บทที่ 143 การแข่งขันลับๆระหว่างคนทั้งสอง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 143
การแข่งขันลับๆระหว่างคนทั้งสอง

เช้าอันสดใสวันรุ่งขึ้น บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่มากมาย พร้อมด้วยสายลมพัดโชย ผ้าม่านที่หน้าต่างทรงฝรั่งเศสขนาดใหญ่ข้างเตียงพัดอย่างสวยงาม ทั้งสองที่อยู่บนเตียงนอนกอดกันหลับอย่างสบาย ใบหน้ายามหลับที่สงบนิ่งของทั้งสองดูจะเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ

ชูอี้เสิ่นที่ยืนอยู่ที่ประตู กำหมัดแน่นเพื่อพยายามที่จะสงบอารมณ์ หลังจากนั้นเขาก็เดินมาที่ข้างเตียงและจับไปที่มือที่โอบเอวมู่หรงเสวี่ยอยู่ เขาคิดว่าจะอุ้มมู่หรงเสวี่ย

ฮวงฟูอี้รีบลืมตาขึ้นในทันทีและมองไปที่ชูอี้เสิ่นอย่างเย็นชา สายตาของเขาแวบประกายอาฆาต ชูอี้เสิ่นกำลังที่จะดึงมือ มู่หรงเสวี่ยเพื่อที่จะอุ้มออกไป “นายเป็นใคร?”
เมื่อวานที่ชูอี้เสิ่นเจอฮวงฟูอี้ เขากำลังหลับอยู่ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้เจอกันอีกดังนั้นฮวงฟูอี้จึงไม่รู้จักชูอี้เสิ่นเลยสักนิด

ชูอี้เสิ่นหยุดและมองไปที่ชายที่อยู่บนเตียงที่บอกว่ามีความทรงจำของเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น เขานอนเอนหลังอย่างสบาย สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและท่าทางเขาไม่ได้เหมือนคนที่สูญเสียความทรงจำอะไรเลย เขาเองก็เริ่มที่จะมองอย่างเย็นชาเช่นกัน มู่หรงเสวี่ยเห็นเขาน้องชาย เดิมทีเขาก็ไม่ได้อยากที่จะเข้ามายุ่งด้วยแต่ถ้าเขาหลอกมู่หรงเสวี่ย มันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย “นายฟื้นความทรงจำแล้ว!” น้ำเสียงมั่นใจ ไม่ใช่คำถาม

สายตาของฮวงฟูอี้แวบประกายและพูดออกมาว่า “นายกำลังพูดเรื่องอะไร? นายอยากจะพาพี่สาวฉันไปไหน?” เขากอดแขนแน่นขึ้นอีก เขาจะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาเอาตัวมู่หรงเสวี่ยไปจากเขาได้ยังไง

ชูอี้เสิ่นมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่กำลังหลับ เมื่อวานเธอคงจะเหนื่อยมากถึงยังได้ไม่ตื่นแบบนี้ เขามองชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาพร้อมเสียงที่เบาลง “มันไม่เกี่ยวอะไรกับนาย ปล่อยซะ”
“นายต่างหากที่ต้องปล่อย!” ฮวงฟูอี้ไม่ยอมแพ้เลยสักนิด
หลังจากนั้นสักพักมู่หรงเสวี่ยก็พึมพำและค่อยๆลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นสักพักเธอก็เห็นเหตุการณ์แปลกๆที่อยู่ตรงหน้า เธอถามด้วยเสียงงัวเงียและแหบเล็กน้อย “พวกพี่กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?”

ทั้งสองรีบปล่อยมือออกจากกัน ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มและถูไปที่จมูกของมู่หรงเสวี่ย “นี่เธอเป็นหมูหรือไง?! ถึงได้นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้…”

มู่หรงเสวี่ยมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงอาทิตย์จ้า ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ “พี่สิเป็นหมู…” เธอแทบจะไม่ค่อยตื่นสายเลย

