***
เมื่อได้ยินว่าบลิสจัดแฟชั่นโชว์ อาซจึงไปตามหาเธอที่ห้องนอน แต่กลับไม่พบบลิสอยู่ที่นั่น
“คงจะเพลียเลยหลับไปอย่างกะทันหันค่ะ พระชายาอุ้มไปนอนที่ห้องข้างๆ แล้วค่ะ”
“พระชายาอุ้มไปงั้นหรือ”
อาเรียยอมทำอะไรแบบนั้นด้วยหรือ แม้จะเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง แต่ดูเหมือนอาซจะรู้สึกพอใจขึ้นมา
จะว่าไปแล้วเมื่อวันก่อนที่อาเรียยิ้มแย้มพร้อมบอกว่าจะดุด่าบลิสนั้น ดูเหมือนเธอเองก็รู้สึกดีๆ ต่อบลิสด้วยเช่นกัน
‘หรือจะรู้สึกอะไรบางอย่างไปตามสัญชาตญาณนะ’
แม้บลิสจะยังเด็กอยู่ แต่อาเรียก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ผู้ที่หลอกลวงเธอรอดตัวไปได้ง่ายๆ
ถึงแม้จะไม่รู้ถึงสาเหตุที่เธอทำเช่นนั้น แต่อาซก็รู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินว่าอาเรียช่วยดูแลบลิสอยู่ และแน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าคำโกหกจะถูกเปิดโปงออกมาเมื่อไหร่
และก็ไม่รู้ด้วยว่าในระหว่างนั้นอาเรียได้สังเกตเห็นอะไรไปแล้วหรือไม่
อาซหมุนตัวกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องที่ข้ารับใช้บอกไว้
“บลิส”
อย่างที่ข้ารับใช้บอก บลิสอยู่ในสภาพที่นอนหลับตาแน่น และอาเรียก็ออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว
แม้จะเรียกชื่อแต่ก็ไม่ขยับตัวใดๆ ดูเหมือนบลิสไม่ได้แกล้งหลับจริงๆ ท่าทางความเหนื่อยล้าที่สะสมมาคงจะปะทุออกมาแล้ว
‘…แต่ทำไมขอบตาถึงเปียกแบบนั้นล่ะ’
ขอบตาของบลิสเปียกอยู่อย่างกับเธอร้องไห้ออกมา
ถูกอาเรียดุด่าอะไรมางั้นเหรอ อาซพยายามคาดเดาพร้อมกับทอดสายตามองดูบลิสนิ่งๆ
“แม่คะ…”
ราวกับจะอธิบายเหตุผลให้อาซฟัง บลิสกำผ้าห่มแน่น เธอร้องเรียกหาอาเรียพร้อมทั้งขอบตาเปียกชุ่ม
‘อุตส่าห์บอกกับตัวเองว่าจะมาสั่งสอนให้เต็มที่แท้ๆ’
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วอาซก็ดุด่าเธอไม่ลง เขารู้สึกเพียงแค่ว่าบลิสน่าสงสารเท่านั้น
ยิ่งบลิสหน้าตาเหมือนอาเรียมากขนาดนี้ ยิ่งทำให้อาซรู้สึกอึดอัดใจ ทั้งที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรทั้งนั้น แต่กลับรู้สึกผิดขึ้นมา
ไม่สิ เขารู้สึกว่าความคิดที่จะดุด่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ และน่าสงสารแบบนี้นั้น ดูจะเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเอาเสียเลย
‘…เริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้วสิว่าทำไมตัวฉันในอนาคตถึงได้เลี้ยงดูบลิสแบบนี้’
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้เธอกำลังนอนหลับอยู่ด้วยรึเปล่า แต่ถ้าบลิสแกล้งทำตัวน่าสงสารหรือทำตัวออดอ้อนน่ารักๆ เพื่อขอให้ยกโทษให้แล้วละก็ แน่นอนว่าเขาคงทำใจดุด่าเธอไม่ลงแน่ๆ
อาซถอนหายใจและล้มเลิกสิ่งที่ตนเองคิดจะทำก่อนหน้านี้
นั่นสินะ มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปดุด่าเด็กตัวน้อยๆ ที่ตั้งใจย้อนเวลากลับมายังอดีต เพื่อห้ามไม่ให้เกิดตนขึ้นมาด้วยนะ
‘แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะเตือนให้หัดระวังเอาไว้บ้าง’
