ตอนที่ 389 เจ้าถึงกับมีความชอบเช่นนี้
เหลียงอู๋เย่ว์รู้เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋ไปเมืองเหมิงหลังจากที่เขาไปได้แล้วสองวัน เว่ยหมิ่นไม่ได้บอกเขา รอเขาถามขึ้นมา นางถึงได้ทำหน้าประหลาดใจว่า “เช่นนั้นหรือ ข้าก็เพิ่งรู้”
เหลียงอู๋เย่ว์ช่วยเฝิงเยี่ยไป๋ดูแลร้านที่เขาเปิดอยู่ในเมืองหลวง การค้าของร้านดี หาคนดูแลร้านคนเดียวจัดการไม่ไหว เรื่องเล็กน้อยต่างๆ ในร้านก็มีมาก เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกวุ่นวาย เห็นว่าเขากำลังว่างอยู่พอดี จึงให้เขาจัดการทั้งหมด
เรื่องใหญ่ๆ ก็ไม่ได้มี เพียงแต่เรื่องเล็กๆ มีมาไม่เคยขาด แต่ละวันของเขานั้นก็ไม่ถือว่าว่าง บางครั้งยุ่งขึ้นมาแม้แต่เว่ยหมิ่นก็ถูกเมิน
เฝิงเยี่ยไป๋ก็มีลูกชายแล้ว เขาร้อนรนหรือ จะไม่ร้อนรนได้หรือ เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ร้อนรนไม่ได้ เว่ยหมิ่นไม่ยอมรับเขา เขาก็ไม่อาจฝืน แทนที่จะจ้องมองตาดูได้แต่กินไม่ได้ ไม่สู้ทำเรื่องจริงจังอื่นๆ ค่อยๆ รอให้นางเปลี่ยนความคิดไป
ก่อนที่เฝิงเยี่ยไป๋จะไปเมืองเหมิง ก็เอาเงินก้อนใหญ่ไปจากบัญชีในร้าน เขายังรู้สึกแปลกใจว่าเขาทำอะไรจะใช้เงินมากมายเช่นนี้ ถามเว่ยหมิ่น นางก็บอกไม่รู้ สมองของเขานั้น ถูกเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ เข้ามาแทรกก็ลืมเสียแล้ว พอมาคิดดูตอนนี้ ก็คงจะเป็นการเตรียมการเดินทาง เว่ยหมิ่นยังบอกว่าไม่รู้ นางเพิ่งเข้าวังเมื่อวาน นางจะไม่รู้ได้หรือ
แม้ว่าบางครั้งจะใช้ไม่ได้ เพียงแต่เรื่องใหญ่ๆ นั้นก็ยังแยกแยะออก ที่เฝิงเยี่ยไป๋ไปคราวนี้ ระหว่างทางต้องเกิดเรื่องขึ้นบ้าง เขาตามไปแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีคนระวังหลังให้ คราวนี้ไปไม่ได้แล้ว ในใจมักรู้สึกกังวล รู้สึกว่าจะเกิดเรื่อง
เว่ยหมิ่นบุ้ยปาก “เจ้ายังจะบอกว่ารักข้าอีกหรือ พอได้ยินเขาไปแล้ว เป็นกังวลยิ่งกว่าใครอีก เจ้าพูดมาตรงๆ ที่เจ้าชอบคือเฝิงเยี่ยไป๋ใช่หรือไม่!”
