ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนั้น สือคุนพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อิทธิฤทธิ์ของสหายต้องไม่ด้อยไปกว่าข้าและเซียนหลิวแน่ อย่ามัวยกยอกันเลย คุยเรื่องสำคัญกันเถิด เดินทางต่อไปอีกวันสองสามวันก็จะเข้าไปในส่วนลึกของป่าอสูรลับของจริงแล้ว อสูรลับกว่าครึ่งล้วนใช้ชีวิตอยู่ในนี้ หากพวกเราต้องการจะข้ามไป จะต้องมีสติให้มาก”

“ยามที่ผ่านใจกลางของป่าอสูรลับ อย่าสังหารอสูรลับตนใดเด็ดขาด เขตอาคมของพวกเรารับมือกับอสูรลับธรรมดายังพอไหว แต่หากรับมือกับอสูรลับสามตาระดับสูง แค่ลงมือก็ไม่อาจปิดบังประสาทสัมผัสของพวกมันได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นในส่วนลึกของป่า ก็ไม่อาจแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบทุกตารางนิ้วก่อนได้ หากลงมือจะอันตรายแค่ไหน แค่คิดก็รู้แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ต่อให้ถูกบีบให้ลงมือจริงๆ ก็ไม่อาจเสียเวลานานเช่นนี้ได้ พวกเราสามคนต้องลงมือพร้อมกัน สังหารมันให้ได้ในชั่วพริบตา ถึงจะลดความอันตรายลงได้” สือคุนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยสำทับ

“อืม จากพลังของพวกเราสามคน หากเผชิญหน้ากับอสูรลับธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง น่าจะสังหารมันในชั่วพริบตาได้ไม่ยาก แต่หากพบกับอสูรลับระดับสูง ก็พูดยากแล้ว” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด

“หากถูกอสูรลับระดับสูงจับตามองจริงๆ ละก็ ก็คงได้ใช้เคล็ดวิชาผสานการโจมตีของลำแสงเทวะดูดปราณของพวกเราแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ใช่แล้ว! ผู้แซ่สือเกือบลืมเคล็ดวิชาลับนี้ไปเลย หากใช้วิธีนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอสูรลับระดับสูงที่อยู่ตามลำพัง” ชั่วขณะนั้นดวงตาของสือคุนพลันเปล่งประกาย พลางปรบมือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“ทว่าหากไม่เข้าตาจน อิทธิฤทธิ์นี้ก็เอาไว้ใช้ตอนสุดท้ายเถิด ข้าไม่อยากถูกอสูรลับระดับสูงจำนวนมากไล่สังหารในเวลาเดียวกัน” หานลี่กลับสั่นศีรษะ ดูเหมือนว่าจะยังคงกังวลใจ

“วางใจ จุดนี้ข้าและพี่สือรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าและสหายก็ได้หนังอสูรลับมาแล้ว รีบแปลงกายแล้วออกเดินทางอย่างเป็นทางการเถิด ระหว่างพวกเราแยกกันเดินทางหน่อยเถิด จะได้ไม่สะดุดตามากนักหากรวมตัวกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยแนะนำ

“เซียนหลิวพูดมีเหตุผล ผู้แซ่สือจะล่วงหน้าไปก่อน” สือคุนได้ยิน ก็เบะปากตอบ

จากนั้นเขาก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีหนังอสูรสีดำผืนนั้นปรากฏขึ้น ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ พลางจมหายเข้าไปในหนังอสูร

ชายร่างใหญ่หมุนตัวกลายเป็นอสูรลับสีดำตัวหนึ่งทันที แขนขาทั้งสี่ออกแรง พุ่งออกไปราวกับลูกธนู

หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ก็สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลังเลเช่นกัน กลายเป็นอสูรลับสีดำอีกสองตัว แบ่งออกเป็นซ้ายและขวา พลางไล่ตามไปติดๆ

ระหว่างทางที่บินไป ทั้งสามต่างทยอยกันกระตุ้นสมบัติอาคม อำพรางร่างกายของตนเองเอาไว้อีกครั้ง

เช่นนั้นในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเงาแมกไม้ หากอยากพบร่องรอยของทั้งสามคน ก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก

ระหว่างทางหลังจากนั้นเมื่อหานลี่และพวกพบร่องรอยของอสูรประหลาดอันใดสักอย่างหรือไม่ก็พบลมพัดต้นหญ้าพลิ้วไหวก็จะอ้อมไปไกลอย่างเงียบๆ ไม่มีทางปะทะกับอสูรประหลาดอื่นๆ เลยสักนิด

สองสามวันแรกได้พบกับอสูรลับไม่มากนัก แต่อสูรลับเหล่านั้นกลับไม่ค่อยปรากฏตัวตามลำพัง ส่วนใหญ่ล้วนเคลื่อนไหวกันอยู่สองสามตัว

รอจนผ่านไปเจ็ดแปดวัน พวกเขาอยู่ในใจกลางของป่าแล้ว คาดไม่ถึงว่าอสูรลับเหล่านั้นจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นห้าหกตัวหรือแม้กระทั่งสิบกว่าตัว