เพราะการทำตัวให้เป็นที่สะดุดตานั้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
แม้จะไม่รู้ว่าเตือนไปแล้วบลิสจะเชื่อฟังหรือไม่ ไม่สิ ท่าทางเธอคงไม่เชื่อฟังที่เตือนไปหรอก…
โดยที่ไม่รู้ตัว จู่ๆ อาซก็จินตนาการถึงภาพที่บลิสทำหน้าบึ้งและตอบเขากลับมาว่าเข้าใจแล้วค่ะ แต่ในไม่ช้าเธอก็เที่ยวเตร่ในพระราชวังอย่างสนุกสนาน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาลูบตาตัวเอง
วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว คงต้องรีบไปพบหน้าอาเรียเพื่อเติมพลังหน่อยแล้ว
***
เพราะดึกมากแล้ว จึงได้เวลาที่ซาร่าและแขกคนอื่นๆ จะกลับไปยังบ้านตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นถือว่าอาซมาหาอาเรียได้ถูกจังหวะพอดี เพราะการพบปะพูดคุยของพวกเธอสิ้นสุดลงแล้ว
“ดูเหมือนผมจะมารบกวนช่วงเวลาสนุกๆ แล้วสิครับเนี่ย”
หลังจากอาซทักทายด้วยคำพูดที่ไม่ตรงกับใจจริง ซาร่าก็โบกมือไปมาราวกับบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้นเลย
“ไม่ใช่เลยค่ะ! นี่ก็ดึกมากแล้ว ดิฉันต่างหากที่รบกวนเวลามาสักพักแล้ว”
ซาร่าทอดสายตาไปทางเจสซี่และแอนนี่ราวกับจะชักชวนให้กลับตอนนี้
แอนนี่เห็นด้วยและตอบตกลง เธอพูดทิ้งท้ายด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด
“พระชายาค่ะ! เรื่องที่ดิฉันทูลให้ทราบวันนี้ ถือเป็นความลับจนถึงวันพรุ่งนี้นะคะ! พรุ่งนี้ดิฉันจะมาอีกครั้งและประกาศมันออกมาค่ะ เพราะอย่างนั้นแล้วทุกคนต้องมานะคะ มาให้ได้นะคะ! เข้าใจใช่ไหมคะ”
เมื่อเห็นแอนนี่แจ้งล่วงหน้าว่าให้มาพบกันในวันพรุ่งนี้อย่างแน่วแน่แล้ว ซาร่าก็ยิ้มและพยักหน้าตกลง
ที่ซาร่าตกลงไม่ได้เป็นเพราะเธอคาดหวังว่าแอนนี่จะพูดอะไร แต่เป็นเพราะอยากมาเจอกับบลิสนั่นเอง
ซาร่ายุ่งเอามากๆ เพราะนอกจากต้องรับหน้าที่ดูแลวิทยาลัยตามที่อาเรียขอร้องแล้ว เธอยังต้องดูแลบ้านเด็กกำพร้าที่ตนเองก่อตั้งขึ้นมาอีกด้วย ออกจะหักโหมนิดหน่อยเพื่อให้ได้มาเจอบลิส แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลยสำหรับเธอ
“เข้าใจแล้วค่ะ อย่างไรดิฉันก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้วค่ะ วันนี้ดิฉันได้มาเจอกับทุกคนช่วงระหว่างวัน เลยเล่นกับเลดี้บลิสได้ไม่นานเท่าไหร่นี่คะ อ๊ะ! เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องซื้อเค้กหวานๆ มาเสียหน่อยแล้ว จากที่เห็นเมื่อครู่ดูเลดี้บลิสจะชอบทานของหวานนะคะ”
“มาร์เชอเนสวินเซนต์ก็น่าจะเตรียมของขวัญมาให้ดิฉันด้วยนะคะ”
แอนนี่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ซ่อนความหมายบางอย่างไว้ ซาร่าสงสัยว่าเหตุใดแอนนี่ถึงพูดแบบนั้น
ซาร่าเอียงคอสงสัยอยู่สักพักก่อนจะขอตัวกลับ และออกไปจากห้องรับรองพร้อมกับแอนนี่และเจสซี่
“นี่ผมคงไม่ได้มารบกวนเวลาอยู่กับเพื่อนๆ ของอาเรียหรอกใช่ไหมครับ”
“คิดอย่างนั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นให้ฉันเรียกพวกเขาเข้ามาอีกครั้งดีไหมคะ”
อาเรียโต้ตอบกลับไปด้วยคำพูดล้อเล่นที่ไม่จริงจัง อาซจึงยิ้มขึ้นมา
“ถ้าอยากทำแบบนั้นก็ได้ครับ แต่เกรงว่าคงจะได้เห็นผมร่ำร้องออกมาแน่ๆ”
