บทที่ 222 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 13)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

***

มื้อเช้ามื้อนี้เงียบมากต่างไปจากปกติ

อาซเอาแต่ครุ่นคิดตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ไม่สามารถหาทางออกได้ จึงพูดจาน้อยลง อาเรียเองก็เอาแต่เฝ้าสังเกตบลิส

ส่วนบลิสที่อยู่ระหว่างทั้งคนนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารด้วยสีหน้าแจ่มใส

ท่าทางเธอคงจะหิวมาก เนื่องจากเมื่อวานเธอหลับไปโดยไม่ได้ทานมื้อเย็น

อาเรียจ้องดูบลิสที่หยิบอาหารหลายๆ อย่างเข้าปากอย่างมูมมามและอุทานในใจว่า

‘…ต่อให้ถ่างตาตาดูดีๆ ก็มองไม่เห็นความมีมารยาทในบลิสเลย’

อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งที ไม่น่าทำตัวเหมือนกับฉันตอนเด็กเลย

บลิสทำตัวไม่เรียบร้อยถึงขนาดเกิดความสงสัยว่าเธอใช่องค์หญิงจริงๆ หรือเปล่า

‘ถ้าเป็นมิเอลล่ะก็ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอดูสง่าผ่าเผยตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก…’

แม้จะไม่รู้ว่าตอนเจ็ดขวบมิเอลเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นตอนที่อายุมากกว่านั้นสักหน่อยราวสิบสามปีละก็ อาเรียจำได้แม่นเลยทีเดียว

ผมเงางามเป็นประกายและเสื้อผ้าใหม่ๆ ที่ปักลวดลายสวยงามดูสะอาดสะอ้าน

ผิวขาวนวลที่ไม่เคยลำบากตรากตรำมาก่อน รวมไปถึงกิริยาท่าทางที่จับชายกระโปรงและค่อยๆ ย่อเข่าทักทายอย่างสวยสง่า

นั่นคือมิเอลที่อาเรียได้เห็นตอนที่เธอจับมือคารินและย่างเท้าเข้าไปในคฤหาสน์ของเคานต์เป็นครั้ง ซึ่งทำให้อาเรียตกตะลึงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ท่าทางของมิเอลราวกับมีมนตร์สะกดถึงขนาดที่อาเรียไม่สงสัยเลยว่าทำไมมิเอลถึงได้มีฉายาว่าแม่พระขึ้นมา

เพราะเป็นชนชั้นขุนนางคนแรกที่ได้เจอหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเด็กๆ ที่สกปรกและแร้นแค้นมาก่อน สิ่งที่อาเรียรู้สึกจึงดูเกินจริงไปบ้าง

‘อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วคนที่เกิดมาในชนชั้นขุนนางก็มักจะรู้มารยาทขั้นพื้นฐานเป็นอย่างดีทั้งนั้น’

แต่เด็กที่อยู่ตรงหน้าอาเรียตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไร แม้จะไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดก็ตาม แต่ถ้าจะให้อาเรียเดาละก็ อย่าว่าแต่เรื่องการอบรมมารยาทเลย บลิสที่เห็นในตอนนี้คงถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจแน่ๆ

แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าทุกสิ่งในโลกย่อมไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการก็ตาม แต่สำหรับเรื่องนี้มันเกินไปแล้ว

‘ทำไมตัวฉันในอนาคตถึงได้เลี้ยงลูกแบบนี้กันนะ’

อาเรียครุ่นคิดแล้ววางช้อนลง เธอเช็ดปากแล้วพูดออกมาเป็นนัยว่า

“บลิส”

“คะ”

จากนั้นดวงตาสีฟ้าเป็นประกายก็มองมาราวกับกำลังรออยู่

ท่าทางของบลิสเหมือนกับลูกหมาที่กำลังส่ายหางและสงสัยว่าทำไมต้องชวนคุยเอาตอนนี้

นิสัยที่ดูเข้ากับคนได้ง่ายจนอาเรียนึกไม่ถึงเลยว่าบลิสคือลูกของตัวเอง

แล้วอาเรียก็ตระหนักได้ว่ามีดวงตาสีฟ้าอีกคู่กำลังมองตนอยู่ อาเรียถามออกไปราวกับไม่สามารถเข้าใจได้ว่า

“คุณแม่ของเธอไม่สอนเรื่องมารยาทในการทานอาหารให้เธอเลยเหรอ”

บลิสปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าอย่างแรง

“เปล่านะคะ! คุณแม่สอนให้ทุกวันเลยค่ะ”

“แล้วทำไมเธอถึงได้ทานอาหารแบบนี้ล่ะ”

