บทที่ 142 เพียงแค่ด้วยกันเฉยๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 142
เพียงแค่ด้วยกันเฉยๆ

หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็ป้อนฮวงฟูอี้เสร็จ “เสี่ยวอี้ ยังเจ็บที่หัวอยู่หรือเปล่า?” เธอถามในระหว่างที่กำลังเก็บถ้วยชามอยู่ ถ้าพูดตามหลักการเมื่อลิ่มเลือดหายไป ความทรงจำก็น่าจะกลับมาแล้วจะเจ็บได้ยังไง ตอนที่เธอเช็กก็ไม่เจออะไรที่ผิดปกติเลยนิ

“ไม่เจ็บครับ…” ฮวงฟูอี้มองหรงเสวี่ยและตอบกลับอย่างแผ่วเบา

“ดีแล้ว เดี๋ยวพี่เอาถ้วยไปเก็บก่อนแล้วจะกลับมาอีกทีนะ แต่ว่าก่อนที่จะเข้านอนก็อาบน้ำก่อนด้วยล่ะ…” มู่หรงเสวี่ยอาบน้ำให้เขาแค่เพียงในวันแรกเท่านั้น เขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เธอสอนเขาได้แต่เรื่องพื้นฐานต่างๆแต่เดาว่าเขาคงแค่ความจำเสื่อมแต่นิสัยในการใช้ชีวิตต่างๆยังคงฝังลึกอยู่ในสมองของเขา
“โอเค ผมรู้แล้วฮะ พี่สาวต้องรีบขึ้นมาเร็วๆนะ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว…” เสียงซึมๆของฮวงฟูอี้ดังมาจากข้างหลัง

หลังจากได้ยินมู่หรงก็ยิ้มออกมา “รู้แล้วจ้า”
รอยยิ้มทำให้ดวงตาของฮวงฟูอี้พร่าเลือน จนกระทั่ง มู่หรงเสวี่ยเดินห่างออกไปไกลแล้วเขาจึงได้สติกลับมา ในจังหวะนั้นเขาเอามือมาปิดหน้าและพูดพึมพำ “ช่างเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์จริงๆเลย…”

มู่หรงเสวี่ยล้างจาน มองไปที่พี่ชูที่ยังยุ่งอยู่จึงไม่เข้าไปรบกวน เพียงแค่เข้าไปกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วจึงกลับมาที่ห้อง ทันทีที่เข้ามาในห้องเธอก็เจอฮวงฟูอี้ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มีเพียงร่างกายท่อนล่างเท่านั้นที่คลุมไว้ด้วยผ้าขนหนู ผมเขายังเปียกอยู่เล็กน้อย หยดน้ำไหลจากผมดำของเขาลงมาที่ใบหน้าหล่อเหลา ลงมาที่แผงอกอันเนียนนุ่มดูเซ็กซี่ ทำให้มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงขึ้นมาแทบจะทันทีจนต้องรีบหันหลัง

น้ำเสียงตะกุกตะกักดังออกมา “เสี่ยว…เสี่ยวอี้ ทำไมยังไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ…”
ฮวงฟูอี้มองไปที่หูแดงๆของเธอและเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ในเพียงเสี้ยววินาทีมันก็จางหายไป เขาเดินตรงเข้ามาและกอด มู่หรงเสวี่ยที่กำลังเขิน “พี่สาว ผมหนาว…”

มู่หรงเสวี่ยสะดุ้ง แผงอกเย็นๆ อ่อนนุ่มแนบชิดอยู่ที่ด้านหลังของเธอ มือเขาไขว้มาที่หน้าอกเธอจนทำให้เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงรีบดึงตัวเองออกทันที หันหน้ากลับไปหาฮวงฟูอี้พร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ

“โอเค ถ้าหนาวก็ไปแต่งตัว เดี๋ยวจะไม่สบาย ผมก็ยังไม่แห้ง…มานี่เลย…” เธอจับมือเขา ให้เขานั่งลงบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมให้เขา