ชูอี้เสิ่นแตะไปที่หัวเธอแล้วก็จับมือเธอและพูดว่า “ลุกได้แล้ว ฉันทำอาหารเช้าไว้ มันอาจจะไม่ได้อร่อยเหมือนของเธอแต่ก็นะ…” สายตาที่เหลือของเขาจ้องไปที่ฮวงฟูอี้ที่มีสีหน้าเย็นชาและเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
มู่หรงเสวี่ยถูกดึงลุกขึ้นมายืนแต่ฮวงฟูอี้ที่อยู่ข้างหลังเธออยู่ดีๆก็กอดเอวเธอไว้และพูดเสียงกระซิบต่ำ “พี่สาว…” น้ำเสียงดูจะค่อนข้างไม่พอใจเล็กน้อย

“มีอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามกลับ
“เช้านี้พี่สาวยังไม่พูดอรุณสวัสดิ์ผมเลยนะ…” เขาเอาหัวมาวางที่หลังของมู่หรงเสวี่ยและลมหายใจร้อนๆของเขาก็ทะลุผ่านเข้าไปผ่านชั้นเสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ย

ความรู้สึกขนลุกแปลกๆที่ด้านหลังทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเพียงแค่ค่อยๆดึงมือ ฮวงฟูอี้ออกอย่างอ่อนโยน หันหัวกลับไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอี้ อรุณสวัสดิ์จ๊ะ! ได้เวลาลุกแล้วนะ…”

ชูอี้เสิ่นมองฮวงฟูอี้ด้วยสายตาเย็นชา ในสายตาเขามีประกายดำมืด สีหน้าเขาไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แต่สายตากลับจ้องมาที่ฮวงฟูอี้

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่สาว ไปแปรงฟันด้วยกันเถอะ…” แล้วเขาก็ดึงมืออีกข้างของมู่หรงเสวี่ยให้ออกห่างจากชูอี้เสิ่น
ชูอี้เสิ่นฝืนอยู่เล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยไป
มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกว่าสองคนนี้มีเรื่องขัดแย้งกัน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ถูกต้อง แต่เช้านี้เธอก็ตื่นมาไม่ทันได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น?! เธอค่อยฝืนดึงมือออกจากมือของชายทั้งสองและพูดออกมาว่า “โอเค ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว…” แล้วเธอก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่สนใจชายทั้งสองคนอีก

เธอรู้อารมณ์ของฮวงฟูอี้ดี ก่อนหน้านี้ที่เพื่อนๆเธอแวะมาเขาก็ไม่ชอบคนแปลกหน้า งั้นเขาอาจจะไม่ค่อยชอบพี่ชูด้วย ส่วนพี่ชูก็ไม่พอใจที่เมื่อคืนเธอนอนกับเสี่ยวอี้ เธอปวดหัวนิดหน่อยแต่เธอก็รู้ว่าพี่ชูดีกับเธอมาก

ชูอี้เสิ่นมองไปที่ฮวงฟูอี้และพูดว่า “หน้าไม่อายจริงๆ!”

“ไม่เท่ากับนายหรอก!” ฮวงฟูอี้ตอบกลับ
ชูอี้เสิ่นแสยะ “ยังไง?! นายไม่ได้แกล้งทำงั้นเหรอ แกล้งทำเป็นไอ้โง่เพื่อที่จะอยู่ข้างๆเสี่ยวเสวี่ย นี่มันร้ายกาจและเจ้าเล่ห์จริงๆ แค่คิดถึงท่าทางของเสี่ยวเสวี่ยเมื่อวานก็น่ารังเกียจพอแหละ ถ้าเธอรู้ว่าน้องชายสุดที่รักของเธอแกล้งทำ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอจะเสียใจมากแค่ไหน?!”
“นายอยากจะบอกเธอไหมล่ะ ลองดูว่าเธอจะเชื่อนายหรือฉันกันแน่?” ฮวงฟูอี้ยกมุมปากขึ้นเพียงแต่ว่าในใจกลับรู้สึกได้ถึงความยากลำบาก

ฮวงฟูอี้ไม่ได้มองชูอี้เสิ่นแล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นเดินตรงออกไปเพื่อที่จะกลับไปห้องของตัวเองและอาบน้ำล้างหน้าล้างตา แต่สิ่งนี้ก็บอกอะไรเขาได้บางอย่างว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาฟื้นความทรงจำแล้ว

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยอาบน้ำเสร็จและเดินลงมา เธอก็เห็นว่าพี่ชูเตรียมอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วและแม้แต่ฮวงฟูอี้ก็มานั่งรอแล้วด้วยเหมือนกัน

เธอหัวเราะและรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดกึ่งติดตลก “พี่ชูช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีจริงๆ ฉันอิจฉาภรรยาในอนาคตของพี่ชูจริงๆเลย…”

อาหารเช้าวางอยู่เต็มโต๊ะ มีทั้งข้าวต้มและกับข้าวจานเล็กๆอีกหลายจานจนทำรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาเลย นอกจากนี้เพราะอาหารพวกนี้ก็ทำมาจากวัตถุดิบที่เธอเอามามิติลับแล้วใส่ตู้เย็นไว้ ฝีมือจึงไม่ได้ต่างไปจากเธอเลย เธอลองชิมและรสชาติมันอร่อยมากๆ

ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มและพูดเสียงเบา “ลืมไปแล้วหรือไง? ว่าเรามีข้อตกลงอะไรกัน เธออาจจะต้องอิจฉาตัวเองก็ได้นะ ฮ่าฮ่า!” เมื่อวานตอนที่เธอรับปากเขา หัวใจเขาถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วก็กลายเป็นความดีใจอย่างท่วมท้น อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะแสดงออกมาหรอกเพราะกลัวว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้

มู่หรงเสวี่ยถามแล้วก็นึกได้ว่าพี่ชูพูดถึงเรื่องอะไร แล้วเธอเองก็หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน “ฉันคงไม่ได้รับเกียรติขนาดนั้นหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า!” อันที่จริงเธออยู่กับพี่ชูมานานจึงคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกที่ไม่ได้จริงจังอะไร

ฮวงฟูอี้มองท่าทางสนิทสนมและการพูดคุยอย่างมีความสุขของพวกเขา สีหน้าเขาขรึมขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาเองก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เขาเดินไปอยู่ระหว่างชูอี้เสิ่นและ มู่หรงเสวี่ย เพื่อที่จะแยกพวกเขา เขาหันมาหามู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาว่า “พี่สาว ผมหิวแล้ว…”
“เสี่ยวอี้ เดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้นะ…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่โต๊ะ มีถ้วยข้าวต้มเพียงสองถ้วย เดาว่าพี่ชูคงยังไม่มีเวลาที่ยกมาให้เธอ

อันที่จริงตอนนี้ชูอี้เสิ่นอยากที่จะกระชากหน้ากากที่น่ารังเกียจของฮวงฟูอี้ เขาเกลียดคนแบบนี้จริงๆแต่เสี่ยวเสวี่ยแคร์เขามาก อันที่จริงหลักๆก็เป็นเพราะเวลาที่เสี่ยวเสวี่ยอยู่กับฮวงฟูอี้เธอไม่ได้ดูเย็นชาและน่ากลัวเหมือนตอนที่เลิกกับชางกวนโม่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้กลับมาคืนดีกันแต่เสี่ยวเสวี่ยก็ยังคิดถึงเขาอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยต้องเสียใจเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง

แต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้รักษาแผลใจ
แน่นอนว่าฮวงฟูอี้รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้ากำลังคิดอะไรแต่เขาจะทำให้ชายตรงหน้ามีความสุขได้ยังไงล่ะ? ถึงแม้เขาจะยังไม่ฟื้นความทรงจำ มู่หรงเสวี่ยก็ยังเป็นคนพิเศษ เขารู้สึกได้แต่ว่าเป็นความพิเศษประเภทไหน เขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นแต่สักวันเขาจะต้องเข้าใจ
ชายทั้งสองเพียงแค่สู้กันด้วยสายตาเพราะเสี่ยวเสวี่ย ยังไงซะทั้งคู่ก็ไม่อยากที่จะทำให้เสี่ยวเสวี่ยต้องเสียใจ ถ้าพวกเขาทะเลาะกันมู่หรงเสวี่ยก็จะต้องเสียใจ

มู่หรงเสวี่ยวางถ้วยข้าวต้มไว้ตรงหน้าฮวงฟูอี้และนั่งลง “กินข้าวเถอะ จะเย็นหมดแล้ว…”

“เสี่ยวเสวี่ย วันนี้ไม่ไปมหาลัยเหรอ?” ชูอี้เสิ่นถามเพราะเดี๋ยวเขาต้องออกไปบริษัทแต่ก็ไม่อยากที่จะทิ้งมู่หรงเสวี่ยไว้ลำพังกับไอ้งูพิษนี่

