หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้

ในที่สุดสือคุนที่ล้มยังไม่ลุก ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากพื้น และถ่ายทอดเสียงมาหานลี่และพวกทั้งสองด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดอสูรลับระดับราชาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ตามลำพัง? โชคร้ายจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอสูรราชาปะทะเข้า!”

“พี่สือ ไม่เป็นไรนะ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะกังวลใจมาก พลางส่งเสียงมา

“ยังดี เมื่อครู่แค่ตัวชาเท่านั้น ยามนี้ดีขึ้นแล้ว” สือคุนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา น้ำเสียงค่อยๆ กังวานขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอันใดจริงๆ

หานลี่ได้ฟังแล้วกลับขมวดคิ้ว ยามที่คิดจะเอ่ยปากถามอันใดนั้น เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง!

ฉับพลันนั้นอสูรนับหมื่นพลันร้องคำรามขึ้นมาพร้อมกัน!

เสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าดังสนั่นมา ทำให้หูอื้อ ต้นไม้ในบริเวณรอบสั่นคลอนไม่หยุด ชั่วพริบตาก็ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

“นี่คือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

หานลี่และสือคุนเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา

แต่ครู่ต่อมาเสียงคำรามก็หยุดลง แต่ทิศที่เสียงคำรามดังมาพลันมีกลิ่นอายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และกำลังเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่และพวกก็ได้ยินเสียง “ซ่าๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“แย่แล้ว รีบหลบเร็ว!”

ครั้งนี้หานลี่แค่ขบคิด ก็หน้าซีดขาวแล้วถ่ายทอดเสียงให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองเบาๆ จากนั้นร่างกายก็กระโจนเข้าไปหาต้นไม้ต้นหนึ่งในละแวกนั้น ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างทั้งร่างหายวับไป

การเคลื่อนไหวของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้เชื่องช้าไปกว่ากันเท่าใดนัก

แทบจะในเวลาเดียวกันที่หานลี่ส่งเสียงเตือน ทั้งสองก็ได้สติขึ้นมาพร้อมกัน

คนหนึ่งใช้เท้าหนึ่งตบไปบนพื้นดินใกล้ๆ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในพื้นโคลนใต้ร่าง คนหนึ่งกลับพ่นหมอกสีฟ้าออกมา ร่างทั้งร่างค่อยๆ โปร่งใส ท่ามกลางหมอกลำแสง สุดท้ายก็สลายหายไป

แทบจะในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามเพิ่งจะแยกย้ายกันหนี ในป่าไกลออกไปก็มีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ อสูรลับจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน

ราวกับอสูรลับกว่าครึ่งป่าอสูรลับ มารวมตัวกันที่นี่อย่างไรอย่างนั้น

พลังปราณทั่วร่างของหานลี่เดือนพล่านไม่หยุด กะพริบวาบสองสามครา ก็อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ หันหน้ามามองจุดที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ก็พบว่าในบรรดาอสูรลับเหล่านั้นมีตัวที่ร่างกายสูงใหญ่เป็นพิเศษอยู่ไม่น้อย หว่างคิ้วมีดวงตาสีเทาขมุกขมัวปรากฏอยู่

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับสามตาระดับสูง!

หนทางด้านหน้าอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่พบอสูรลับระดับสูงเลยสักตัว ที่แท้ก็ถูกเรียกมารวมตัวกันที่นี่

หลังจากที่อสูรลับเหล่านี้ทะลักออกมา จิตสัมผัสจำนวนนับไม่ถ้วนครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ห่อหุ้มในอาณาบริเวณสองสามร้อยลี้

หานลี่เห็นฉากนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าโชคดีอันใดอีก ผิวมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำปรากฏออกมา ห่อหุ้มทั้งเรือนร่างเอาไว้

คาดไม่ถึงว่าเขาจะสำแดงผ้าไหมสีดำลึกลับที่ได้มาจากอูหลัว

จากนั้นก็แปลงกายเป็นอสูรลับแล้วอ้าปากออก พ่นยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งออกมา และแปะไปบนเรือนร่างอย่างรวดเร็ว

หลังจากเสียง “ฟึ่บๆ” ดังขึ้น ไอสีม่วงกลุ่มหนึ่งที่มีอักขระยันต์สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้

ร่างกายของอสูรลับเลือนหายไป แต่ในเวลาเดียวกันความเร็วในการหลบหนีก็ลดลง

หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็มองไปทางสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง

ไม่เหมือนกันกับเขา ความเร็วในการหลบหนีของทั้งสองคนไม่เชื่องช้าลงเลยสักนิด พากลิ่นอายที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นทิ้งห่างออกไปสิบกว่าลี้

เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับหานลี่ที่พยายามอำพรางกายตัวก่อน ทั้งสองตัดสินใจถือโอกาสที่อสูรลับระดับสูงยังหาไม่พบหนีเตลิดไปก่อน