นี่จึงทำให้หานลี่และพวกทั้งสามตกตะลึงไปเล็กน้อย และยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น

โชคดีที่เคล็ดวิชาหลีกหนีของทั้งสามคนนับว่ายอดเยี่ยม และยิ่งไปกว่านั้นพลังปราณก็เหนือกว่าอสูรลับธรรมดาๆ เท่าหนึ่ง จึงไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกมา

นอกจากนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาโชคดีหรือในป่าอสูรลับเกิดเรื่องอันใดขึ้น ระหว่างทางนี้จึงไม่พบกับอสูรลับสามตาระดับสูงในตำนานเลย คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้ามาถึงใจกลางของป่าอสูรลับได้ภายในอึดใจเดียว

สามสี่วันหลังจากนี้หากพวกเขายังเดินทางได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ล่ะก็ ก็จะสามารถผ่านเขตอันตรายที่สุดในป่าอสูรลับไปได้แล้ว และจะได้ผ่อนคลายลง

แต่หานลี่และพวกทั้งสามไม่เพียงจะไม่ได้ผ่อนคลายลง กลับยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสามคนล้วนมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าพบกับเรื่องที่เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะประสบความสำเร็จแล้วมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนการที่ไม่พบร่องรอยของอสูรลับระดับสูงในป่าอสูรลับนี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีใจและอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่หยุดไปพร้อมๆ กันไม่ได้

เมื่อเดินทางต่อไป คาดไม่ถึงว่าอสูรลับธรรมดาๆ จะยิ่งน้อยลง สองวันต่อจากนั้นก็พบอยู่แค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น

หานลี่และพวกทั้งสามจึงรู้สึกใจหาย และยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น

……

หานลี่เคลื่อนไหวอยู่ในป่าอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณทมิฬ ทั้งๆ ที่ตรงหน้าคือต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง แต่เขาที่กลายเป็นเงาสีเขียวก็กระโจนออกไป ทะลวงผ่านราวกับกายไร้รูปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นเลยสักนิด

การหลีกหนีที่พิสดารเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

แต่เขากลับขมวดคิ้วมุ่น แววตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สายตากวาดมองรอบๆ ไม่หยุด

ในเมื่อไม่กล้าแผ่จิตสัมผัสออกไปเมื่ออยู่ใจกลางของป่า ก็มีเพียงต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง เมื่อพบอสูรลับเหล่านั้นก็จะหลบเลี่ยงไป

ไม่รู้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนใช้วิธีการใด ทุกครั้งที่อสูรลับปรากฏตัว สองคนนี้จะหลบหลีกได้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ช้ากว่าเขาเท่าไหร่นัก

นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจมาก

สองคนนี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์สัมผัสทั้งห้าที่มหัศจรรย์เหมือนกับเขา และยังอาศัยสมบัตินิรนามอันใดสักอย่างทำเรื่องนี้หรือ?

นี่จึงทำให้เขาอดที่จะมองทั้งสองคนสูงขึ้นสองสามส่วนมิได้

เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็กวาดสายตาไป มองไปทางซ้ายและขวาแวบหนึ่ง

ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณ เขามองเห็นอย่างชัดเจน หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ แยกกันอยู่ห่างออกไปจากเขาร้อยกว่าจั้ง กำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเช่นกัน

เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ได้เกิดปัญหาอันใด คิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกเล็กน้อย ชักสายตากลับมา

แต่ในยามนั้นเองความพิสดารก็ปรากฏขึ้น!

จุดที่พวกเขากำลังมุ่งไป ฉับพลันนั้นเงาสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากความมืดมิดด้านหน้า

แค่กะพริบวาบสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะย่นระยะห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง มาอยู่ด้านข้างสือคุน กระโจนเข้ามาหาร่างที่อำพรางกายของสือคุน

แม้ว่าสือคุนที่กำลังตกตะลึงคิดจะหลบหลีก แต่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป จึงไม่อาจหลบหลีกได้

ทำได้เพียงไม่สนใจลำแสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง บรรจุลมปราณเข้าไปคุ้มครองร่างกาย

เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น

ลำแสงสีทองและสีเหลืองตัดสลับกันไปมา เงาสีทองซวนเซล่าถอยออกไปสองสามก้าว ทันใดนั้นร่างกายก็กลับมายืนมั่นคง

ส่วนสือคุนที่กลายเป็นอสูรลับบินออกมา ชั่วครู่ก็ปะทะกับต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ต้นไม้ยักษ์ที่มีขนาดเท่าสองสามคนโอบหักออกเป็นสองท่อน ในที่สุดถึงได้หยุดลง

แต่ชายร่างใหญ่ที่กลายเป็นอสูรลับกลับปีนขึ้นมาจากซากไม้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะไม่อาจลุกขึ้นยืนได้

หานลี่และหญิงสาวสวมงอบที่อยู่ในบริเวณนั้นเห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

กายเนื้อของสือคุนแข็งแกร่ง เขาสองคนเคยเห็นมากับตาของตัวเอง แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งระดับนี้ ถูกเงาสีทองนั้นชนเข้าอย่างคาดไม่ถึง ก็มีท่าทีจนตรอก เงาสีทองนั้นจะต้องน่ากลัวจนถึงขีดสุดแน่

แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นเงาสีทองที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน

ผลคือตกใจจนสะดุ้งโหยง!