อีกอย่างเขายังไม่รู้วัตถุประสงค์ของฮวงฟูอี้ว่ามาเข้าใกล้เสี่ยวเสวี่ยเพราะอะไร เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมากและเขาก็ยังหาต้นตอของฮวงฟูอี้ไม่เจอด้วยซึ่งยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงเข้าไปอีก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้แล้วกระซิบออกมาว่า “วันนี้ฉันไม่อยากไปเรียนเลย คนพวกนั้นยังอยู่ในบ้านฉัน ฉันไม่ค่อยมั่นใจ…” ถึงแม้หลงอี้จะดูไม่มีเจตนาร้ายอะไรแต่ใครจะรับรองเรื่องนี้กับเธอได้ล่ะ แม้แต่ในชีวิตที่แล้วเธอก็ยังเคยถูกคนที่รักที่สุดแทงข้างหลังได้เลย

เพราะเขาอีกแล้วงั้นเหรอ?! ชูอี้เสิ่นจ้องไปที่ฮวงฟูอี้เมื่อ มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจ เขารู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยชอบเรื่องทักษะทางการแพทย์มากแค่ไหนและตอนนี้เขาอยากที่จะบอกเสี่ยวเสวี่ยไปตรงๆว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นเพื่อไอ้ผู้ชายหลอกลวงคนนี้หรอก แต่จิตใต้สำนึกก็ไม่อยากให้เสี่ยวเสวี่ยต้องกลับไปเป็นแบบเดิมอีก

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอ เธอก็ทำให้เขารู้สีกราวกับว่าเป็นหยดน้ำในวันที่แห้งแล้ง เป็นแสงสว่าง เป็นความอบอุ่น เป็นพลังวิเศษที่ให้เขาได้ดื่มด่ำทุกครั้งและไม่เคยหนีไปไหน

แต่เมื่อไม่นานมานี้ช่วงเวลาที่มู่หรงเสวี่ยร้องไห้แทบขาดใจ เธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและทิ้งตัวมาในอ้อมกอดเขาจนถึงขนาดร้องไห้จนเป็นลม แต่หลังจากนั้นเมื่อเธอหยุดร้องไห้แต่มันกลับทำให้เขายิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก แม้แต่รอยยิ้มของเธอก็เยือกเย็นราวกับว่าเธอเปลี่ยนเป็นคนละคนภายในชั่วข้ามคืน
เขายังจำได้ว่าตอนนี้เขาร้อนรนมากแค่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมู่หรงเสวี่ยเป็นแบบนั้น ถึงแม้เธอจะยังหัวเราะได้แต่ก็ดูเหมือนกับว่าเธอปิดกั้นไม่ให้ใครเข้ามาในหัวใจได้เลย

จนกระทั่งเขาได้ยินว่าเพื่อนสนิทของเธอมา รอยยิ้มของเธอก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป จนกระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นห่วงฮวงฟูอี้และดูเหมือนจะอดทนกับเขามากด้วย ตอนนี้รอยยิ้มของเธออบอุ่นมากอาจจะเป็นเพราะบาดแผลในหัวใจของเธอค่อยหายไปทีละนิด

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเปิดโปงเรื่องความหลอกลวงของฮวงฟูอี้เลย เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นคนที่ผลักให้เสี่ยวเสวี่ยต้องลงเหวไปอีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาต้องเข้ามายุ่งกับปัญหาของเสี่ยวเสวี่ย เขาก็มักจะคิดอย่างรอบคอบตลอด

หลังจากนั้นสักพักชุอี้เสิ่นก็พูดออกมา “เสี่ยวเสวี่ย แต่มันก็ไม่ดีสำหรับเธอเท่าไรนะที่จะขาดเรียนด้วยเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะบอกให้การ์ด 10 คนมาช่วยเฝ้าที่ประตูให้ดีไหม?! ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ เมื่อกี้อยู่ดีๆชายสามคนนั้นก็ออกไป งั้นเธอไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ…” พูดง่ายๆคือ เขาพยายามที่จะลดความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ เมื่อคืนเขาคิดว่าหลังจากที่เขาคุยกับเสี่ยวเสวี่ยไปแล้ว เธอก็คงไม่นอนกับไอ้หมอนี่แล้ว ไม่คิดว่าภาพที่เขาเห็นเมื่อเช้ามันจะทิ่มแทงเขาขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ยอมปล่อยฮวงฟูอี้ไปแน่ๆ ผู้ชายคนนี้จะต้องไม่รอดไปได้ง่ายๆ

