บทที่ 309 ส้มเปรี้ยวคลั่ง

รักหวานอมเปรี้ยว

เจ้าหน้าที่ตำรวจตกตะลึงเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยที่พวกเขายังสืบไม่พบ

“การันต์คือใคร?” เจ้าหน้าที่สอบปากคำถามขึ้นอีกครั้ง

ส้มเปรี้ยวถูกจับมัดไว้ที่เก้าอี้ ทั้งขาและแขนของเธอไม่อาจขยับได้

ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากมายตรงหน้าเธอที่กำลังจับจ้องมองมา ทำให้เธอเหมือนถูกฝังไว้ในความหวาดกลัว

เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้บงการ เนื่องจากมีวิดีโอทั้งสองคลิปนั้นเป็นหลักฐาน

ถ้าหากเธอปฏิเสธ เธออาจจะถูกลงโทษรุนแรงขึ้น ดังนั้นวินาทีที่เธอขึ้นมาในรถตำรวจ เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะสารภาพทุกอย่างตรงไปตรงมา

ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมพร้อมจะเปิดโปงการันต์ออกมาด้วย

ทั้งสองร่วมลงมือด้วยกัน ทั้งคน สถานที่และอุปกรณ์ทุกอย่างล้วนเป็นการันต์ที่จัดการ ส่วนตัวเธอเป็นเพียงคนที่สั่งให้การทำเท่านั้น แล้วทำไมจะต้องเป็นเธอเพียงคนเดียวที่มารับผิดแบบนี้?

การันต์จะต้องรับโทษกับเธอด้วย!

เธอเป็นนางฟ้าของการันต์ ต่อให้เธอเปิดโปงการันต์ออกมา การันต์ก็คงไม่โกรธเธออย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนี้ ดวงตาอันแดงเรื่อของส้มเปรี้ยวก็ตอบกลับไปว่า “เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมของโรงพยาบาลนิวเวอร์ เขาเป็นคนจ้างวานผู้ชายหกคนนั้นมา”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง พวกคุณเดินทางไปที่โรงพยาบาลแล้วพาตัวการันต์มาที่นี่หน่อย” เจ้าหน้าที่สอบปากคำหันไปกำชับกับตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกสองคน ตำรวจทั้งสองคนนั้นพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องสอบสวนไป

เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินทางออกไปจับกุมตัวการันต์จริงๆ ส้มเปรี้ยวก็รู้สึกวางใจไม่น้อย

ในไม่ช้าการันต์ก็ถูกนำตัวมาที่สถานีตำรวจ

เขาไม่ได้ถูกพาตัวไปห้องสอบสวนเดียวกันกับส้มเปรี้ยว แต่เป็นห้องสอบปากคำเดี่ยว

สำหรับคนที่สอบปากคำเขา คือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปจับเขามา “คุณการันต์ครับ จากคำให้การของส้มเปรี้ยว เธอบอกว่าคุณสมรู้ร่วมคิดกับเธอที่จัดการคุณมายมิ้นท์ แล้วผู้ชายหกคนนั้นเป็นคุณที่คนติดต่อมา คุณยอมรับหรือไม่?”

ตอนที่การเดินทางมา เขายังไม่ได้ถอดชุดกาวน์สีขาวออกเลยด้วยซ้ำ

สภาพของเขาในตอนนี้เป็นเช่นเดียวกันกับส้มเปรี้ยว ทั้งมือและเท้าถูกมัดไว้กับเก้าอี้ แต่เขาไม่ได้ทำหน้าซีดและตัวสั่นเหมือนส้มเปรี้ยว

ดูเหมือนเขาจะเอนหลังไปที่พนักเก้าอี้ ไม่สนใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองเลย เขายังคงเฉยเหมือนดังปกติ “ผมไม่ยอมรับ และผมไม่ได้วางแผนจัดการคุณมายมิ้นท์เลย ผมไม่ได้ไปจ้างวานหกคนนั้นมา ตัวผมกับมายมิ้นท์ไม่ได้มีความแค้นอะไรกันผมจะทำอย่างนี้ไปทำไม?”