“ตายจริง ฉันคิดไม่ถึงเลยนะคะเนี่ย คงจะอึดอัดน่าดู อยากเห็นสภาพนั้นของอาซขึ้นมาเลยค่ะ”
อาเรียตอบออกมาพร้อมกับกลอกตาไปมาราวกับจินตนาการถึงภาพนั้นอยู่ อาซที่เห็นเช่นนั้นก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
อาซรู้สึกเหมือนกับว่าพละกำลังที่ลดหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ได้กลับคืนมาในทันที
เขาโอบเอวอาเรียซึ่งลุกขึ้นมาจากเก้าเก้าอี้อย่างสง่างามราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งที่กำลังสยายปีก
“ถ้าอยากเห็นขนาดนั้น ผมคงต้องโชว์ให้เห็นแล้วละสิครับ แต่เอาเป็นหลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จนะครับ เพราะมันไม่ใช่สีหน้าที่คนอื่นควรจะมองเลยไงล่ะครับ”
“ฉันจะรอดูนะคะ”
ทั้งคู่พูดจาหยอกล้อกันไปมาทีเล่นทีจริง และพากันไปยังห้องอาหารในทันที
บรรยากาศดูอบอุ่นไม่ต่างจากปกติ
ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะแค่รู้สึกดีใจที่ได้เจออาเรีย หรือเป็นเพราะเธอไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเป็นพิเศษกันแน่
อาซไม่ทันสังเกตเลยว่าเธอรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของบลิสแล้ว จนถึงตอนที่เขานั่งลงตรงข้ามเธอ และเริ่มลงมือรับประทานอาหารนั่นเอง
“บลิสน่ะ ใช่ลูกของฉันที่มาจากอนาคตรึเปล่าคะ”
“…”
เธอตักสลัดเข้าปากและพูดออกมาราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร อาซคว้าส้อมในมือที่เกือบจะทำตกลงไปอย่างหวุดหวิด
“ดูท่าจะใช่สินะคะ ถึงว่าสิ หลักฐานออกจะชัดเจนเสียขนาดนี้ ฉันโง่เองที่เพิ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้”
เพราะอาซแสดงออกมากเกินไป อาเรียจึงตระหนักได้ว่าเธอคาดเดาได้ถูกต้องโดยที่ไม่ต้องฟังคำตอบของอาซ
แม้จะไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่เพราะเธอได้ประสบกับเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาหลายๆ อย่างแล้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากจะยอมรับสักเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น-
‘คงต้องไปขอโทษคุณพ่อซะแล้วสิ’
สิ่งแรกที่อาเรียคิดคือต้องขอโทษมาร์ควิสเปียสต์ที่ถูกเธอสงสัยไปอย่างเปล่าประโยชน์
เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้คบกันอย่างโรแมนติกเลย อาเรียจึงเผลอสงสัยไปโดยไม่รู้ตัวว่าพ่อของเธออาจจะมีผู้หญิงคนอื่นด้วยก็ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่เธอสงสัยเสียแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวที่เจ้าตัวไม่รู้ จึงไม่จำเป็นต้องขอโทษและอธิบายแต่ละอย่างออกไปโดยละเอียด
แค่เพียงไปพบหน้าพร้อมกับของขวัญ และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบก็เพียงพอแล้ว
“…ใช่แล้วครับ”
อาซตอบกลับมาในภายหลัง พร้อมทั้งรอยยิ้มที่ได้กลับมาจากการพบอาเรียก็หายออกไปด้วย
“แล้วอาซรู้เหตุผลที่บลิสย้อนเวลากลับมาอดีตหรือเปล่าคะ”
“เรื่องนั้น…”
