้
เมื่อทั้งสองเดินออกไป ภายในห้องทำงานจึงเหลือเพียงมายมิ้นท์และสองแม่ลูกจากตระกูลภักดีพิศุทธิ์
มายมิ้นท์เอนกายไปที่เก้าอี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองดูคุณนายตระกูลภักดีสุดและชวนชมที่กำลังเดินตรงเข้ามา
แม้ว่าเธอจะยังอายุน้อย แต่เธอก็ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงมาเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้มีออร่าบางอย่างที่ดูแข็งแกร่ง
คนเช่นนี้มองดูคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ จึงทำให้เธอรู้สึกถึงแรงกดดันอยู่บ้าง
เนื่องจากเธอเป็นคุณนายในตระกูลภักดีพิศุทธิ์มาหลายสิบปี โดยมากแล้วเธอใช้เงินเพื่อความสุข หากจะพูดถึงเรื่องออร่าสง่างามน่าเกรงขามเธอไม่มีแม้แต่น้อย
อีกอย่างช่วงนี้ทางเอสซีกรุ๊ปเกิดเรื่องขึ้นเพราะส้มเปรี้ยว มองดูแล้วเธอจึงอ่อนแอลงไปอีก
ด้านคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็รู้สึกว่าหญิงสาวที่นามว่ามายมิ้นท์คนนี้ในด้านของออร่าความน่าเกรงขาม หล่อนกดดันเธอเอาไว้ แม้จะไม่พอพอใจ แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่ ก็ทำได้แต่อดทนเอาไว้
เธอยกมือขึ้นเช็ดดวงตาอันแดงเรื่อ คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์สูดลมหายใจเข้าและจัดการกับอารมณ์ภายในของเธอให้สงบ ก่อนจะหันไปยิ้มกับมายมิ้นท์แล้วพูดว่า “คุณมายมิ้นท์……”
“เชิญนั่งค่ะ” มายมิ้นท์ชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์หันไปมองแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่ง
มายมิ้นท์ไม่ได้เงยหน้ามองหล่อน สายตาของเธอจับจ้องไปที่ร่างของชวนชม ริมฝีปากแดงนั้นเผยอยิ้มขึ้น เสแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็นแล้วเอ่ยถามว่า “นี่คือลูกสาวคนโตที่เพิ่งจะตามตัวกลับมาได้เหรอคะคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์?”
“ใช่ค่ะ นี่คือลูกสาวของฉันเองชื่อว่าชวนชม” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เอื้อมมือไปกุมมือของเชยชมเอาไว้ แล้วตบมือของหล่อนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น แสดงให้เห็นได้ชัดว่าหล่อนรู้สึกรักชวนชมจริงๆ
ใครที่ไม่รู้ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางและความรักที่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มีให้ต่อชวนชมมากทีเดียว ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะดีต่อแผนการในอนาคตของเธอและทามทอยมากขึ้นเท่านั้น
แต่มายมิ้นท์ก็รู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย เธอรู้สึกขัดหูขัดตาเหลือเกินเวลาเห็นว่าคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ทะนุถนอมรักใครชวนชม
เธอมันบ้าไปแล้ว!
มายมิ้นท์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพยายามระงับอารมณ์ที่ยากจะอธิบายตอนนี้ของเธอลงไป เธอได้แต่ยิ้มขึ้นเบาๆ แล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ คุณหนูใหญ่ตระกูลภักดีพิศุทธิ์”
“สวัสดีค่ะคุณมายมิ้นท์” ชวนชมเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักมายมิ้นท์ แล้วตอบกลับมายมิ้นท์อย่างเขินอาย เธอซ่อนตัวไปอยู่ข้างหลังคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ทำท่าทางหวาดกลัวและขี้อายมาก
มายมิ้นท์รู้จักเธอดีและไม่รู้สึกว่าการที่เธอทำแบบนี้มีอะไรผิดปกติไปเธอจึงตอบรับเบาๆ แล้วละสายตากลับมามองไปยังคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ “คุณนายเดินทางมาหาฉันที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ยิ้มขึ้นยังเขินอาย “คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ ในวันนี้ที่ฉันเดินทางมาก็เพื่อส้มเปรี้ยว……”
มายมิ้นท์ได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเป็นประกาย
เป็นอย่างนั้นจริงๆ !
มายมิ้นท์มองไปยังคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ที่ท่าทางเปลี่ยนไปร้อยแปดสิบองศา เธอยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ออกมาจากดวงตา “อ๋อ อย่างงั้นเหรอคะ มาเพื่อเรื่องของคุณหนูรองน่ะสิ?”