เจ้าหน้าที่สอบปากคำเงียบไป

นั่นสินะ ตอนที่จับกุมตัวการันต์มา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของการันต์ และพบว่าเขาไม่ได้มีความคับข้องใจอันใดกับมายมิ้นท์ ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลนักถ้าบอกว่าเขาลงมือจัดการมายมิ้นท์

แต่ก็ดูเหมือนส้มเปรี้ยวจะไม่ได้โกหก เพราะเธอต้องการจะได้ลดโทษ ดังนั้นเธอไม่น่าจะพูดจาไร้สาระ ด้วยเหตุนี้คนที่โกหกคงจะเป็นผู้ชายคนนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนก็หมุนปากกาเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “จากที่พวกเรารู้มา คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับส้มเปรี้ยว และส้มเปรี้ยวก็เกลียดแค้นคุณมายมิ้นท์ จึงได้ลงมือจัดการกับมายมิ้นท์ ส่วนตัวคุณในฐานะเพื่อนสนิทของส้มเปรี้ยว หากจะช่วยเธอจัดการกับมายมิ้นท์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

แว่นตาของการันต์กระทบกับแสงไฟเป็นประกาย จากนั้นหายวับไป “ที่คุณพูดมาก็ถูก ในฐานะเพื่อนสนิทของส้มเปรี้ยวผมอาจจะช่วยเธอก็ได้ แล้วหลักฐานล่ะ ถ้าไม่มีหลักฐานเพียงพอ อย่าได้กล่าวหาผมโดยพลการ ผมอาจจะฟ้องกลับก็ได้”

เจ้าหน้าที่ตำรวจขมวดคิ้วขึ้น และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

นั่นสินะ ไม่มีหลักฐาน

ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้เลย

หลังจากยกมือขึ้นเกาศีรษะ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นก็กวักมือเรียกตำรวจคนที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปห้องข้างๆ ถามหัวหน้าณัฐ ว่าพวกเขามีหลักฐานไหมว่าการันต์สมรู้ร่วมคิดกับส้มเปรี้ยว?”

“ครับ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองไปทางการันต์จากนั้นออกไปดำเนินการทันที

แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เขากลับมาแล้วส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่มี

เจ้าหน้าที่สอบปากคำที่อยู่ตรงข้ามกับการันต์ไม่รู้จะทำอย่างไร

เมื่อคืนนี้ตอนที่เขาจับกุมส้มเปรี้ยว เขาได้จัดการรวบรวมคดีเอกสารทุกอย่าง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของคนที่ชื่อว่าการันต์ แต่ส้มเปรี้ยวเป็นคนบอกชื่อการันต์ออกมาเอง พวกเขาจึงได้รู้ว่าเรื่องนี้แท้จริงแล้วยังมีคนอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย

ด้วยเหตุนี้เห็นได้ชัดว่าถ้าส้มเปรี้ยวไม่พูดออกมาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าจะมีใครเพิ่มเข้ามาอีก แต่ตอนนี้ต่อให้ทุกคนรู้ว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้อีก ก็ไม่อาจจัดการอะไรได้กับผู้สมรู้ร่วมคิดคนนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีหลักฐานใด แม้แต่ส้มเปรี้ยวเองที่เป็นผู้บงการหลักก็ไม่มีหลักฐานได้เช่นกัน

“เชษฐ์ เอายังไงดี สืบสวนต่อไหม?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่ออกไปสอบถามหลักฐานจากห้องด้านข้างเอ่ยถาม

ขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบสอบสวนการันต์ลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด “คุณว่ายังไงล่ะ จะสอบสวนต่อไปทำไม ไป ไปห้องด้านข้างก่อน!”

เมื่อพูดจบ ทั้งสองคนก็ทิ้งการันต์เอาไว้แล้วเดินออกไป

การันต์มองตามร่างของพวกเขาแล้วเผยอยิ้มขึ้น

ที่ห้องข้างๆ เมื่อหัวหน้าณัฐเห็นพวกเขาเดินตรงเข้ามาก็หรี่ตาแล้วถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

ตำรวจทั้งสองคนส่ายหน้า

เรื่องนี้หัวหน้าณัฐไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขามองไปทางส้มเปรี้ยวแล้วพูดว่า “คุณส้มเปรี้ยวครับ เมื่อสักครู่เราได้ทำการสอบสวนคุณการันต์แล้ว แต่เขาไม่ยอมรับว่าสมรู้ร่วมคิดกับคุณในการลงมือทำร้ายคุณมายมิ้นท์”

“อะไรนะคะ?” ส้มเปรี้ยวเบิกตากว้างแทบไม่น่าเชื่อ “เขาไม่ยอมรับเหรอ?”

หัวหน้าณัฐพยักหน้า

น้ำเสียงของส้มเปรี้ยวดูแหลมคมขึ้น “เป็นไปไม่ได้ เขาจะไม่ยอมรับได้ยังไง!”

เธอเป็นนางฟ้าของเขา เขาเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่เธอต้องการเขาจะทำให้เธอทุกอย่าง

ดังนั้นเธอจึงพูดชื่อเขาออกมา แค่คิดดูก็รู้ว่าเธอต้องการให้เขาเข้ามารับผิดชอบด้วย แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมรับมัน?