อาซไม่สามารถพูดต่อไปได้ อาซไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถตอบคำถามนั้นได้หรือไม่ หากว่าไม่ได้เห็นภาพที่บลิสร้องไห้มาก่อน แต่นี่เขาเห็นเธอร้องไห้มาแล้ว
และนั่นก็คือเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นี่เอง เขาไม่อยากทำให้ความพยายามในการสร้างความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสุขของบลิสต้องจบลงภายในเวลาสองวันโดยน้ำมือตัวเอง
เมื่ออาซไม่สามารถตอบในสิ่งที่อาเรียถามได้ อาเรียก็วางช้อนซ้อมลง แล้วถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“หรือเป็นเพราะฉันเฆี่ยนตีบลิสรึเปล่าคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ! ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันได้ละเลยเธอหรือเปล่า”
“นั่นก็ไม่ใช่ครับ”
“ดุด่าเธออย่างรุนแรงเหรอ”
“ไม่ใช่แน่นอนครับ”
เมื่อเห็นอาซปฏิเสธเสียงแข็งจนถึงที่สุด อาเรียก็คลายความกังวลในใจออกมาโดยไม่เป็นที่สังเกต
เธอกังวลว่าเหตุผลที่ทำให้บลิสย้อนเวลากลับมา อาจเป็นเพราะถูกเธอรังแกก็ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
‘ถ้าอย่างนั้นบลิสย้อนกลับมาในอดีตทำไมกันล่ะ’
หากย้อนกลับมาเพื่อเล่นสนุกแล้วละก็ เธอควรจะกลับไปหลังจากก่อเรื่องขึ้นมาแล้วสิ
แต่ถ้าดูจากที่บลิสยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ แสดงว่าเธอต้องมีเหตุผลสำคัญอะไรอยู่แน่ๆ อาเรียคิด
“อย่างนั้นหรือคะ งั้นทำไมล่ะคะ อาซรู้เหตุผลที่แท้จริงใช่ไหมคะ”
“ผม..รู้ครับ”
ทว่าสีหน้าของอาซกำลังบอกว่าเขาไม่อยากพูดมันออกมา
“ถ้ารู้ไปในตอนนี้ คุณจะเสียใจเอานะครับ”
ไม่ว่าจะรู้เหตุผลที่แท้จริงเข้าตอนไหน ก็ปวดใจเหมือนกัน แต่ถ้าบอกให้รู้ในตอนนี้ คงจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งกว่า
‘ไม่สิ บางทีหากพูดออกไปตอนนี้อาจจะดีกว่าก็ได้’
หากใช้เวลาร่วมกันไปจนถึงวันราชาภิเษก แล้วเกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นมา อาจจะลำบากมากขึ้นก็เป็นได้
แม้จะรู้ว่าสุขภาพร่างกายของตนเองต้องทรุดโทรมลง อาเรียก็อาจจะยังเลือกให้กำเนิดบลิสก็เป็นได้
เดี๋ยวนะ แล้วตัวเขาเองล่ะ จะยอมรับการตัดสินใจนั้นได้รึเปล่า
‘ทั้งที่อาเรียตัดสินใจว่าจะเสียสละตัวเอง เพื่อให้ลูกได้เกิดมา’
เมื่อตระหนักได้ว่าปัญหาที่ไม่คาดคิดกำลังรอเขาอยู่ข้างหน้า อาซก็ตัวแข็งทื่อไม่แม้แต่จะกะพริบตา
แม้การตัดสินใจของอาเรียจะสำคัญมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาเรียก็บลิสอยู่ดี
‘…แน่นอนว่าเขาควรจะเลือกอาเรีย และมันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น…’
แต่เขาจะยอมตัดใจจากบลิสที่ชอบอาเรียมากถึงขนาดยอมสละชีวิตของตนเองได้หรือ
เขาจะสามารถห้ามไม่ให้อาเรียให้กำเนิดบลิสทั้งๆ ที่เธอรู้ความจริงได้จนถึงที่สุดหรือเปล่า
อาเรียทอดสายตามองอาซนิ่งๆ เธอถือซ้อมเอาไว้ในมือและเริ่มทานอาหารอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ ไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันไม่ได้ถามเพราะตั้งใจจะทำให้รู้สึกลำบากใจหรอกนะคะ ถ้าลำบากใจขนาดนั้น คุณจะทุกข์ใจเอาเปล่าๆ”