เฝิงเยี่ยไป๋ตกใจเล็กน้อย แล้วร้องออกมาว่า “เจ้าคิดอะไรอยู่ พวกเราเป็นพี่น้องที่โตด้วยกันมา เจ้า… เจ้าไปเรียนเรื่องพวกนี้จากที่ใด”
เว่ยหมิ่นสะบัดมือ มีอย่างมีเหตุผลว่า “บนหนังสือเขียนไว้ บอกว่าผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันเรียกต้วนซิ่ว [ 1 ] ข้าว่าเจ้ากับเฝิงเยี่ยไป๋ต้องเป็นต้วนซิ่วแน่ๆ”
ผู้หญิงไร้เหตุผลขึ้นมาก็มีเหตุผลของตัวเอง เหลียงอู๋เย่ว์พูดไม่ออก หากนางจงใจเข้าใจทั้งสองคนผิด ยิ่งอธิบายโทษนี้กลับยิ่งแน่นหนา เขาก็ไม่อาจหยิกหูสั่งสอนนางเหมือนตอนยังเด็ก เขาอธิบายไปแล้วก็ไม่ได้ความ จึงได้แต่มุดเข้าห้องอ่านหนังสือแล้วอ่านหนังสือระบายอารมณ์
พอเป็นเช่นนี้แล้วเว่ยหมิ่นยิ่งได้ใจ เขาไปที่ใดนางก็ตามไปที่นั่น มือสั่นเทายกขึ้นมา เหมือนดั่งค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น “ว่าแล้วข้าเดาถูกกระมัง เหลียงอู๋เย่ว์ เจ้า… เจ้าถึงกับมีความชอบเช่นนี้!”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าไม่ใช่!” เขาถูกบีบจนร้อนรนแล้ว ร้องยืนขึ้นมา “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู ข้าไม่มีความรู้สึกกับผู้ชาย สำหรับเจ้ากลับมี เจ้าอยากลองหรือไม่”
ที่จริงแล้วเว่ยหมิ่นจะยอมรับเหลียงอู๋เย่ว์ก็ไม่ยาก ที่ยากคือจะเอาเฝิงเยี่ยไป๋ออกจากหัวใจให้หมดสิ้นได้อย่างไร ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็มีลูกแล้ว นางก็ไม่มีความหวังอะไรแล้ว หัวใจจึงวางอยู่บนตัวเหลียงอู๋เย่ว์แล้ว เพียงแต่ความสนใจติดนางหนืดก่อนหน้านี้ล้วนอยู่กับร้านของเฝิงเยี่ยไป๋และบัญชีของร้าน นายหญิง นายหญิงน้อยบ้านใดชอบผ้าอะไรเขาจำได้หมด แต่กลับห่างเหินกับนางเรื่อยๆ หลายๆ ครั้งนางก็ส่งสัญญาณให้เขากลับไปนอนที่ห้องได้แล้ว เพียงแต่เจ้าโง่คนนี้ ก็ไม่เข้าใจความหมายของนาง
ตอนนี้ในเมื่อเขาถามแล้ว เช่นนั้นเว่ยหมิ่นก็ไม่สนแล้ว นางเท้าเอวยืดอก ชูคอพูดว่า “ได้เลย ลองก็ลอง!”
ตอนที่ 390 ล้อเล่นเช่นนี้กับผู้ชายไม่ได้
คำพูดนี้ออกจากปากก็เป็นเรื่องใหญ่เลย เหลียงอู๋เย่ว์ถูกจุดติดขึ้นมาทันที และก็กลัวนางจะพูดด้วยอารมณ์ร้อน พูดไปแล้วจะคืนคำ แล้วผลักความผิดทั้งหมดไปที่เขา ถึงเวลาก็กระฟัดกระเฟียดไม่สนใจเขา เขาจึงถามนางอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจว่า “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะลองหรือไม่ พูดออกมาก็คืนคำไม่ได้แล้ว”
เว่ยหมิ่นมีท่าทีแข็งกร้าว “ลองก็ลอง ไม่คืนคำ ข้าไม่เชื่อว่าเนื้ออันน้อยนิดของเจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรได้”
เหลียงอู๋เย่ว์ข้ามผ่านนางไปปิดประตู จากนั้นก็ไม่รอให้นางมีการตอบสนอง ก็ได้อุ้มนางขึ้นมา ในห้องอ่านหนังสือไม่มีเตียงและเตียงพิง เขาอุ้มนางด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ว่างออกมาปัดของที่อยู่บนโต๊ะลงพื้น อุ้มนางขึ้นไปนั่ง ลมหายใจของทั้งสองคนสัมผัสกัน ต่างสบตา ล้วนตัวเกร็งทั้งคู่
“อยู่… อยู่ที่นี่” มือของเว่ยหมิ่นยันโต๊ะไว้น้อมตัวไปข้างหลัง เห็นได้ว่าตกใจมาก เรื่องเช่นนี้ยังสามารถทำได้นอกจากเตียงอีกหรือ
เหลียงอู๋เย่ว์มีสาวปรนนิบัติตั้งแต่อายุสิบสี่ เรื่องเช่นนี้ก็มีประสบการณ์อยู่ เพียงแต่ในที่เช่นนี้ เขายังเป็นครั้งแรก เพียงแต่ตอนนี้ก็ไม่สนมากมายเช่นนั้นแล้ว สีหน้าจริงจังพยักหน้า “หากเจ้ากลัวละก็ จะคืนคำตอนนี้ก็ยังทัน”
“ตลก ข้ากลัวที่ไหนกัน จะทำก็รีบๆ ทำ พูดมากอยู่ได้!”