อืม นับตั้งแต่ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ประกาศว่ามีคุณหนูใหญ่อีกคนหนึ่ง
ส้มเปรี้ยวก็กลายเป็นคุณหนูรองทันที
“ใช่ค่ะ” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถอนหายใจออกมา ดวงตาของเธอแดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง
มายมิ้นท์พอจะเดาได้ว่าการที่ทุกครั้งเวลาเกิดปัญหาส้มเปรี้ยวมักจะบีบน้ำตาเสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสานิสัยนี้ที่แท้มาจากแม่ของเธอนี่เอง
“คุณมายมิ้นท์คะ” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์กุมมือของมายมิ้นท์เอาไว้แน่น “คุณมายมิ้นท์ ฉันรู้ดีว่าส้มเปรี้ยวไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคุณ แต่……แต่เธอก็ทำไปเพราะเพียงหุนหันพลันแล่น คุณช่วย……”
“คุณนายต้องการจะบอกว่า ให้ฉันปล่อยเธอไปได้ไหมน่ะเหรอคะ?” มายมิ้นท์พูดขึ้นขัดจังหวะเธอแล้วยิ้มขึ้น
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มองออกถึงรอยยิ้มอันเสียดสีบนใบหน้าของเธอ จึงทำให้รู้สึกอึดอัดใจมาก แต่เพื่อส้มเปรี้ยวแล้วเธอจึงทำได้เพียงอดทนพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ค่ะ คุณมายมิ้นท์ ที่ฉันเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้ เพียงแค่คุณยอมปล่อยส้มเปรี้ยวไป ฉันยินดี…… ฉัน ยินดีจากให้เงินคุณห้าล้านหยวน!”
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วกางนิ้วออก “เป็นยังไงคะคุณมายมิ้นท์?”
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าของมายมิ้นท์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอไม่ตอบคำถามใดๆ ออกมา
แต่ชวนชมที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ กัดริมฝีปากร่างของเธอด้วยท่าทางไม่มีความสุขเล็กน้อย
เงินจำนวนห้าล้านหยวนเชียว!
สำหรับเธอแล้วเงินจำนวนหนึ่งแสนก็นับว่ามหาศาล แต่เพื่อที่จะช่วยส้มเปรี้ยวออกมา แม่ยอมจ่ายเงินถึงห้าล้านหยวน!เห็นได้ชัดว่าในใจของแม่นั้น ต่อให้ส้มเปรี้ยวทำตัวเป็นเศษสวะยังไงก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
มองดูแล้วเธอจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อลดความรู้สึกของแม่ที่มีต่อส้มเปรี้ยว เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงสามารถขับไล่ส้มเปรี้ยวออกไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อเห็นว่ามายมิ้นท์ยังคงชะงักไม่พูดอะไรออกมา คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็รู้สึกกังวลและรำคาญใจเล็กน้อย เธอรู้สึกว่ามายมิ้นท์รังเกียจเงินเพราะน้อยเกินไป
ดังนั้นคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์จึงกัดฟันแล้วยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นกลางออก “ฉันเพิ่มให้อีกห้าล้าน รวมกันเป็นสิบล้าน เป็นยังไงคะ?”
“คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์นี่ใจกว้างจริงๆ นะคะ ว่าแต่เงินจำนวนสิบล้านหยวนนี่ คุณนายจะหามันมาได้จริงเหรอ?” มายมิ้นท์ยกมือขึ้นประคองศีรษะเอาไว้แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “ฉันได้ยินมาว่าประธานเปปเปอร์ยกเลิกหมั้นหมายกับตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ในขณะเดียวกันก็ยกเลิกความร่วมมือทั้งหมดกับเอสซีกรุ๊ปด้วย ตอนนี้ผู้คนภายนอกล้วนรับรู้แล้ว ส่งผลให้บางบริษัทยกเลิกความร่วมมือกับเอสซีกรุ๊ป ตอนนี้เอสซีกรุ๊ปก็ตกอันดับจากสิบอันดับแรกในเมืองเมืองเดอะซี ไปอยู่ทีหลังอันดับที่ยี่สิบ เงินทุนหดตัวอย่างรุนแรง ประกอบกับเมื่อคืนนี้หลังจากที่ส้มเปรี้ยวถูกจับไปสถานการณ์ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น ส่งผลกระทบให้เอสซีกรุ๊ปถูกโจมตีอย่างแรง”
“คุณต้องการพูดอะไรกันแน่?” สีหน้าของคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เปลี่ยนไปทันที เธอรู้สึกอึดอัดใจและเป็นกังวล