“อะไรนะ?! พี่จะบอกว่าหลงอี้กับพวกกลับไปแล้วเหรอ?” เมื่อวานเขายังขอร้องมู่หรงเสวี่ยเพื่ออนุญาตให้เขาอยู่ต่ออยู่เลย

“อยู่ดีๆหลงอี้ก็เหมือนว่าจะได้รับคำสั่ง เขารับโทรศัพท์แล้วก็รีบกลับไป…” ชูอี้เสิ่นเองก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยและเขาสงสัยอยู่ว่าชายที่อยู่ปลายสายจะเป็นใคร

มู่หรงเสวี่ยมองด้วยสายตาเป็นกังวลไปที่ฮวงฟูอี้แล้วจึงพูดออกมา งั้นเดี๋ยวฉันไปเรียนแล้วกัน…” อีกอย่างพี่ชูก็พูดถูก ถ้ามีคนมาเฝ้างั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากนี้เธอก็อยากที่จะไปถามศาสตราจารย์ไป๋เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ของฮวงฟูอี้ด้วย

ชูอี้เสิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก “ตอนนี้เธอยังต้องโฟกัสกับเรื่องการเรียนด้วย ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะให้คนมาเฝ้าอย่างดีเลย…”

อย่างไรก็ตามฮวงฟูอี้ที่เงียบอยู่นาน อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สาว ผมขอไปเรียนด้วยได้ไหม? ผมไม่อยากที่จะอยู่บ้านคนเดียว…” ถ้าเขาต้องอยู่คนเดียว แล้วการอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไรล่ะ มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เสี่ยวอี้ เชื่อฟังนะ พี่สาวพานายไปเรียนด้วยไม่ได้…” ทางมหาลัยไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปแน่ๆ

“งั้นพี่สาวจะกลับมาตอนไหนฮะ?”
“ฉันจะกลับมาตอนบ่ายๆ ถ้านายเบื่อก็ลองเปิดทีวีดูไปก่อนดีไหม? ถ้าไม่งั้นนายจะเล่นเกมหรืออะไรก็ได้…” ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าฮวงฟูอี้สนใจเรื่องอะไร เวลาส่วนใหญ่เขาก็มักจะเดินตามเธอตลอด แม้แต่ตอนที่เธอจะไปเรียนเขาก็อยากที่จะตามเธอไปด้วย แต่มันไม่ได้อยู่แล้ว

ดูทีวีงั้นเหรอ?! เล่นเกมงั้นเหรอ?! เขาจะทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นได้ยังไง…ในเมื่อเธอจะไปเรียน งั้นเขาออกไปที่ออฟฟิศสาขาเพื่อจัดการงานต่างๆดีกว่า เดาว่าช่วงที่ผ่านมาคงมีปัญหาเยอะแน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเขาจะสร้างปัญหาอีกเมื่อเห็นเขาก้มหัวลงและไม่ยอมพูดอะไร เธอจึงลูบไปที่ผมของเขาด้วยรอยยิ้มและพูดปลอบเขาอย่างอ่อนโยน “พี่สาวจะรีบกลับมาทันทีเลยนะ ไม่ต้องเศร้านะ…”

ปากของฮวงฟูอี้ยกขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ก้มหัวอยู่ บางทีมันอาจจะไม่ดีเท่าไร มู่หรงเสวี่ยปฏิบัติกับเขาเหมือนกับเป็นเด็กๆ

ชูอี้เสิ่นหัวเราะ เขาน่าจะพอเดาความคิดของฮวงฟูอี้ได้ ใช่จริงๆด้วย ต่อไปเสี่ยวเสวี่ยก็จะต้องมองเขาเป็นเพียงน้องชายของเธอ เมื่อมันเริ่มต้นด้วยรูปแบบนี้แล้ว มันก็ยากที่จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นในอนาคต