แน่นอนว่าวิธีการสองชนิดนี้ย่อมกล่าวไม่ได้ว่าแบบไหนดีกว่า

หากจิตสัมผัสของอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่อาจมองทะลุผ่านการอำพรางตนของทั้งสองคนได้ในยามนี้ แน่นอนว่ารีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

แต่หากเป็นเพราะความเร็ว แล้วทำให้เคล็ดวิชาอำพรางกายลดประสิทธิภาพลง ถูกอสูรลับเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของทั้งสอง กลับจะทำให้อันตรายยิ่งกว่า

ส่วนสาเหตุที่หานลี่เลือกอำพรางกายก่อน สาเหตุหลักก็เพราะยังมียันต์ชำระพิสุทธิ์และสมบัติอำพรางกายผ้าไหมสีดำอยู่ จึงไม่อาจถูกมองทะลุผ่านได้ง่ายๆ

ตาที่สามของอสูรลับระดับสูงทั้งหมดในฝูงอสูรฉายแวววาวโรจน์ จิตสัมผัสจำนวนมากร่อนลงมาจากกลางอากาศ ไม่เพียงกวาดผ่านข้างกายของหานลี่ไป แม้แต่สือคุนและพวกทั้งสองที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่ละเว้นเช่นกัน

แต่จิตสัมผัสเหล่านี้แค่กวาดไป ไม่ได้หยุดอยู่ที่ทั้งสามคนเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าไม่พบร่องรอยของทั้งสามคน

หานลี่และอีกสองคนล้วนผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง

ในยามนั้นเองสายตาของหานลี่พลันเลื่อนไปเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็มองเห็นอันใดสักอย่างในหมู่อสูร สีหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีพลางสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป

เห็นเพียงในหมู่อสูร เงาสีทองสายหนึ่งที่สะดุดตากระโจนออกมา เรือนกายเป็นสีทองอร่าม เป็นอสูรลับระดับราชาอีกตนหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าอสูรลับระดับราชาตัวนี้ไม่เหมือนกับตัวก่อนหน้า ไม่เพียงร่ายกายจะใหญ่กว่าหนึ่งส่วน ในเวลาเดียวกันข้างกายก็มีอสูรลับสามตาไล่ตามมาอีกเจ็ดแปดตัว

ดวงตาที่สามของอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่ใช่สีเทา แต่เป็นสีเงินอ่อน

เมื่ออสูรลับสีทองปรากฏกาย นอกจากอสูรลับดวงตาสีเงินสองสามตัวที่ตามติดมาแล้ว อสูรลับตนอื่นๆ ก็ถอยออกไปสิบกว่าจั้งอย่างนอบน้อม เว้นที่ว่างขนาดใหญ่ให้อสูรตัวนี้

ฝูงอสูรพลันหยุดลงตามจิตสำนึก ทุกตัวล้วนหยุดพักอยู่บนต้นไม้ บ้างก็อยู่ใต้ดิน ทยอยกันใช้สายตานอบน้อมมองมาทางอสูรลับสีทอง

ส่วนอสูรลับระดับราชาตัวนี้ก็ใช้สายตาเย็นชากวาดมองไปรอบๆ ด้าน จากนั้นกลิ่นอายแข็งแกร่งก็แผ่ออกมาจากร่าง คาดไม่ถึงว่าจะใช้ท่าทางทรงพลังกดคลื่นจิตสัมผัสของอสูรลับระดับสูงตนอื่นๆ แล้วกวาดไปในบริเวณรอบ

หานลี่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง หยุดหลบหนีไปเสียดื้อๆ พลางซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างเงียบๆ ไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก

หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ไกลออกไป สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นยักษ์กวาดมาก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงด้วยความตกตะลึงเช่นกัน ทยอยกันเก็บกลิ่นอาย หวังว่าจะหลบซ่อนจากพลังจิตสัมผัสของอีกฝ่ายได้

แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้

หานลี่ยังพอว่า จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งนี้กวาดผ่านไปเช่นเดิม มองไม่เห็นร่างกายที่ถูกอำพรางกายของเขา แต่เมื่อตกอยู่บนร่างของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง กลับหยุดชะงัก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

“รีบไป!” สือคุนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังจิตสัมผัส ทันใดนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีพลางร้องตะโกนออกมาเบาๆ ลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเหลืองบินออกไปโดยไม่อำพรางกายใดๆ อีก

หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว หนูหยกสีขาวใต้ฝ่าเท้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น กลายเป็นหมอกลำแสงห่อหุ้มนางเอาไว้ข้างใน แล้วพุ่งออกไปเช่นกัน

ยามนี้ไม่ใช่แค่อสูรลับสีทองตนอื่นๆ อสูรลับธรรมดาๆ และระดับสูงตนอื่นๆ ก็พบร่องรอยของพวกเขาเช่นกัน ทันใดนั้นจึงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นท่ามกลางหมู่อสูร

แววตาสีดำสนิทของอสูรลับสีทองตัวนั้นฉายแววเย็นยะเยือก จิตสังหารกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น มุมปากขยับ ท่าทางหมายจะออกคำสั่งอันใดสักอย่าง