หลังจากนั้นเธอก็หยิบผ้าขนหนูสะอาดออกมาจากห้องน้ำและค่อยๆเช็ดผมดำขลับของเขาอย่างอ่อนโยน นี่เป็นสิ่งที่เธอทำมานานแล้ว ฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไรและมักจะปล่อยให้ผมตัวเองเปียกตลอด ไม่แปลกใจที่เขาไม่มีความทรงจำ จะทำให้ยังไงให้เด็กห้าขวบรู้วิธีเช็ดผมตัวเองได้เนี่ย?! มู่หรงเสวี่ยมองไม่เห็นทางเลย ดังนั้นเธอจึงมักจะช่วยเขาเช็ดผมก่อนที่จะเข้านอนเสมอ
ฮวงฟูอี้ก้มหัวลง ดมกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอและรู้สึกถึงมือที่อ่อนโยนของเธอที่ช่วยเช็ดผมให้เขาอยู่ค่อยๆเผยรอยยิ้มที่ต่างออกไป น่าเสียดายที่มู่หรงเสวี่ยมัวยุ่งอยู่กับการช่วยเช็ดผมให้เขาอยู่จึงไม่ได้สนใจท่าทางของเขา ถ้าเธอเห็นเขาอาจจะได้รู้อะไรบางอย่าง

ผมของเขานุ่มมากๆและรูปร่างของเขาก็ราวกับพระเจ้าสร้างมา ทุกส่วนดูราวกับผลงานศิลปะชั้นเอก เธอไม่รู้ว่าตัวต้นจริงๆของเขาเป็นใคร แต่สิ่งที่เธอเดาได้คือเขาต้องไม่ได้มาจากเมืองหลวงแน่ๆ เพราะตามที่พี่ชูบอกก่อนหน้านี้คือตระกูลของเมืองหลวงไม่มีคนแบบเขาเลย อย่างไรก็ตามคนที่โดดเด่นอย่างฮวงฟูอี้ถ้าเขามาถึงเมืองหลวงแล้วทำไมถึงไม่มีข่าวอะไรเลย มู่หรงเสวี่ยสงสัยว่าเขาเป็นคนท้องถิ่นหรือเปล่าแต่สำเนียงของเขาก็ถูกต้องอย่างมาก

เธอคิดว่าคำพูดของพี่ชูมีเหตุผลมากๆ ฮวงฟูอี้ฟื้นความทรงจำได้ทุกเมื่อและมันก็น่าจะใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่วัน เมื่อเขาฟื้นความทรงจำได้และอาจจะยังจำช่วงเวลานี้ได้ ช่วงเวลาที่เธอดูแลเขาแบบนี้ซึ่งเขาก็อาจจะไม่ชอบเท่าไร งั้นคืนนี้ควรจะนอนแยกห้องกันดีกว่า พี่ชูพูดถูก พวกเธอไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ และถึงแม้พวกเขาจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องนอนเตียงเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเธอก็ยังเป็นห่วงเรื่องความฝันของเขาอยู่นิดหน่อย ก่อนหน้านั้นเธอเคยปล่อยให้เขานอนคนเดียวแต่ทุกครั้งเขาก็จะวิ่งร้องไห้มากลางดึกเสมอและพูดว่า “พี่สาว อย่าทิ้งผม”

ในเวลานั้นเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความกลัว จนราวกับเธอได้เห็นตัวเองในชีวิตที่แล้ว เห็นตัวเองที่ถูกฟางฉีฮัวทอดทิ้งในชีวิตที่แล้วจนต้องตกนรกด้วยความเจ็บปวด อาจจะเพราะแบบนี้เธอจึงดูแลเขาอย่างดีและมอบความอบอุ่นให้เขา เพื่อที่เธอจะได้กอบกู้วิญญาณที่แตกสลายของตัวเองซึ่งจมลงไปในนรกของชีวิตที่แล้ว

เวลาผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆวางผ้าขนหนูลงและมองมาที่ฮวงฟูอี้ แล้วจึงพูดออกมาว่า “เสี่ยวอี้ คืนนี้นอนคนเดียวนะ โอเคไหม?”

