เล่มที่ 15 เล่มที่ 15 ตอนที่ 449 การเดิมพันด้วยหุบเขาเทพโอสถ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

อู๋จุนรู้สึกถึงอันตราย เขาดึงมือซูจิ่นซีมาไว้ด้านหลังตนเอง และเพิ่มความระมัดระวัง “ แม่นางพิษน้อย ระวัง”

แววตาเย็นชาของมู่หรงเฟิงพลันสลายหายไป กลับสู่สภาวะปกติอันสงบนิ่ง สง่างาม และหยิ่งทะนง

“โอ้ เจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังสิ เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า? ”

“ด้วยชีวิตของกระหม่อม! กระหม่อมขอเดิมพันด้วยชีวิต กระหม่อมรับรองว่าความจริงของทั้งสองเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

แววตามู่หรงเฟิงเปล่งประกายความชื่นชม ทว่าความชื่นชมนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว

“ชีวิตที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ข้าต้องการเท่าใดก็ย่อมได้กระมัง? เหตุใดต้องเป็นเจ้าด้วย? ”

บัดซบ!!

เจ้าสิชีวิตต่ำต้อย!!

ซูจิ่นซีสาปแช่งอยู่ในใจ นางระงับความโกรธและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “เดิมพันด้วยหุบเขาเทพโอสถทั้งหมดเป็นอย่างไร? หากกระหม่อมไม่สามารถตรวจพบความจริงของทั้งสองเรื่องได้ หุบเขาเทพโอสถก็จะเป็นของพระองค์ มหาอุปราช! ”

หุบเขาเทพโอสถมียาสมุนไพรล้ำค่าหายากในใต้หล้านับไม่ถ้วน นั่นเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันต้องการครอบครอง

ไม่พูดก็ต้องพูด นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม อู๋จุนคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะตัดสินใจแทนเขาอย่างง่ายดาย และนำหุบเขาเทพโอสถของเขาไปเป็นของเดิมพัน

อู๋จุนมุมปากกระตุกอย่างแรง พลางมองซูจิ่นซีด้วยความจนใจ

นึกไม่ถึงว่าขณะที่สบตาซูจิ่นซี นางจะกะพริบตาให้เขาอย่างสนุกสนาน

อู๋จุนพลันรู้สึกหัวใจเต้นแรงจนแทบละลาย

เขารีบพูดสนับสนุนซูจิ่นซี “ขอเพียงแม่นางพิษน้อยชอบ เหตุใดพี่จุนจะไม่ยินยอมให้เจ้านำหุบเขาเทพโอสถไปเป็นของเดิมพันเล่า? เดิมพันได้เลย! ”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้วมองมู่หรงเฟิง

“ท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไร? ”

มู่หรงเฟิงหรี่ตามองซูจิ่นซีโดยไม่กล่าวอันใด ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ตกลง! ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะ

“ในเมื่อเป็นการเดิมพัน นายท่านของข้าจึงใช้หุบเขาเทพโอสถอันยิ่งใหญ่มาเป็นสิ่งเดิมพัน และคงไม่เป็นการดี หากมหาอุปราชจะทรงตระหนี่ ไม่เดิมพันสิ่งใดใช่หรือไม่? หากพวกกระหม่อมพ่ายแพ้จะชดใช้ด้วยหุบเขาเทพโอสถ อย่างไรก็ตาม หากพวกกระหม่อมชนะ กระหม่อมบังอาจขอพระราชทานสิ่งของจากท่านอ๋องอย่างหนึ่ง ท่านอ๋องโปรดรับปากด้วย! ”

ช่างเป็นความกล้าหาญที่โอหังยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าวางแผนเล่นแง่กับมหาอุปราชแห่งแคว้นหนานหลี

กระทั่งมู่หรงฉีและจงเนี่ยที่กำลังต่อสู้กัน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ยังรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย

โดยเฉพาะมู่หรงฉีที่รู้จักนิสัยของมู่หรงเฟิงเป็นอย่างดี เขาถึงกับตกตะลึงจนเหงื่อตกแทนซูจิ่นซี

ต้องทราบว่ามู่หรงเฟิงมีนิสัยไม่มั่นคง แปรปรวน และยากคาดเดา เขามักเป็นฝ่ายวางแผนจัดการผู้อื่น น้อยครั้งที่ผู้อื่นจะกล้าวางแผนจัดการเขา

ครู่หนึ่ง บรรยากาศภายในตำหนักพลันตึงเครียด ผู้ที่รู้จักอารมณ์ของมู่หรงเฟิงต่างก้มหน้าลงทีละคน และไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

ทว่าซูจิ่นซีซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นเหตุการณ์ทั้งหมด กลับนั่งตัวตรง หลุบตามองต่ำ รอฟังคำตอบจากมู่หรงเฟิงโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเฟิงก็ดูมีท่าทีสนใจ ‘หนุ่มน้อยธรรมดา’ ผู้ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นครั้งแรก เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย รัศมีเยือกเย็นรอบตัวค่อยๆ ลดลง

มู่หรงเฟิงยกแขนเสื้อและเปลี่ยนท่านั่งในท่าที่สบายยิ่งขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ตกลง เห็นเจ้ามีท่าทางแน่วแน่เช่นนี้ ทั้งยังคิดอ่านแทนข้าในทุกด้าน หากข้าไม่ตอบตกลง คงดูเป็นคนใจแคบ อย่างไรก็ตาม ตอบตกลงกับเจ้าก็ไม่เห็นเป็นไร เจ้าลองพูดออกมา หากเจ้าชนะแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใด? ”

เห็นอยู่ว่าเรื่องนี้เพิ่งเริ่มต้น ทว่าแววตาของซูจิ่นซีกลับเปล่งประกายรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย นางมองต่ำเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมหรือดูถูกคุณค่าในตัวนาง

“คือว่า… พูดตามตรง กระหม่อมยังคิดไม่ออก ท่านอ๋องได้โปรดอย่าถือสา รอให้เรื่องนี้สำเร็จก่อนได้หรือไม่ หากกระหม่อมคิดดีแล้วค่อยทูลท่านอ๋อง”

“ก็ได้! ” มู่หรงเฟิงเหลือบมองซูจิ่นซี พลางยกถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นจิบ “เรื่องราวยังไม่ชัดเจน แพ้ชนะยังบอกไม่ได้ ให้พูดตอนนี้คงเร็วเกินไป รอเจ้าชนะก่อนค่อยพูดเถิด! ”

“ขอบพระทัย ท่านอ๋อง! ”

ซูจิ่นซีหันขึ้นไปมองมู่หรงเฟิงและกล่าวขอบคุณเสียงดัง

เมื่อนางยืดตัวตรงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาของนางพลันเจิดจ้าด้วยความเฉลียวฉลาดและสงบแน่วแน่

ในเวลานี้ มู่หรงฉีกับจงเนี่ยต่างหยุดต่อสู้กันและหันไปมองซูจิ่นซี

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดกับจงเนี่ยว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องราวมีลำดับความสำคัญ ควรพักเรื่องของคุณชายใหญ่ไว้ และมาพูดคุยเรื่องพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยก่อน เป็นเช่นไร? ”

เรื่องนี้ จงเนี่ยยังจะพูดสิ่งใดได้อีก?

เขากระชากเสียงเย็นชาและไม่พูดสิ่งใด แสดงถึงการตอบรับ

มู่หรงฉีมองแววตาซูจิ่นซีด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ ซูจิ่นซีให้ความมั่นใจแก่มู่หรงฉี นางหยิบยาจากแขนเสื้อและมอบให้นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“รบกวนนำโอสถนี้ให้กุ้ยเฟยเสวย”

นางกำนัลมองมู่หรงเฟิงด้วยความลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นมู่หรงเฟิงยินยอม จึงรับยามาและนำเข้าไปในห้องบรรทมของกุ้ยเฟย

จากนั้น ซูจิ่นซีก็มองไปรอบห้องอย่างครุ่นคิด และกล่าวกับมู่หรงเฟิงว่า “กระหม่อมยังมีอีกเรื่องที่ต้องการรบกวนท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดส่งผู้มีพลังภายในขั้นสูงมาช่วยกระหม่อมหนึ่งคนได้หรือไม่? ”

มู่หรงเฟิงไม่รู้ว่าซูจิ่นซีต้องการผู้มีพลังภายในขั้นสูงไปทำอันใด จึงพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ฉีอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่จงก็อยู่ที่นี่ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีกำลังภายในขั้นสูงของแคว้นหนานหลี เจ้าเลือกหนึ่งในพวกเขาทั้งสองเถิด! ”

ซูจิ่นซีมีสีหน้าไม่สู้ดี “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมต้องการใช้งานผู้มีพลังภายในขั้นสูงเพื่อประโยชน์อื่น ด้วยฐานะของฉีอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่อาจทำให้รู้สึกอึดอัดได้ คงไม่เหมาะสม… เท่าไรนัก! ”

“โอ้? ” มู่หรงเฟิงเลิกคิ้ว จากนั้นจึงยกมือขึ้น ชายในชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวข้างกายมู่หรงเฟิง และคำนับซูจิ่นซี

จากรูปแบบการปรากฏตัวและการแต่งกายนั้น ซูจิ่นซีสรุปได้ว่าคนผู้นี้อาจเป็นองครักษ์เงาข้างกายมู่หรงเฟิง นางจึงพูดว่า “คนผู้นี้เหมาะสมมาก กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋อง”

ครู่หนึ่ง นางกำนัลที่รับยาของซูจิ่นซีก็เดินออกมาจากห้อง บรรทม นางกล่าวกับมู่หรงเฟิงว่า “ทูลท่านอ๋อง กุ้ยเฟยเสวยโอสถเรียบร้อยแล้วเพคะ”

มู่หรงเฟิงหรี่ตามองซูจิ่นซีเพื่อสอบถาม

ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย นางพูดกับนางกำนัลผู้นั้นว่า “รบกวนแม่นางจุดธูปเพื่อจับเวลา”

นางกำนัลส่งสายตาสอบถามมู่หรงเฟิง มู่หรงเฟิงนิ่งเงียบไม่แสดงออกอันใด นางกำนัลจึงจุดธูปจับเวลา

ธูปก้านที่หนึ่งหมดไป ก้านที่สองตามมา ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าซูจิ่นซีคิดจะทำสิ่งใด โดยเฉพาะจงเนี่ยที่ใจร้อนจนแทบจะรอไม่ไหว

“หึ คิดจะทำอันใดกันแน่? หนุ่มน้อย เจ้าต้องการสนทนาเรื่องพระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยไม่ใช่หรือ? เจ้ากำลังทำอันใด? จับเวลาไปเพื่ออันใด? คิดจะให้พวกข้ารอใช่หรือไม่? ต้องรอไปถึงเมื่อไร? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “รบกวนท่านแม่ทัพใหญ่และท่านอ๋องทั้งสองอดทนรอจนถึงเวลาของธูปก้านต่อไป เรื่องเป็นอย่างไรนั้น หลังจากธูปหมดหนึ่งก้านแล้ว จึงจะบอกได้”

จงเนี่ยอยากบอกว่าเขาทนรอไม่ไหว ทว่าเขาเห็นมู่หรงเฟิงเอนหลังพิงเก้าอี้ราวกับรอคอยอย่างผ่อนคลาย และมู่หรงฉีที่นั่งดื่มชาอย่างสบายใจเช่นกัน

เมื่อท่านอ๋องทั้งสองไม่พูดอันใด หากมีเขาเพียงผู้เดียวที่โต้เถียงสร้างความวุ่นวายคงเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นจึงทำได้เพียงกระชากเสียงเย็นชาและหาที่นั่งลง

“หึ ข้าจะรออีกเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น หากถึงตอนนั้นแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! ”

เวลาหนึ่งก้านธูป?

ซูจิ่นซีกำลังรอสิ่งใด?