เธอไม่ได้พูดจาเรื่อยเปื่อยหรือล้อเล่น ถ้าทำได้เธอคงหยุดทานข้าวแล้วเอาแขนรัดคออาซเพื่อเค้นคำตอบจากปากของเขาไปแล้ว
แต่เพราะท่าทางเขาดูแปลกไปจนอาเรียอยากให้เขายั้งคำตอบเอาไว้เสียจะดีกว่า
“ฉันจะหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองค่ะ ในเมื่อนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมากมาย ก็แค่ความลับของเด็กอายุเจ็ดขวบเท่านั้นนี่คะ”
อาเรียยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอไม่ได้ต้องการให้อาซหัวเราะออกมา แต่เพราะสีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดมาก เธอจึงอยากให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเท่านั้น
“…ครับ อย่างนั้นแหละครับ อีกไม่นานคุณคงจะรู้เอง อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นแหละครับ เพราะไม่มีใครหลักแหลมได้เท่านั้นพระชายาของผมแล้วนี่”
อาซพยายามจะพูดจาหยอกล้อให้เข้ากับคำพูดที่ไม่จริงจังของอาเรีย แต่สีหน้าตอนที่เขาตอบกลับมาไม่ได้ดูดีขึ้นเลย
เพราะอย่างนั้น อาเรียจึงรู้สึกหม่นหมองขึ้นมา ความรู้สึกกระวนกระวายใจที่เธอไม่คุ้นเคยกำลังถาโถมเข้ามา
รู้สึกเหมือนกับว่าครั้งต่อไป เธออาจจะต้องเห็นอาซร้องไห้ขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
***
วันถัดมาบลิสลืมตาต้อนรับยามเช้าอย่างผ่าเผย ไม่เหมือนกับตอนที่ร้องไห้หาอาเรียเลย
“ตายจริง ล้างหน้าเก่งจังเลยนะคะ”
บลิสตั้งใจล้างหน้าอย่างขยันขันแข็งอย่างกับว่ามีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง เธอเลือกใส่ชุดเดรสที่สวยที่สุดในบรรดาชุดที่ซื้อมาแล้วรีบออกไปจากห้องของตนเอง
“คุณหนูคะ! จะไปไหนหรือคะ! คุณหนูต้องทานมื้อเช้าก่อนนะคะ! ”
“ฉันจะทานมื้อเช้ากับพระชายา! ”
“คะ! ”
แม้มื้อเย็นจะทานร่วมกันก็ตาม แต่อาเรียมักจะทานมื้อเช้ากับอาซแค่สองคนเสมอ
หากไม่นับตอนที่มีงานสำคัญแล้ว เวลารับประทานอาหารถือเป็นเวลาส่วนตัวของทั้งสอง
เมื่อได้ว่าบลิสจะเข้าไปแทรกระหว่างสองคนนั้นแล้ว ข้ารับใช้ก็ตกใจตาเบิกโพลงขึ้นมา
เธอรีบวิ่งตามบลิสซึ่งกำลังวิ่งเข้าไปในห้องนอนของพระชายาและองค์รัชทายาท
“พระชายา! กินข้าวเช้ากันเถอะ! ”
แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะห้องของบลิสอยู่ใกล้กับห้องอาเรียมาก
ซ้ำร้ายที่ประจวบเหมาะกับตอนที่อาเรียกำลังจะไปยังห้องอาหารพอดี เมื่อประตูถูกเปิดออกจึงเห็นอาเรียเข้าในทันที
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พระชายา”
ข้ารับใช้รีบก้มหัวเพราะกลัวว่าจะโดนตำหนิที่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำอันไร้มารยาทของบลิสได้
“ก็ได้ งั้นกินพร้อมกันแล้วกัน”
ทว่าไม่รู้ว่านั่นเป็นโชคดีหรือโชคร้ายอาเรียถึงได้ไม่ตำหนิข้ารับใช้เลย กลับกันสีหน้าของอาเรียดูจะเห็นดีด้วย
“อื้ม! อื้ม! รีบไปกันเถอะ! ”
อาเรียยิ้มร่าและส่งสายตาแปลกๆ มองไปทางบลิสที่เดินนำหน้าไปทางห้องอาหาร
ได้เวลาคิดให้ออกแล้วว่าในหัวของเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นมีแผนการอะไรซ่อนอยู่กันแน่
…………………………………………