หรือเป็นเพราะเขาไม่อยากติดคุก จึงได้หักหลังเธอ!

เมื่อคิดได้ดังนี้ ส้มเปรี้ยวก็รู้สึกโมโหเสียจนเวียนหัว ใบหน้าของเธอไม่น่ามองเอาเสียเลย

โกหก! คนโกหก!”

ไหนบอกว่าจะปกป้องเธอไปตลอดชีวิต เมื่อถึงเวลาสำคัญจริงๆ ก็บินหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว เสียแรงที่เธออุตส่าห์เชื่อใจเขา

“เขาโกหกพวกคุณ! การันต์โกหกพวกคุณทุกคนอยู่ พวกคุณอย่าเชื่อเขานะคะ!” อารมณ์ของส้มเปรี้ยวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนมองมาที่เธอ หัวหน้าณัฐ ซึ่งเป็นผู้นำพูดขึ้นว่า “พวกเราจะไม่เชื่อเขาง่ายๆ แน่ แต่พวกเราไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อีกทั้งตัวคุณเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรไม่ใช่เหรอ?”

“……” ส้มเปรี้ยวสะอึก ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจเหลือเกิน

เสียใจว่าทำไมเธอถึงเชื่อการันต์ขนาดนั้น ทำไมตอนที่สั่งให้การันต์ทำเรื่องต่างๆ ทำไมเธอจึงไม่บันทึกเทปเอาไว้?

ไม่อย่างนั้นเธอก็คงมีหลักฐานพิสูจน์ว่าการันต์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย

ริมฝีปากของส้มเปรี้ยวสั่นสะท้าน “ถ้าไม่มีหลักฐาน แล้วการันต์จะเป็นอย่างไร?”

“พวกเราคงต้องปล่อยเขาไป” หัวหน้าณัฐตอบ

รูม่านตาของส้มเปรี้ยวหดตัวลง “อะไรนะ ปล่อยเขาไปเหรอ?”

“ครับ เพราะไม่มีหลักฐาน เราจึงทำได้เพียงปล่อยเขาไป ต่อให้เขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจริงๆ พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสินเขาโดยพลการ” หัวหน้าณัฐพูดแล้วมองมาที่เธอ

ทำยังไงได้ล่ะ กฎของประเทศนี้เป็นแบบนี้ เป็นประเทศที่ให้ความสนใจกับหลักฐาน

ถ้าไม่มีหลักฐาน ต่อให้เป็นอาชญากรจริงๆ ก็ทำได้เพียงปล่อยตัวออกไป

ร่างของส้มเปรี้ยวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้

หัวหน้าณัฐครุ่นคิดและพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าถ้าตามตัวชายหกคนที่ล่วงละเมิดคุณพบ เพียงแค่ชายหกคนนั้นมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการเป็นคนจ้างวานพวกเขา ก็จะสามารถลงโทษการันต์ได้”

ดวงตาของส้มเปรี้ยวเป็นประกายแล้วจ้องไปที่เขา ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “งั้นพวกคุณก็รีบไปตามหาพวกเขาสิ!”

“พวกเราพยายามตามหาอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีเบาะแสใดเลย ความเป็นไปได้ที่จะพบพวกเขาน้อยมาก” หัวหน้าณัฐขยับหมวกของเขาแล้วพูดขึ้น

ส้มเปรี้ยวโมโหมาก “ถ้าอย่างนั้นที่คุณกล่าวมาก็เท่ากับไม่มีประโยชน์อะไรเลย?”

“ผมเพียงแค่ให้ความหวังคุณเท่านั้น” หัวหน้าณัฐตอบอย่างเฉยเมย

ส้มเปรี้ยวโมโหเสียจนแทบขาดใจ

หัวหน้าณัฐลุกขึ้นยืน “นำหนังสือยอมรับสารภาพให้เธอลงนาม เดี๋ยวผมจะไปดูห้องด้านข้างหน่อย”

“ครับหัวหน้าณัฐ!”

หัวหน้าณัฐเดินตรงออกไปยังห้องด้านข้าง เมื่อพบกับการันต์ เขาก็ทำการสอบสวนการันต์อีกครั้งหนึ่ง ผลของการสอบสวนก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนก่อนหน้า ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยตัวการันต์

เมื่อเดินทางออกมาจากสถานีตำรวจ การันต์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความให้แก่มายมิ้นท์ว่า “คุณเดาถูกแล้ว ส้มเปรี้ยวชี้ตัวมาที่ผม”