“ทำไมล่ะฮะ?! ผมอยากที่จะนอนกับพี่สาวนิ…”
มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดออกมาว่า “เสี่ยวอี้ พี่สาวไม่เคยอธิบายให้นายเข้าใจอย่างชัดเจน อันที่จริงแล้วผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อโตแล้วไม่ควรที่จะนอนด้วยกัน มีแค่สามีภรรยาเท่ากันที่จะนอนด้วยกันได้ เข้าใจไหม? ถ้านายกลัว นายก็เปิดไฟนอนก็ได้นะ…”

ฮวงฟูอี้ยื่นมือออกมาและกอดมู่หรงเสวี่ยที่กำลังจะเดินไปไว้ “พี่สาว ผมอยากที่จะอยู่กับพี่ ในเมื่อมีแต่สามีภรรยาเท่านั้นที่นอนด้วยกันได้ งั้นเราก็เป็นสามีภรรยากันเลยดีไหมฮะ?”

มู่หรงเสวี่ยตกใจ “ไร้สาระ สามีภรรยาจะอยู่ด้วยกันได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาชอบกันเท่านั้น…” หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆแกะมือเขาออกและพูดว่า และนายจะกอดพี่สาวแบบนี้ตลอดไม่ได้นะรู้ไหม?! ถึงแม้ตอนนี้สิ่งที่พี่สาวพูดนายจะยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อถึงเวลาที่นายฟื้นความทรงจำแล้วนายก็จะเข้าใจได้เอง พี่สาวบอกได้เลย…”

เธอมั่นใจเลยว่าเมื่อเขาฟื้นความทรงจำ เขาคงจะรู้สึกหนักใจ เขาเป็นคนแปลกหน้าและก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้เธอจะมองเขาเป็นน้องชายแต่ก็เป็นเพราะเขายังไม่ฟื้นความทรงจำ ถ้าเขาฟื้นความทรงจำของตัวเองได้ แม้แต่เธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเธอจะยังมองเขาเป็นน้องชายเหมือนตอนนี้ได้อยู่หรือเปล่า

แทนที่จะต้องมาอับอายกันเมื่อถึงเวลานั้น งั้นสู้ค่อยๆห่างกันไปตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่าเพื่อที่จะให้แต่ละฝ่ายได้ค่อยๆปรับสภาพกับความเปลี่ยนแปลงด้วย

ฮวงฟูอี้ก้มหัวและเงียบไม่พูดอะไรแต่ก็ยังจับมือ มู่หรงเสวี่ยไว้แน่น

“เสี่ยวอี้ ได้ยินที่พี่สาวพูดหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามอีกครั้ง

ฮวงฟูอี้พยักหน้าแต่ก็ยังไม่พูดอะไร
“งั้นก็ปล่อยมือพี่สาวได้แล้ว แล้วก็รีบเข้านอนโอเคไหม?” เสียงของมู่หรงเสวี่ยฟังดูอ่อนโยน

ฮวงฟูอี้ยังคงไม่ขยับ
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกสับสน นี่คือความรู้สึกอึดอัดใช่ไหมเนี่ย?! ทำไมดี! เธอไม่เก่งเรื่องการเป็นแม่เลี้ยงใครด้วยสิ เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง “เสี่ยวอี้…”

มือที่จับเธออยู่บีบแน่นขึ้นไปอีก จะต้องนั่งอยู่แบบนี้จนเช้าแน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่นาฬิกา นี่มันก็ตีหนึ่งแล้วด้วยดึกไปสำหรับร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงของเขาแล้ววันนี้ก็เพิ่งจะเป็นลมไปเองด้วย มู่หรงเสวี่ยยื่นมืออีกข้างออกไป พยายามที่จะดึงมืออีกข้างออกมา อย่างไรก็ตามเธอพบว่าเขาจับแน่นมากจนเธอแทบจะขยับไม่ได้เลย

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวงฟูอี้ไม่เชื่อฟังเธอ แต่ก่อนถึงแม้เขาจะไม่อยากทำแต่เขาก็ไม่เคยเงียบแบบวันนี้เลย นี่เป็นการดื้อเงียบหรือเปล่านะ

หลังจากที่คิดเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาก็ดูจะแปลกออกไปเล็กน้อย นี่เป็นเพราะวันนี้ชายพวกนั้นทำให้เขากลัวหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่งั้นเธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ “เสี่ยวอี้ นายไม่ชอบพวกผู้ชายที่เจอวันนี้งั้นเหรอ? นายจำพวกเขาได้หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยจำท่าทางที่ฮวงฟูอี้มองหลงอี้ได้หลายครั้ง บางทีเขาอาจจะยังจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็อาจจะจำได้อยู่บ้างเล็กน้อย

ฮวงฟูอี้มองไปที่สายตาคาดหวังของเธอและส่ายหัวช้าๆ “ผมไม่รู้จัก…ผมอยากที่จะนอนกับพี่สาว…”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัว ดูเหมือนว่าเขาจะดื้อมากกว่าแต่ก่อนมาก ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วที่เขาจะเคยชินใช่ไหม?! มือที่จับบีบแน่นขึ้นไปอีกจนแทบจะเดินไปไหนไม่ได้เลย และแม้จะเดินออกไปได้ เขาก็คงจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

เวลาผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยจึงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ปล่อยเถอะ เราจะนอนด้วยกันแต่ใช้ผ้าห่มคนละผืน เข้าใจไหม?” เธอแตะไปที่หัวของเขาและพูดอย่างเอาใจเล็กน้อย นี่เป็นความรับผิดชอบของเธอ เธอเป็นคนพาเขากลับมาเองและจิตใจเขาก็ยังเป็นเด็ก เธอจึงเข้าใจได้

ฮวงฟูอี้เผยรอยยิ้มทำลายล้างออกมาทันที ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ได้ชินกับท่าทางพวกนี้ เธอเองก็คงจะตาพร่าไปด้วยเหมือนกัน

เธอเดินไปที่อีกฝั่งของเตียง ดึงผ้าห่มของตัวเองออกมาและเอนตัวลง เหมือนอย่างปกติที่เธอจะนอนติดๆขอบเตียงระหว่างพวกเขาจึงเหลือพื้นที่อีกมาก มู่หรงยิ้มเล็กน้อยให้กับฮวงฟูอี้ที่นอนอยู่อีกฝั่งของเตียงและกระซิบออกมาว่า “ราตรีสวัสดิ์นะเสี่ยวอี้!”

“ราตรีสวัสดิ์ครับพี่สาว…”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ลมหายใจของมู่หรงเสวี่ยค่อยๆเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอให้รู้ว่าเธอหลับลึกไปแล้ว

ในความมืดฮวงฟูอี้ยกผ้าห่มของมู่หรงเสวี่ยและแทรกตัวเข้าไป แล้วเขาก็ยืดแขนกำยำของตัวเองไปโอบรอบเอวของ มู่หรงเสวี่ย พวกเขานอนกอดแนบชิดกัน มู่หรงเสวี่ยเองก็นอนพิงด้วยเช่นกัน หลังจากที่ปรับท่าทางจนได้ท่าที่นอนสบายแล้ว ใบหน้าเล็กๆของเธอก็นอนแนบอิงอยู่ที่หน้าอกของฮวงฟูอี้ ปากของเธอแนบอยู่ที่หน้าอกเขาและผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ฮวงฟูอี้มองท่าทางที่น่ารักของเธอและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ด้วยมีร่างกายที่อ่อนนุ่มของเธออยู่ในอ้อมแขนเขา ในที่สุดเขาก็หลับตาลงและผล็อยหลับไป