ตอนที่ 387 พระราชดำริยากจะเดา
ช่วงนี้ฮ่องเต้บีบเฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก ตามที่มีคนกล่าวไว้หากคนมีอำนาจ ความทะเยอทะยานก็จะตามมา ตอนแรกพระองค์คิดจะใช้ความทะเยอทะยานของเฝิงเยี่ยไป๋ ให้เขาสู้กับซู่อ๋อง ความสามารถของเฝิงเยี่ยไป๋พระองค์รู้ พวกเขาสู้กันขึ้นมา พระองค์ก็จะได้เป็นห่วงน้อยลง เพียงแต่ตอนนี้เรื่องดำเนินได้ไม่เหมือนดั่งที่พระองค์คาดไว้ เฝิงเยี่ยไป๋มีความทะเยอทะยานเสียที่ใด ยืนอยู่นราชกิจ ก็ไม่ถามเรื่องใดๆ พูดถึงตัวเขาแล้ว เขาก็ทำท่าทางไม่ใช่เรื่องของตัวเองสบายใจยิ่งนัก ถามความเห็นจากปากเขาไม่ได้เลย ช่างรอบคอบเสียไม่เผยจุดอ่อนใดๆ เลย
ครั้งก่อนที่ประทานงานสมรสให้เขาสามคนนั้น เขาไม่แตะแม้แต่คนเดียว แม้แต่น่าอวี้ก็ยังพลาด แม้ว่าจะเคยนอนอยู่ในห้องของนางหลายคืน แต่ก็แยกนอนข้างในข้างนอก เป้าหมายก็เพื่อจะยั่วโมโหภรรยาหลวงคนนั้น
ไทเฮาก็ใช้ไม่ได้ รั้งคนไว้ก็รั้งไม่อยู่ พระองค์ก็ไม่สะดวกเผยพระพักตร์ โอกาสดีๆ เช่นนี้กลับพลาดหายไปตรงหน้า ตอนนี้เขาจะออกจากบ้านก็ต้องพานางไว้อยู่ข้างกาย ทำเอาพระองค์ไม่มีที่ให้ลงพระหัตถ์เลย
พั่งไห่ยืนรออยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้จะหายใจแรง เมื่อก่อนถือเสียเขาฉลาด เพียงแต่คนที่ฉลาดเพียงใดก็มียามที่โง่เขลาเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลาต้องมียามที่เผลอตัวไม่ทันระวัง ถึงยามนั้นค่อยให้พระองค์ฉวยโอกาสตามช่องว่างก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เขาแอบเหลือบมองบนบัลลังก์ ฮ่องเต้ขมวดพระขนงตรวจหนังสือราชสำนัก ตรวจม้วนหนึ่งทิ้งม้วนหนึ่ง เห็นว่าไฟแค้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขากลัวจะถูกลูกหลง จึงโค้งตัว ทูลอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ไปเมืองเหมิงครั้งนี้ ระหว่างทางอันตราย มีคนเร่ร่อนกับโจรไม่น้อย ไม่เช่นนั้น… บ่าวไปหาคนเตือนเฝิงเยี่ยไป๋ระหว่างทาง? ก็ได้ให้เขาตื่นตัวเสียที รู้ว่าควรจะเป็นศัตรูกับใคร”
คนที่ทำงานไม่เผยจุดอ่อนดั่งเฝิงเยี่ยไป๋นี้ หายากยิ่งนัก เขาเรียกได้ว่าไม่สนเรื่องใดๆ ไม่หาเรื่อง ไม่สร้างเรื่อง ตัวเองสบายตัวนัก ช่างสบายใจเสียเหลือเกิน
ตอนแรกเรื่องเช่นเยี่ยมเยือนประชาชนนั้น โดยเฉพาะไปที่ที่มีคนทุกข์ยาก เงินช่วยเหลือที่ช่วยเหลือประชาชนถูกซู่อ๋องปล้นไปแล้วแบ่งให้ประชาชน ได้ใจประชาชนไปเต็มๆ หากฮ่องเต้สามารถนำเงินและอาหารไปเสด็จด้วยพระองค์เอง ถามไถ่ความทุกข์ยากของประชาชน แล้วตรัสอีกประโยคเอาใจว่า ‘ใจเราเศร้านัก’ ฝั่งใดสำคัญฝั่งใดไม่สำคัญประชาชนจะยังแยกออกไม่ได้อีกหรือ ซู่อ๋องถึงกับเดินไปที่ใดก็มีประชาชนต้อนรับดั่งเช่นทุกวันนี้ได้หรือ