เหลียงอู๋เย่ว์ถูกกระตุ้นเข้าให้ อดทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาน้อมตัวลงไปจูบ ในความร้อนรนก็มีความระมัดระวัง กลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน กลัวเขาจะออกแรงมากเกินไป ฝันสลาย เขายังไม่ได้นาง กลัวความรักฝ่ายเดียวของตัวเองสุดท้ายแล้วจะไม่ได้อะไรกลับมา
แต่ที่น่าดีใจคือ เว่ยหมิ่นถึงกับรู้จักตอบสนองเขา เขาก้าวออกมาก้าวนี้แล้ว ที่นางก้าวออกไปนั้นกลับใหญ่กว่าเขา การจะสละคนคนหนึ่งออกจากใจ แล้วให้อีกคนเข้าไปเติมเต็มช่องว่างนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้ง่ายนัก จะยอมรับก็ยิ่งยาก เพียงแต่นางทำได้แล้ว คนจะผูกคอตายอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เช่นนั้นจะช้าจะเร็วก็ต้องอยู่ด้วยกัน จะห่างเหินไม่ได้ ชีวิตหนึ่งจะว่าสั้นก็ยาว จะว่ายาวก็สั้น อุตส่าห์ได้เกิดมาบนโลกนี้ ไม่อาจลิ้มรสรักกันทั้งสองฝ่ายช่างน่าเสียดายนัก ตอนนี้มีโอกาส คว้าเอาไว้ จะได้ไม่เสียดายที่นางได้มีชีวิตบนโลกนี้
ค่ำคืนนี้เสียงจักจั่นร้อง เวลาช่วงเดือนแปด ความร้อนค่อยๆ หายไป กลางคืนลมเย็นพัดผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง เว่ยหมิ่นกอดเหลียงอู๋เย่ว์ไวบอกหนาว เหลียงอู๋เย่ว์กลับเหงื่อท่วมตัว ก้มศีรษะจูบที่หน้าผากนางแล้วใช้เสื้อห่อนางเอาไว้ ปลายจมูกทั้งสองคนแตะกัน ค่อยๆ สงบกลิ่นอายความรักที่ยังหลงเหลืออยู่
“ตอนนี้รู้ว่าแล้วข้าปกติแล้วกระมัง ข้าไม่ได้เป็นต้วนซิ่วเสียหน่อย ใบหน้าเขาแดงก่ำ ใบหน้าของชายหนุ่มที่โตแล้ว คำพูดที่ออกมากลับยังมีความเป็นเด็กอยู่
เว่ยหมิ่นมีท่าทางแม่นางน้อย ยกแขนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เขา กอดเขาไว้แน่น “ข้าเพียงพูดไปเท่านั้น ล้อเล่นอยู่แล้ว เจ้ายังคิดว่าเป็นจริงเสียอีก?”
เหลียงอู๋เย่ว์ถอนหายใจ “เรื่องเช่นนี้ล้อเล่นไม่ได้… โดยเฉพาะล้อเล่นกับผู้ชายไม่ได้”
เว่ยหมิ่นอืมเบาๆ “เจ้าเป็นผู้ชายของข้า แม้แต่ข้าก็ล้อเจ้าเล่นไม่ได้หรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์ได้ยินประโยคของนางที่ว่า ผู้ชายของข้า
ในใจก็รู้สึกดี ก้มศีรษะถามนางว่า “เจ้าไม่ชอบเฝิงเยี่ยไป๋แล้วหรือ ตายใจกับเขาแล้ว?”
“เขามีลูกชายแล้ว ข้าโง่แล้วหรืออย่างไรถึงยังคิดถึงเขาอีก” เว่ยหมิ่นยื่นมือไปตีเขา “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย หลังจากนี้อย่าได้พูดเรื่องเก่าอีก”
เหลียงอู๋เย่ว์ร้องพูดว่า “มิบังอาจๆ ไม่พูดเรื่องเก่า ไม่พูดเรื่องเก่า เจ้าก็ยอมรับแล้วว่าข้าเป็นผู้ชายของเจ้าแล้ว หลังจากนี้พวกเราใช้ชีวิตกันดีๆ เทียบเฝิงเยี่ยไป๋ลงไปเลย พวกเราคลอดครั้งเดียวสองคน ให้เขาอิจฉาตาย”
เว่ยหมิ่นชกอกเขาแล้วด่าด้วยท่าทางขวยอายหวานซึ้งว่า “เหลวไหล!”
——
[ 1 ] ต้วนซิ่ว หรือพวกตัดแขนเสื้อ เป็นคำเรียกลับๆ ในสมัยโบราณ หมายถึงชายรักชาย