บลิสจับเครื่องไม้เครื่องมือในการทานอาหารไว้อย่างลวกๆ แบบไม่ถูกต้อง

ในเมื่อเธอบอกว่าสอนให้ทุกวัน ถ้าอย่างนั้นหรือว่าเธอเป็นเด็กไม่ฉลาดกันนะ

เพราะเป็นลูกของเธอกับอาซจึงไม่น่าจะเป็นเด็กหัวแย่สักเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ยืนยันไม่ได้อยู่ดี

อาเรียขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง

“สอนให้อย่างถูกต้องหรือเปล่า แล้วเธอเข้าใจที่คุณแม่ของเธอสอนจริงๆ ไหม”

“แน่นอนค่ะ! คุณแม่สอนให้เป็นอย่างดีเลย แล้วหนูก็เข้าใจด้วย…”

พออาเรียตั้งข้อสงสัยในความสามารถของตัวเองในอนาคต บลิสก็ตอบกลับมาอย่างเกรี้ยวกราด

ทว่าเมื่อสังเกตจากน้ำเสียงที่ค่อยๆ เล็กลงและหางเสียงที่ลากยาวขึ้นแล้ว ท่าทางคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง

เมื่อเห็นบลิสหลบตาและขยับนิ้วมือไปมา อาเรียที่กำลังกอดอกอยู่ก็อมยิ้มออกมา

“ไม่รู้สินะ แต่เท่าที่ฉันดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่เธอพูดเลย เพราะถ้าคุณแม่ของเธอสอนเธอถูกต้องแล้วละก็ เธอคงไม่ทำแบบนี้หรอก”

อาเรียไม่ได้พูดออกไปด้วยความจริงใจ แต่เพราะการต่อว่าอาเรียในอนาคตดูจะใช้ได้ผลในการล่อให้บลิสแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมา

“ไม่ใช่นะ! คุณแม่สอนเป็นอย่างดีทุกๆ วันเลย! แต่ แต่ว่า! ”

เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ พอพูดจาไม่ดีต่อแม่ของเธอแล้ว บลิสก็ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับพูดเสียงดังขึ้น

โดยที่ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ ทั้งนั้น แต่เพราะเธอยืนแล้วดูตัวเล็กกว่าตอนนั่ง จึงมีแค่ส่วนหัวของบลิสเท่านั้นที่ลอยให้เห็นพ้นขอบโต๊ะ

อาเรียกลั้นขำอย่างยากเย็น เสียงหัวเราะเล็ดลอดผ่านทางจมูกเล็กน้อยราวกับไม่อยากจะเชื่อ

บลิสติดกับเข้ากันแผนการตื้นๆ เธอกำหมัดแน่นและโพล่งความจริงออกมา

“หนูน่ะ…ต้องทำผิดเรื่อยๆ คุณแม่จะได้สอนให้อย่างใจดีทุกๆ วัน หนูชอบตอนที่แม่สอนมาก เลยทำแบบนี้ต่างหาก…! ”

คุณแม่ไม่ผิด เป็นบลิสเองต่างหากที่แย่ ฮือ

บลิสใช้ข้อมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ

“คุณ คุณหนู…! ”

สาวใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดขอบตาให้บลิส

ตัวเองทำผิดแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องร้องไห้ออกมา จนทำให้คนถามรู้สึกอับอายกันนะ

ทั้งที่สถานการณ์แบบนี้อาเรียควรจะเป็นคนโมโหและสั่งให้บลิสเงียบด้วยซ้ำ

แต่ช่างน่าเศร้าเมื่อได้ยินว่าเหตุผลและสาเหตุที่บลิสทำเช่นนั้นเป็นเพราะอยากได้ความสนใจจากตัวเธอในอนาคตมากขึ้นมาอีกสักนิด

เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กน้อยที่โหยหาความสนใจและความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข อาเรียจึงรู้สึกปฏิเสธไม่ลง

อาเรียจ้องมองบลิสโดยไม่พูดอะไร เธอเริ่มทานอาหารต่อไปและพูดว่า

“ถ้าทำอย่างนั้นคุณแม่เธอก็คงจะสังเกตเห็นไปแล้วละ ท่าทางคุณแม่ของเธอจะรักเธอมากเลยนะถึงได้ยอมสอนให้ทุกวันแบบนี้”

อาเรียพูดออกไปด้วยครึ่งหนึ่งเพื่อปลอบใจบลิส อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นความจริง