เพียงแต่พวกเขาที่เป็นบ่าวไม่มีสิทธิ์ทูลฮ่องเต้เช่นนี้ นอกจากเอาใจแล้ว ทำอย่างอื่นก็ไม่เหมาะสม
ฮ่องเต้คว้ากระบอกใส่พู่กันขว้างใส่พั่งไห่ บนพระนลาฏเส้นเลือดบูดขึ้น ทรงกริ้วยิ่งนัก “เจ้าสุนัขรับใช้ เจ้ายังมีหน้ากล้ามาพูดอีก ล้วนเป็นเจ้าที่ออกความเห็นให้เรา แต่ละอย่างล้วนไม่สำเร็จ หากไม่ใช่เราออกราชโองการ ราชการครั้งนี้ เขายังคิดจะบ่ายเบี่ยงอยู่เลย เราไม่ฆ่าเจ้าก็เป็นบุญแล้ว เจ้ายังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกหรือ”
พั่งไห่เข่าอ่อน คุกเข่าลงไปทันที ฝ่ามือฟาดลงที่หน้าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ในปากพูดอยู่ตลอดว่า “บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย…”
ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของเขา “พอได้แล้ว เรื่องทำเอาหน้า ยังมาทำขายหน้ากับเราที่นี่อีก หากรู้สึกว่าตัวเองผิดแล้วจริงๆ ก็ไปรับโทษโบยที่กรมราชสำนักภายใน”
พั่งไห่ได้ยินก็เริ่มปาดน้ำตา “บ่าวทำเอาพระองค์ทรงกริ้ว บ่าวสมควรตาย บ่าวจะไปรับโทษโบยที่ราชสำนักภายในเดี๋ยวนี้ เพียงแต่ไปครั้งนี้ ก็คงเกือบตาย บ่าวไม่อยู่รับใช้ข้างพระกายฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทดูแลพระองค์เอง”
ตอนที่ 388 เป็นพ่อได้ไม่ดีนัก
ฮ่องเต้เป็นผู้ที่นึกถึงความหลัง คนที่ใช้จนชินมือข้างกาย จู่ๆ ก็เปลี่ยนไป พระองค์ก็ไม่ชิน พั่งไห่จับจุดนี้ได้ จึงแกล้งพูดอย่างห้าวหาญ แล้วปาดน้ำตาให้ความรู้สึกไปแล้วไม่กลับมาเช่นนั้น
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรท่าทางของเขานี้ก็หงุดหงิด พระองค์ตบโต๊ะ ตรัสด้วยความกริ้วว่า “เจ้ากล้าข่มขู่เราหรือ เราว่าเจ้าเบื่อชีวิตเสียแล้ว ดี ในเมื่อเจ้าอยากตาย เช่นนั้นเราจะให้เจ้าสมดั่งที่หวัง หลี่เต๋อจิ่ง…”
พั่งไห่ได้ยินคำพูดนี้เริ่มไม่ดีแล้ว ตกใจจนเหงื่อออกท่วมตัว “บ่าวมิบังอาจ ฝ่าบาทต่อให้ยืมความกล้าให้บ่าว บ่าวก็ไม่กล้าข่มขู่ฝ่าบาท บ่าวสำนึกผิด บ่าวจะไปรับโทษเดี๋ยวนี้ ขอให้ฝ่าบาทไว้ชีวิตไร้ค่าของบ่าวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่เต๋อจิ่งเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าในใจสะใจเพียงใดแล้ว เจ้าสุนัขมองคนต่ำ [1] เขาก็มีวันนี้ ลากออกไปประหารก็ดี จะได้ไม่ต้องอยู่ในสายตาของเขาให้หงุดหงิดนัก
ฮ่องเต้ก็เพียงกริ้วเท่านั้น หากจะลากออกไปประหารจริง ไม่แน่พระองค์ยังต้องเสียดายไปพักใหญ่เลย บ่าวคนนี้ใช้ปล้วถนัดพระหัตถ์ ความคิดที่เขาเสนอบางครั้งก็ใช้ได้ เก็บเขาไว้ยังมีประโยชน์ ฆ่าเสียง่ายนัก เพียงแต่ข้างพระกายขาดคนฉลาดจะน่าเสียดาย
หลี่เต๋อจิ่งกอดแส้ปัดโค้งตัวทูลว่า “บ่าวอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทมีเรื่องใดรับสั่งหรือไม่”