โฉมหน้าที่แท้จริงของเงาสีทองนั้นคืออสูรลับร่างกายยาวไม่ถึงสองสามจั้งตัวหนึ่ง แต่ผิวและขนของมันเปล่งสีทองอร่าม ดวงตาทั้งสองข้างดำสนิทดุจน้ำหมึก

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาในตำนาน!

เป็นไปไม่ได้! ก่อนออกเดินทางเขายังพึมพำว่า อาจจะเจอกับอสูรลับระดับราชาเข้าก็ได้ ผลคือตอนนี้ไม่พบอสูรลับสามตาระดับสูง แต่กับพบสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในป่าซึ่งพบเห็นได้ยาก แม้ว่าจะไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ใด แต่คิดดูแล้วคงเหนือกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์แน่

หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ร่างกายหยุดชะงักอยู่ไกลๆ สองตาจ้องเขม็งไปที่อสูรลับสีทองตัวนั้น ไม่กล้ากะพริบตาเลยสักนิด

ในเวลาเดียวกันสมบัติวิเศษสองสามชิ้นในร่างก็สัมผัสได้ และเริ่มสั่นเทา

หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่กลายเป็นอสูรลับอีกด้าน ก็หยุดอยู่บนใบไม้หนาๆ ขนาดเท่าชามใบหนึ่ง มองอสูรลับสีทองด้วยท่าทีพร้อมรบเช่นกัน

อสูรลับระดับราชาตัวนี้ถูกการบุกเข้ามาอย่างบุ่มบ่ามของสือคุนชนเข้าจนตาลาย หลังจากสะบัดศีรษะแล้ว จิตสังหารก็ฉายแวบผ่านแววตา จ้องเขม็งไปยังสือคุนที่ยามนี้ไม่อาจขยับตัวได้

ขาหน้าทั้งสองขยับ เสียง “สวบ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงเปล่งแสงเย็นเยียบปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที ราวกับว่าจะลงมือโจมตีชายร่างใหญ่ทันที

หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นฉากนั้น ก็ใจเต้นระรัว ความคิดว่าจะลงมือช่วยเหลือหรือไม่ปรากฏขึ้นในใจพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าเขาสองคนยังไม่ถูกอสูรลับระดับราชาตัวนี้พบ หากจากไปเงียบๆ ละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะถอยได้อย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นแม้ว่าทั้งสามจะร่วมมือกันแล้วพอต้านทานอสูรลับระดับราชาได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายส่งเสียงร้อง พวกเขาย่อมมีอันตรายถึงชีวิต

แต่เช่นนั้นหากสือคุนสิ้นชีพ หลังจากขาดไปคนหนึ่ง ย่อมไม่ต้องคิดจะเปิดเขตอาคมต้องห้ามแล้ว การเดินทางของพวกเขาก็นับว่าล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

หลังจากทำภารกิจไม่สำเร็จ และทำให้สือคุนเพลี่ยงพล้ำในป่าอสูรลับ ไม่ต้องคิดถึง หากกลับเผชิญหน้ากับไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่น แม้ว่าเขาจะกลับมาจากแดนกว้างเย็นได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่เป็นผลดีแน่

ทว่าแม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเจ็บปวดมาก ก็เป็นเรื่องในอนาคต ยามนี้แน่นอนว่าต้องปกป้องชีวิตของตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ชั่วพริบตานั้นหานลี่พลันครุ่นคิดถึงข้อดีข้อเสียเสร็จ สายตาเหลือบมองหญิงสาวสวมงอบอย่างรวดเร็ว

กลับพบว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่กลายเป็นอสูรลับ ร่างกายสั่นเทาเบาๆ ลำแสงสีขาวบนผิวเริ่มอ่อนแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจลงมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

นี่จึงทำให้เขาตกตะลึง ส่วนลึกของแววตามีแววมีแผนการฉายแวบผ่าน

ทว่าหญิงสาวผู้นี้ขบคิดอย่างโง่เขลา เขาไม่มีความคิดจะเสี่ยงอันตรายที่มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำแปดเก้าส่วนเช่นนี้ ทันใดนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างที่แปลงเป็นอสูรลับหมายจะพุ่งไปด้านหลัง

แต่ในยามนั้นเอง เรื่องที่ทำให้เขาแทบจะลูกตาถลนออกมาก็ปรากฏขึ้น

อสูรลับที่เผยแววตาโหดเหี้ยมออกมาหมายจะลงมือในชั่วพริบตา ฉับพลันนั้นหูทั้งสองข้างของมันพลันขยับแล้วหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นแววตาโหดเหี้ยมพลันกลายเป็นโกรธเกรี้ยวและตกตะลึงในพริบตา

มันร้องคำรามออกมา ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นเงาสีทองสายหนึ่งอีกครั้งแล้วพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบสองสามคน ก็จมหายเข้าไปในป่าด้านข้างอย่างไร้ร่องรอย