เพราะว่ากันตามนิสัยของเธอแล้ว ไม่มีทางที่อาเรียจะทำตัวอ่อนโยนต่อเด็กที่เอาแต่ถามเรื่องเดิมซ้ำๆ เป็นแน่

บลิสเบิกตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำตาและถามออกมาว่า

“จะ จริงเหรอ…”

“จริงสิ ถึงจะเป็นแม่ก็เถอะ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะโมโหเด็กที่สอนไม่รู้จักจำออกมาสักวันหนึ่ง”

“…พระชายาก็เป็นแบบนั้นเหรอ ถ้าถามต่อไปเรื่อยๆ ก็จะโมโหเหรอ”

“เรื่อยๆ งั้นเหรอ เรื่องแบบนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นกี่ครั้งกันเชียว บางทีฉันอาจจะหงุดหงิดตั้งแต่ถามซ้ำรอบที่สองแล้วก็ได้”

คำตอบที่ไม่เสียเวลาครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย ทำให้บลิสหน้าตาสดใสมากขึ้น

อารมณ์เปลี่ยนไวอย่างกับว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้ร้องไห้เสียใจมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูไร้เดียงสาเกินกว่าจะมองว่าเป็นเด็กที่ตัวเองเกิดมา

ท่ามกลางบลิสที่หัวเราะแหะๆ และสาวใช้ที่เช็ดน้ำตาให้บลิสจนหมดจด และอาซที่มองภาพเหล่านี้ด้วยแววตาสับสน ส่วนอาเรียที่เข้าใจถึงวิธีเกลี้ยกล่อมบลิสได้แล้วก็พูดออกมาว่า

“แน่นอนว่าฉันน่ะชอบเด็กที่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารมากกว่า เด็กที่ทำตามคำสอนได้ดูน่ารักและเก่งมากเลยไม่ใช่หรือไง ถ้าสอนไปแล้วไม่เชื่อฟังละก็ สุดท้ายก็คงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาละนะ”

“…! ”

“แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่‘ฉัน’คิด แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณแม่ของเธอจะคิดแบบนั้นรึเปล่า”

คำพูดที่พูดเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรนั้น ทำเอาบลิสเลิกตาโตและถามกลับไปว่า

“ผิด ผิดหวังเหรอ…”

“ใช่ บางทีคุณแม่ของเธออาจจะไม่แสดงมันออกมาให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างเธอเห็นก็เป็นได้ แต่ถึงจะยังเด็กแค่ไหนก็ตาม การที่ต้องมาพร่ำสอนให้ฟังทุกๆ วันก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเอามากๆ เลยละ ฉันคิดอย่างนั้นนะ ทั้งผิดหวังและก็ไม่อยากคาดหวังด้วย”

บลิสเบ้หน้าร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ตากลมโตที่ส่งแสงแวววาวราวกับอัญมณีนั้นเอ่อไปด้วยน้ำตา

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้น…จะทำอย่างไรล่ะ…ถ้าคุณแม่ผิดหวังไปแล้วจะทำอย่างไรดี”

เพราะกลัวว่าจะถูกเกลียดบลิสจึงถามออกมาว่าควรทำเช่นไร พร้อมกับกลั้นน้ำตาที่ดูเหมือนจะทะลักออกมาเอาไว้

ถึงบลิสจะติดกับที่อาเรียวางไว้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีอะไรให้ต้องทำ ในเมื่อมันง่ายดายออกขนาดนี้ ทำไมตัวอาเรียในอนาคตถึงไม่ยอมใช้ประโยชน์ข้อนี้กันนะ

อาเรียคิดเช่นนั้นและตอบออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ถึงช้าไปหน่อย แต่ถ้าทำตามที่สั่งสอนได้ก็ไม่มีปัญหา บางทีคุณแม่ของเธออาจจะประทับใจจนอุทานออกมาว่า ‘อย่างน้อยเธอก็เข้าใจในสิ่งที่สอน ถึงแม้จะช้าไปหน่อย’ก็ได้นะ“

ทันทีที่พูดจบบลิสก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาและวางตัวอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องทันที พร้อมทั้งจับซ้อมอย่างถูกวิธีอีกด้วย

จากนั้นก็เริ่มนำอาหารเข้าปากอย่างช้าๆ ทีละคำต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

คงเป็นเพราะที่ผ่านมาเคยฟังแต่คำสอนและเพิ่งได้ลองทำเป็นครั้งแรก ท่าทางของบลิสจึงดูเงอะงะอยู่บ้าง แต่ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ เธอทำออกมาได้ไม่แย่นัก

“หืม เก่งนี่นา แสดงว่านั่นทำไปเพราะตั้งใจจริงๆ สินะ”