ฮ่องเต้ชี้ไปที่พั่งไห่ “ลากเขาออกไป ส่งไปที่ราชสำนักภายใน ลงโทษเสียดีๆ เจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ หากใครกล้าเบามือ ก็ประหารแทนเรา รับโทษโบยเสร็จแล้ว ก็ไม่ให้พัก ให้เขากลับมาทำงานต่อ”
สามารถดูเขาถูกโบยได้ ก็เป็นเรื่องที่ระบายอารมณ์ได้ดีนัก หลี่เต๋อจิ่งขานรับ แล้วหิ้วเขาออกไปแล้ว
พระองค์เป็นฮ่องเต้ได้ราบรื่นเกินไป ขึ้นครองราชสมบัติตามธรรมเนียม ตอนแรกยังคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด จนรัชทายาทของตัวเองสืบราชสมบัติ เพียงแต่พ่อของพระองค์นั้นเป็นได้ไม่ดีนัก ยกเขาขึ้นบนบัลลังก์ยังไม่จบ ก่อนจะตายก็ยังจะสร้างความลำบากให้เขา ต้องเห็นพวกเขาพี่น้องฆ่ากันเองให้ได้ ผู้เป็นพ่อ ยั่วยุให้ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองฆ่ากันเอง เขาก็ไม่กลัวบรรพบุรุษด่าเขา น่าดูหรืออย่างไร ลูกชายตัวเองลงมือขึ้นมาแล้ว ฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง เขาจากไปแล้วก็ดีใจแล้วหรือ
ฝั่งนี้ฮ่องเต้กำลังร้อนรนไม่รู้จะทำอย่างไร ฝั่งนั้นซู่อ๋องกลับไม่ได้กังวลมากมายเช่นพระองค์นัก ฮ่องเต้ฆ่าพี่น้องไปจนหมดสิ้น ตอนนี้ก็เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วบอกว่าตัวเองนึกถึงความผูกพันของพี่น้อง ไม่อาจทำใจลงมือกับเขาได้ คำพูดเช่นนี้พูดออกมาใครจะเชื่อ
อวี่เหวินลู่ไม่ได้มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับพระปิตุลาคนนี้นัก จำได้เพียงตอนยังเด็กตามพระบิดาเข้าวัง พระองค์ยังแอบยัดลูกอมให้ตัวเองกำหนึ่ง ตอนนั้นเขากำลังเปลี่ยนฟันน้ำนมอยู่ หมัวหมัวที่ดูแลเขาไม่ให้เขากินลูกอม เขาเห็นบนโต๊ะของฮ่องเต้วางอยู่จานหนึ่ง อยากได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก สุดท้ายฮ่องเต้แอบยัดให้เขากำหนึ่ง แล้วทำท่าเงียบให้เขา เด็กๆ เมื่อได้รับความดีจากคนอื่นก็เกิดความรู้สึกดีได้ง่ายนัก ที่จริงแล้วอวี่เหวินลู่ไม่ได้เกลียดพระปิตุลาของเขาคนนี้นัก เพียงแต่ผู้จะเป็นใหญ่ จะฆ่าก็ต้องเด็ดขาด ไม่อาจมีสิ่งใดมาขัดใจได้ หากพระองค์จะฆ่าเขาและพ่อของเขาล่ะก็ เช่นนั้นความดีที่เคยให้ลูกอมตอนยังเด็กก็ไม่มีค่าใดๆ แล้ว เขายังสามารถใจเ**้ยมฆ่าหลานของตัวเองได้ เช่นนั้นเขาจะใจเ**้ยมไม่ลงไปฆ่าเขาหรือ
สายข่าวในเมืองหลวงมาแจ้ง บอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ผ่านไปสามถึงห้าวันก็สามารถไปถึงเมืองเหมิงได้ ถึงยามนั้นมาอยู่ในถิ่นของพวกเขา จะฆ่าจะอยู่ ก็ยังไม่ใช่ว่าตามใจพวกเขาหรือ
อวี่เหวินลู่นึกถึงประโยคที่ว่า ‘เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ ของเฝิงเยี่ยไป๋ก็แค้นจัด รอให้เขามาแล้ว เขาจะต้องเถียงกับเขาเสียถึงจะได้
——
[1] สุนัขมองคนต่ำ หมายถึงคนที่ชอบดูถูกคนอื่น