แต่ครู่ต่อมาอสูรตัวนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี หันหน้าไปมองอสูรลับสีทองอีกตัวหนึ่งที่หนีไปก่อนหน้า เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงกรีดร้องยาวๆ กับท้องฟ้า

เสียงกรีดร้องไม่เพียงก้องกังวาน และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าจะแฝงไปด้วยอานุภาพที่น่าเหลือเชื่อ

อสูรลับที่อยู่ในบริเวณรอบได้ยิน ไม่ต้องพูดถึงระดับธรรมดาๆ ที่แขนขาทั้งสี่อ่อนยวบล้มลงกับพื้น ระดับสูงนั้นก็ร่างกายสั่นเทา ราวกับว่าไม่อาจยืนให้มั่นคงได้

และแทบจะในเวลาเดียวกันที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงกรีดร้องอีกเสียงที่เหมือนกันก็ดังขึ้นอยู่ลิบๆ

ฟังผ่านๆ คาดไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกัน แค่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างหาที่เปรียบมิได้

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ อสูรลับสีทองในหมู่อสูรก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมราวกับมนุษย์ออกมา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำออกมา

ฝูงอสูรที่แต่เดิมหยุดเคลื่อนไหว พลันกรูกันไปตรงหน้าอีกครั้ง

ดูจากทิศทางที่พวกมันไป นั่นก็คือตำแหน่งที่อสูรลับสีทองตัวนั้นอยู่

ทว่าอสูรลับระดับราชาที่เป็นผู้นำฝูงอสูรเองก็ไม่ได้คิดจะปล่อยหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไป

มันหันกายมา คำรามสองสามครั้งใส่อสูรลับตาสีเงินสองสามตัวที่เป็นผู้รับใช้ข้างกาย

ชั่วขณะนั้นอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นก็ร้องคำรามต่ำๆ อย่างนอบน้อมพร้อมกัน ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเงินสุกสกาวสองสามสาย พุ่งไล่ตามหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไป

ส่วนอสูรลับระดับราชานั้นกลับกระโจนไป จมหายเข้าไปในฝูงอสูรไล่ตามอสูรลับสีทองอีกตัวไป

ชั่วพริบตาฝูงอสูรก็กวาดผ่านบริเวณรอบไปราวกับพายุหมุน อสูรลับตาสีเงินสองสามตัวเองก็วิ่งตามหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนจนหายวับไป

หานลี่กลับยังคงอยู่ในต้นไม้ยักษ์ไม่ขยับเขยื้อน หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม มั่นใจว่าในบริเวณรอบไม่มีอสูรลับตนอื่นๆ อีก ถึงได้เคลื่อนไหว เก็บยันต์ชำระพิสุทธิ์และผ้าไหมสีดำ

ยันต์ชำระพิสุทธิ์นั้นมีเวลาจำกัด ส่วนผ้าไหมสีดำนั้นดูเหมือนจะบางเบา แต่กลับต้องสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยเลย

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจสำแดงทั้งสองสิ่งออกมาโดยไม่เก็บได้

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่กลายเป็นอสูรลับปรากฏขึ้นจากต้นไม้ยักษ์

เขาหันหน้าไปมองทิศทางที่ฝูงอสูรและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พร้อมพวกหายวับไปด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

อ้าปากออก กระบี่สีเขียวเล่มหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวม้วนวนลงมาด้านล่าง

จากนั้นสายรุ้งสีเขียวความยาวสองสามจั้งก็พุ่งออกมา ไล่ตามไปด้านหลัง

ยามแรกสายรุ้งสีเขียวนั้นเจิดจ้าจนแสบตา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หม่นแสงลง สุดท้ายก็กลายเป็นเงาสีเขียวอ่อนสายหนึ่งเท่านั้น

ลำแสงหลีกหนีของหานลี่นับว่ารวดเร็วมาก แต่ไล่ตามมารวดเดียวครึ่งวัน คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบร่องรอยของเป้าหมายเลยสักนิด

หากไม่ใช่เพราะยามที่ออกเดินทางพวกเขาใช้เคล็ดวิชาลับสำแดงสมบัติลับที่สามารถยืนยันตำแหน่งของทั้งสามคนไว้ เกรงว่าคงคิดว่าตนเองคลาดกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกแล้ว

ดูแล้วหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนสำแดงลำแสงหลีกหนีเต็มกำลังเพื่อสลัดพวกที่ไล่ตาม จากระดับความเร็วของลำแสงกระบี่ของเขาในยามนี้ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ได้เลยสักนิด

ส่วนอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นเจอกับความเร็วขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไล่ตามไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ไม่อาจดูแคลนได้เลย!

หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว กัดฟันเงียบๆ สุดท้ายร่างกายก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง

เขาเก็บหนังอสูรที่ห่อหุ้มร่างออก มือหนึ่งพลันร่ายอาคม

เสียงราวกับฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยง” ปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง