เวลาค่อยๆ ผ่านไป และเวลาหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อธูปก้านสุดท้ายในกระถางมอดลง มู่หรงเฟิงก็ลืมตาขึ้น มู่หรงฉีวางถ้วยชาในมือ ส่วนจงเนี่ยก็กวาดสายตามองซูจิ่นซีอย่างเย็นชา
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปาก นางลุกขึ้นยืนอย่างกล้าหาญ ท่ามกลางสายตาของทุกคน และพูดกับนางกำนัลว่า “รบกวนทุกท่าน เชิญกุ้ยเฟยเสด็จออกมา! ”
กระไรนะ?
เหล่านางกำนัลพลันตกตะลึง แต่ละคนต่างคิดว่าตนเองฟังผิด จึงมองซูจิ่นซีด้วยความสงสัย
ซูจิ่นซียื่นมือออกมาด้านหน้า และพูดอย่างอดทนอีกครั้งว่า “รบกวนทุกท่าน เชิญกุ้ยเฟยเสด็จออกมา! ”
“หึ! ” จงเนี่ยทุบโต๊ะด้วยความเดือดดาล เขาเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย “หมอชั้นต่ำ! เจ้าเด็กคนนี้ อยากตายใช่หรือไม่? รู้อยู่ว่ากุ้ยเฟยประชวรด้วยโรคประหลาด ไม่สามารถเห็นแสงได้ จะเชิญให้กุ้ยเฟยเสด็จออกมาได้อย่างไร? เจ้าต้องการให้กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์หรือ? ”
ซูจิ่นซียังคงอธิบายอย่างมีมารยาทว่า “โรคประหลาดของกุ้ยเฟยบรรเทาลงจนเกือบหายดีแล้ว แม้ไม่สามารถมองแสงจ้าด้านนอกได้ ทว่าสามารถมองแสงภายในห้องนี้ได้”
ทุกคนต่างประหลาดใจ จงเนี่ยยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พูดจาไร้สาระ เมื่อเช้านี้ กุ้ยเฟยยังไม่สามารถมองแสงเทียนได้ เพียงระยะเวลาอันสั้นจะสามารถเดินเหินภายในห้องได้อย่างไร? ”
แม้สีหน้าของซูจิ่นซีจะดูอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับแน่วแน่จนไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม “ข้าเป็นหมอรักษาโรคประหลาดของกุ้ยเฟย ในเมื่อข้าบอกว่าเดินได้ ก็ต้องเดินได้”
นางกำนัลไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงถามความคิดเห็นของมู่หรงเฟิง เมื่อเขาพยักหน้า เหล่านางกำนัลก็เดินเข้าไปในห้องบรรทมเพื่อเชิญกุ้ยเฟยออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเล็กแหลมก็ดังขึ้นจากห้องด้านใน
“ข้าไม่ออกไป ข้ามองแสงสว่างไม่ได้ จะออกไปได้อย่างไร? พวกเจ้า… พวกเจ้าหลอกลวงข้า ออกไป พวกเจ้าออกไป! ”
ทุกคนต่างมองไปที่ซูจิ่นซีด้วยแววตาสงสัย
ซูจิ่นซียังคงไม่มีท่าทีหวาดกลัว นางเดินมาด้านหน้าสองก้าว เข้าไปใกล้ห้องนั้น และเอ่ยเสียงดังว่า “กุ้ยเฟย กระหม่อมคือเด็กหนุ่มที่รักษาโรคให้พระองค์ กุ้ยเฟยทรงเชื่อกระหม่อมเถิด โรคของพระองค์เกือบหายดีแล้ว เพียงสวมเสื้อคลุมบังแสงก็สามารถเดินออกมาได้ เช่นนั้น… พระองค์ทดลองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ครู่หนึ่ง น้ำเสียงที่ตื่นเต้นเล็กน้อยทว่ายังคงลังเลก็ดังขึ้นจากด้านใน “ข้า… สามารถทำได้… จริงหรือ? ”
แม้กุ้ยเฟยที่อยู่ข้างในไม่อาจมองเห็นสีหน้าของซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปาก และให้คำตอบที่หนักแน่นและมั่นใจมากที่สุดแด่กุ้ยเฟย “สามารถทำได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
หลังจากรอสักพัก ผ้าม่านสีเข้มผืนหนาก็ค่อยๆ เปิดออก นางกำนัลสองคนประคองจงกุ้ยเฟยที่สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินออกมาจากในห้องอย่างเชื่องช้า
“เชิญกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีเชิญกุ้ยเฟยให้นั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง
หลังจากกุ้ยเฟยประทับลงบนที่นั่งแล้ว ซูจิ่นซีก็ถามอย่างสุภาพว่า “กระหม่อมขอบังอาจถามกุ้ยเฟย หมอหลวงท่านใดที่ตรวจชีพจรครรภ์ให้พระองค์? หมอหลวงเคยอธิบายเกี่ยวกับอายุครรภ์ของกุ้ยเฟยหรือไม่ว่าทรงพระครรภ์มากี่เดือนแล้ว? ”
กุ้ยเฟยเหลือบมองนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง นางกำนัลเดินออกจากประตูไปอย่างเงียบงัน จากนั้นไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับหมอหลวงท่านหนึ่ง
กุ้ยเฟยปฏิบัติต่อซูจิ่นซีค่อนข้างสุภาพ นางชี้มาที่ซูจิ่นซีแล้วกล่าวกับหมอหลวงว่า “หมอหลวงหลิว คนผู้นี้คือคุณชายแซ่ซูที่ระยะนี้ได้ทำการรักษาโรคให้ข้า” จากนั้นก็หันมาพูดกับซูจิ่นซีว่า “คุณชายซู หากมีสิ่งใดต้องการพูด เจ้าก็ถามหมอหลวงหลิวตามตรงได้เลย”
ซูจิ่นซีพยักหน้าและถามหมอหลวงหลิวอีกครั้ง เหมือนที่ถามกุ้ยเฟยก่อนหน้านี้
หมอหลวงหลิวพูดว่า “เช้านี้ ข้าตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย พบว่ากุ้ยเฟยทรงพระครรภ์ได้สองเดือนเต็มแล้ว”
ดวงตาซูจิ่นซีฉายแววเคร่งขรึม “หมอหลวงหลิว ท่านแน่ใจหรือ? ”
อย่างไรเสีย หมอหลวงหลิวก็เป็นถึงหมอในสำนักหมอหลวง ดังนั้นจึงดูถูกหมอชาวบ้านอย่างซูจิ่นซี
เขากระชากเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าประเมินข้าต่ำเกินไป ข้าทำงานอยู่ที่สำนักหมอหลวงมาหลายปี จะวินิจฉัยชีพจรการตั้งครรภ์ผิดพลาดได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไม่แสดงออก ทำเพียงพยักหน้า
จากนั้นจึงยกมือเรียกยอดฝีมือที่มู่หรงเฟิงมอบหมายให้ก่อนหน้านี้ และพูดบางอย่างข้างใบหูของเขา
“กุ้ยเฟยล่วงเกินแล้ว”
คนผู้นั้นยื่นมือทั้งสองไปยังเบื้องพระพักตร์ของกุ้ยเฟย จากนั้นจึงถ่ายพลังภายในเข้าสู่พระวรกายของกุ้ยเฟย
สีพระพักตร์ของกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปทันที
“เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใดข้า? บังอาจ เจ้า… เจ้าทำอันใดข้า? ”
อย่างไรก็ตาม แม้กุ้ยเฟยจะดิ้นรนเพียงไรก็สายเกินไปเสียแล้ว
แววตาของทุกคนปรากฏความประหลาดใจ พระครรภ์แบนราบของกุ้ยเฟยค่อยๆ โตขึ้นมาเต็มฝ่ามือขององครักษ์เงาผู้นั้น
“เจ้า… เจ้าทำสิ่งใดกับข้า? ” กุ้ยเฟยชี้ไปที่ซูจิ่นซีแล้วกล่าวว่า “บังอาจ… เจ้าคิดจะทำร้ายข้าใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางไม่ได้สนใจกุ้ยเฟย ทั้งยังพูดกับมู่หรงเฟิงว่า “ท่านอ๋อง พระองค์สามารถเชิญหมอหลวงอีกท่านมาตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟยได้หรือไม่? ”
มู่หรงเฟิงยกมือ “เชิญหมอหลวงซุนเข้ามา! ”
ทันทีที่พูดจบ นางกำนัลก็รีบเดินออกจากประตูไปเชิญหมอหลวงซุน
วิชาแพทย์ของหมอหลวงซุนยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักหมอหลวง ทั้งเขายังรับผิดชอบดูแลพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยมาตลอด เป็นผู้ที่จงกุ้ยเฟยและจงเนี่ยเชื่อถือที่สุด
ครู่หนึ่ง หมอหลวงซุนก็เดินเข้ามา เขาทำความเคารพทุกคนตามลำดับ
ซูจิ่นซีประสานมือและพูดว่า “รบกวนหมอหลวงซุนช่วยตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย ดูว่าพระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยกี่เดือนแล้ว”
หมอหลวงซุนผู้นั้นเห็นพระครรภ์ที่บวมโตของกุ้ยเฟยก็ตกตะลึงทันที เขามองไปที่มู่หรงเฟิง เมื่อเห็นมู่หรงเฟิงอนุญาตจึงก้าวมาด้านหน้าและตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย
กุ้ยเฟยรู้สึกประหม่าอย่างมาก นางลุกขึ้นยืนและวิ่งไปในห้องชั้นใน “ข้าไม่ตรวจชีพจร ข้าไม่ตรวจชีพจร พวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้า พวกเจ้าไม่มีผู้ใดดีสักคน พวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้า ข้าไม่ตรวจชีพจร”
“ท่านอ๋อง! ” ซูจิ่นซียื่นมือไปทางมู่หรงเฟิง
มู่หรงเฟิงยกมือ ทันใดนั้น องครักษ์สองนายก็ก้าวมาด้านหน้าและนำตัวกุ้ยเฟยมานั่งบนเก้าอี้
เดิมทีจงเนี่ยคิดจะขัดขวาง ทว่าถูกสายตาดุดันของมู่หรงเฟิงข่มไว้ จึงไม่พูดสิ่งใดและไม่เคลื่อนไหว
ซูจิ่นซีเหลือบมองหมอหลวงซุน
หมอหลวงซุนเดินมาข้างหน้า ก่อนจะจับข้อมือของกุ้ยเฟยเพื่อตรวจชีพจร
ครู่หนึ่ง หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองกุ้ยเฟยที่กำลังตกประหม่าอย่างมาก จากนั้นจึงมองไปยังทุกคน เหงื่อเย็นเฉียบค่อยๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
“หมอหลวงซุน ชีพจรครรภ์เป็นอย่างไร? ต้องรออีกนานเท่าใดหรือ? ” ซูจิ่นซีกล่าวเสียงดัง
สีหน้าหมอหลวงซุนมีความลำบากใจเล็กน้อย
ซูจิ่นซีจึงถามต่อ “ท่านเพียงบอกทุกคนว่า พระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยกี่เดือนแล้ว? ”
ขณะที่หมอหลวงซุนกำลังจะพูด เขาเหลือบมองท่าทางของจงกุ้ยเฟยและจงเนี่ย ทันใดนั้นก็กลืนคำพูดกลับไป ไม่ยอมเอ่ยออกมา
มู่หรงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หมอหลวงซุน เป็นอย่างไรกันแน่? ”
หมอหลวงซุนปล่อยข้อมือของกุ้ยเฟย เขาเดินมาเบื้องหน้ามู่หรงเฟิง ก่อนจะประสานมือคำนับและพูดด้วยความหวาดกลัว “ทูล… ทูลมหาอุปราช พระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยอายุห้า… ห้าเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ… ”
“ไร้สาระ! ”
จงเนี่ยสบถด้วยความโกรธ เขาหันไปทางหมอหลวงซุนที่อยู่ด้านข้างและใช้เท้าข้างหนึ่งเตะหมอหลวงซุนจนกระเด็นลอยออกไป จากนั้นก็ชักดาบที่ข้างเอวออกมาดัง ‘ฟับ’ และวาดไปทางซูจิ่นซี
เขากล่าวสาปแชงว่า “เจ้าเป็นหมอต้มตุ๋น เจ้าทำสิ่งใดกับกุ้ยเฟย? ข้าจะฆ่าเจ้า! ”