“แน่ แน่นอนสิคะ! ”

“เห็นไหมล่ะ ขนาดฉันยังชมเลย แล้วคุณแม่ของเธอจะดีใจมากกว่าฉันขนาดไหน คงจะประทับใจจนสงสัยเลยว่าทำไมถึงดูสง่างามได้ถึงเพียงนี้”

แม้จะไม่ใช่อย่างที่พูดออกมาเลยสักนิด แต่พอพูดชมเกินจริงเข้าหน่อย สีหน้าของบลิสก็กลับมาสดใสอีกครั้ง

จากนั้นบลิสก็วางตัวให้ดูสง่ามากกว่าเมื่อกี้และตักอาหารเข้าปาก

เป็นเด็กที่อ่านง่ายอะไรอย่างนี้ อาเรียยิ้มออกมาเพราะรู้สึกว่าบลิสน่ารัก

“ถ้ากลับไปแล้วอย่าลืมทำให้คุณแม่เธอดูด้วยล่ะ ต้องชอบใจแน่ๆ”

“…อืม อืม! ”

คำตอบที่ได้กลับมาทำให้อาเรียรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

ก่อนที่จะทันได้สงสัยอะไรไปมากกว่านี้ บลิสก็รับประทานอาหารอย่างสง่าและเรียบร้อยราวกับจะโอ้อวดอีกครั้ง อาเรียจึงมองข้ามความรู้สึกนั้นไปและเริ่มทานอาหารต่อ

อาซกลั้นหายใจเมื่อเฝ้ามองดูทั้งคู่ที่สนิทกันมากกว่าเมื่อวาน

ภาพที่เห็นช่างดูอบอุ่นไม่น้อย แต่มีเพียงอาซที่รู้ว่าอนาคตอันโหดร้ายกำลังรอใครสักคนในสองคนอยู่

นอกจากรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติเพราะพยายามซ่อนความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายเอาไว้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้เลย

***

เป็นไปตามที่ได้แจ้งเอาไว้เมื่อวาน ทันทีที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ แอนนี่ก็เข้ามาเยี่ยมทันที

เจสซี่เองก็เข้ามาในพระราชวังหลังจากตรวจดูความเรียบร้อยตามอาคารอำนวยความสะดวกเร็วกว่าปกติ

ซาร่าเองก็ดูเหมือนจะเลื่อนตารางงานไว้ทีหลัง เพราะหลังจากที่ทั้งคู่เข้ามาได้ไม่นานนัก ซาร่าก็เข้ามาหาอาเรียและบลิส

“ซาร่า! ”

ทันทีที่ปรากฏตัว บลิสก็เอามากอดเอวซาร่าเอาไว้แน่น เธอส่งยิ้มหวานให้กับบลิส

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหมจ๊ะบลิส จู่ๆ ก็ผล็อยหลับไปแบบนั้นฉันตกใจแทบแย่”

“ขอโทษนะซาร่า…หนูเหนื่อยมากเลย แต่ว่าวันนี้หนูไม่เป็นอะไรเพราะนอนมาเต็มที่แล้วละ! วันนี้จะเล่นกับซาร่านานๆ เลยค่ะ! ”

“ตายแล้ว จริงเหรอจ๊ะ ดีใจจังเลย สมกับที่เลื่อนตารางงานไว้ทีหลังเลยค่ะ เรามาทานเค้กด้วยกันนะคะ ดิฉันซื้อเค้กที่หอมหวานและนุ่มลิ้นมากๆ มาด้วยค่ะ”

ซาร่าเลื่อนตารางงานออกไปจริงๆ เธอตอบออกมาพร้อมกับกอดบลิสไว้ในอ้อมอก

‘จะมีอะไรให้เล่นกับเด็กอายุเจ็ดขวบทั้งวันกัน’

อาเรียกลั้นขำเอาไว้ในใจและดื่มชาที่ข้ารับใช้เตรียมไว้ให้

“เอาละค่ะ ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้วก็ถึงเวลาสักทีค่ะ ยิ่งมีเจ้าชายรัชทายาทอยู่ด้วยก็ดีเลยค่ะ เพราะถือเป็นความภูมิใจของยิ่งใหญ่ของดิฉันค่ะ”

ในขณะนั้นแอนนี่ก็ไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนสามารถเห็นเธอได้ชัดเจนและเริ่มพูดออกมาอย่างใจที่ฮึกเหิม

ก็แค่เรื่องที่บารอนเนสคนหนึ่งตั้งท้องเท่านั้น ไม่จำเป็นที่องค์รัชทายาทต้องมารับรู้ด้วยเลย แต่แอนนี่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงได้พูดอะไรเรื่อยเปื่อยออกมา

“ที่จริงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้พูดแบบนั้นคะ”

ซาร่าสงสัยเป็นอย่างมากจึงได้ถามออกมาในขณะที่บลิสนั่งอยู่บนตักของเธอ

ปกติแอนนี่ก็เป็นคนที่พูดจามากเกินจริงอยู่หน่อยๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะมากเป็นพิเศษ

 บลิสกะพริบตาราวกับไม่รู้ว่าเหตุผลคือเรื่องอะไร ส่วนเจสซี่เองก็แสดงท่าทีสนใจออกมาให้เห็น แอนนี่ที่เห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วก็พูดความจริงออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ไม่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้

“ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วค่ะ! ”

“…หึ”

“คะ…”

เพราะพูดจาอ้อมค้อมมากเกินไปบรรยากาศในห้องรับรองจึงเงียบขึ้นมา

ในระหว่างนั้นอาเรียที่ดื่มชานิ่งๆ ก็พูดออกมาว่า

“เธอบอกว่ากำลังจะมีน้องงั้นสินะ”

“ตายแล้ว! ”

“จะ จริงเหรอ! ”

ในขณะที่ซาร่าและเจสซี่ตกใจจนตาแทบจะถลนออกมา บลิสก็พึมพำออกมาว่า ‘จะว่าไปแล้ว-’ พร้อมกับตบฝ่ามือขึ้นมา

“ค่ะ! ตอนนี้ดิฉันตั้งท้องได้ประมาณสามเดือนแล้วค่ะ! เพราะท้องไม่ค่อยยื่นออกมาแถมยังยุ่งเอามากๆ เลยรู้ช้าไปค่ะ”

“ยินดีด้วยนะคะ! จะหน้าตาน่ารักขนาดไหนคะเนี่ย! ”

“ยินดีด้วยนะแอนนี่! นี่เธอจะได้เป็นแม่คนแล้วหรือนี่ ฉันไม่คิดมาก่อนเลย”

“แหะๆ แอนนี่จะได้ลูกสาวที่น่ารักเหมือนแอนนี่และกล้าหาญแถมฉลาดอีกด้วย! ”

“โอ้ คุณหนูบลิส รู้เรื่องนั้นได้อย่างไรกันคะ แน่นอนว่าดิฉันก็อยากให้ลูกเหมือนดิฉันเพคะ”

“เด็กผู้หญิงที่เหมือนแอนนี่งั้นหรือ คงจะน่ารักมากแน่ๆ เลย”

แม้ว่าบลิสจะพูดอะไรที่ดูมีความหมายซ่อนอยู่ออกมา แต่ทุกคนก็รับฟังคร่าวๆ และมองข้ามมันไปพร้อมทั้งหัวเราะมีความสุข

ในระหว่างนั้นมีเพียงอาเรียที่คิดในใจว่า‘เป็นเด็กผู้หญิงสินะ’และกัดขนมว่างรสหวานไปคำหนึ่ง

“ดิฉันแต่งงานเป็นคนแรก แต่คนที่มีลูกก่อนคือแอนนี่สินะคะเนี่ย น่าอิจฉาจังเลยค่ะ ดิฉันเองก็อยากจะมีลูกเร็วๆ เหมือนกันค่ะ แต่เพราะงานยุ่งเอามากๆ เลยยังไม่มีข่าวดีเลยค่ะ”

ในอดีตเดิมทีแล้วซาร่าต้องตั้งครรภ์ประมาณช่วงนี้ แต่เหตุผลที่เธอยังไม่มีข่าวดีนั้นเป็นเพราะอาเรียนั่นเอง

‘งานในวิทยาลัยคงจะเหมาะกับความถนัด ซาร่าจึงก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาและอบรมเลี้ยงดูเด็กๆ ด้วยตัวเอง ไหนจะยังต้องคอยดูแลตระกูลของมาร์ควิสอีกด้วย’

เพราะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างยุ่งวุ่นวาย ดูเหมือนอนาคตก็คงจะเปลี่ยนตามไปด้วย

แม้ด้านหนึ่งซาร่าจะดีใจที่สามารถทำในสิ่งที่ชอบได้ โดยไม่ต้องถูกยึดติดกับตระกูล แต่เมื่อได้ยินคำว่ายังไม่มีลูกขึ้นมา ก็รู้สึกผิดแปลกๆ บลิสเอียงคอและพูดอะไรที่ฟังดูมีความหมายออกมาอีกครั้ง

“หืม ซาร่าก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวนี่นา”

……………………….