“แม่นางพิษน้อย… ”
อู๋จุนตกใจ รีบวิ่งไปทางจงเนี่ยเพื่อขัดขวางเขา
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเป็นมู่หรงฉีที่วิ่งเร็วกว่าอู๋จุน
ในช่วงเวลาวิกฤติ พวกเขาเห็นเพียงเงาสีขาว จากนั้นพลังภายในที่รุนแรงก็พุ่งเข้าใส่ดัง ‘โครม’ ดาบใหญ่ในมือของจงเนี่ยที่กำลังฟาดฟันมายังลำคอของซูจิ่นซีแตกออกเป็นเสี่ยง
ด้ามจับของดาบก็หักตกลงบนพื้นดัง ‘ตุบ’
หลังจากผ่านช่วงวิกฤตระหว่างความเป็นและความตาย หากเป็นสตรีทั่วไปคงหวาดกลัวจนหน้าถอดสีไปแล้ว
ทว่าซูจิ่นซียังคงยืนหลังตรง รูปร่างเล็กกะทัดรัดของนางมองดูยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งยังไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย
สายลมพัดแรงทำให้ผมบนหน้าผากของนางพลิ้วไหวอย่างต่อเนื่อง นางค่อยๆ ปิดบังคิ้วเข้มของตน พลางยกยิ้มมุมปากอย่างสงบ มองดูมุ่งมั่นอย่างมาก
ราวกับดาบในมือของจงเนี่ยที่เต็มไปด้วยไอสังหารไม่ได้เล็งไปที่นาง ราวกับไอสังหารเย็นเฉียบเมื่อครู่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย
มู่หรงเฟิงและจงเนี่ย ทั้งสองต่างมีอำนาจเท่าเทียมกันจึงเป็นคู่ต่อกรกันอีกครั้ง
น้ำเสียงของมู่หรงเฟิงฟังดูผ่อนคลาย ราวกับมีความสุขที่ได้ชมการแสดงดังกล่าว
“ท่านแม่ทัพใหญ่จง เรื่องราวต่างๆ ยังไม่ปรากฏชัดเจน! ท่านก็ตื่นตระหนกเช่นนี้แล้ว หรือมีเรื่องน่าละอายเกิดขึ้นจริง ท่านจึงรีบร้อนต้องการปิดบังให้ได้? ”
จงเนี่ยกระชากเสียง หึ พลางถอนฝ่ามือที่กำลังต่อสู้กับมู่หรงฉี และถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่พูดอันใด
ท่าทางของซูจิ่นซียังคงทะนงตน นางถามมู่หรงฉีว่า “บังอาจถามฉีอ๋อง เมื่อห้าเดือนก่อน พระองค์อยู่ที่ใด? ”
แม้เป็นคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ทว่าซูจิ่นซียังถามมู่หรงฉีต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
มู่หรงฉีมองดวงตาทั้งคู่ของซูจิ่นซีด้วยสีหน้าสับสน “ห้าเดือนก่อนคือเดือนสิบสองของปีที่แล้ว ข้าอยู่ที่แคว้นจงหนิงตลอด”
“ไม่ทราบว่า เหตุใดฉีอ๋องจึงไปที่แคว้นจงหนิง? ”
มู่หรงฉีไม่ได้ตอบซูจิ่นซีในทันที สีหน้าแววตาที่ซับซ้อนยิ่งทำให้คนยากคาดเดา ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ข้าไปที่แคว้นจงหนิงเพื่อตรวจสอบเรื่องส่วนตัวบางอย่าง”
เรื่องส่วนตัว ซูจิ่นซีจึงไม่ได้ถามต่อ
ซูจิ่นซีหันหลังกลับทันที ใบหน้าเรียวเล็กและงดงามนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขของผู้ชนะ
นางพูดกับมู่หรงเฟิงว่า “ท่านอ๋อง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องให้กระหม่อมอธิบายอันใดให้มากความกระมัง? ฉีอ๋องเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาอย่างอยุติธรรมจริงๆ ห้าเดือนก่อน ฉีอ๋องอยู่ที่แคว้นจงหนิง อยู่ห่างจากกุ้ยเฟยนับพันลี้ ไม่ว่าอย่างไร ทารกในพระครรภ์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉีอ๋องแม้แต่น้อย”
“พูดจาเหลวไหล! ” กุ้ยเฟยตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง “หมอต้มตุ๋นอย่างเจ้า เสียแรงที่ข้าเชื่อเจ้า เจ้าทำสิ่งใดกับข้ากันแน่? ทารกในครรภ์ของข้ามีอายุสองเดือนชัดๆ เหตุใดจึงกลายเป็นห้าเดือนไปได้? เจ้า… ทำสิ่งใดกับข้า? ”
ขณะที่ซูจิ่นซีหันไปมองจงกุ้ยเฟย แววตาสดใสเป็นประกายก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในพริบตา
นางหรี่ตาทั้งคู่ลง “กุ้ยเฟย พระองค์ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะถึงทางตันจริงๆ ต้องให้กระหม่อมเปิดโปงความอัปยศของพระองค์ออกมาทั้งหมด พระองค์จึงจะยอมรับใช่หรือไม่? ”
จงกุ้ยเฟยพูดไม่ออก นางยกมุมปากด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ซูจิ่นซีมองมู่หรงฉีพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “แท้จริงแล้วเป็นความประมาทของกระหม่อม คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ได้มีเพียงกุ้ยเฟยผู้เดียวที่ไม่พอพระทัย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์คงเกิดความสงสัยอยู่ในใจ ทั้งยังต้องการทราบว่าเมื่อครู่นั้น กระหม่อมให้องครักษ์ของท่านอ๋องทำสิ่งใดกับกุ้ยเฟยกระมัง? เหตุใดกุ้ยเฟยที่เดิมทีมีอายุครรภ์เพียงสองเดือนจึงกลายเป็นห้าเดือนในชั่วพริบตา”
ซูจิ่นซีพูดพลางมองไปที่องครักษ์ผู้นั้น “รบกวนพี่ชายท่านนี้อธิบายกับทุกคน เมื่อครู่ข้าให้ท่านทำสิ่งใด? ”
องครักษ์ผู้นั้นเงียบขรึมไม่แสดงท่าทีอันใด ก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อครู่ คุณชายซูให้กระหม่อมใช้พลังภายในทะลวงเส้นลมปราณเริ่นตู เสวียนคง ชื่อโหรว ทั้งสามจุดของกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเข้าใจดีว่าการปิดกั้นเส้นลมปราณบริเวณเริ่นตู เสวียนคง และชื่อโหรวจะมีผลลัพธ์อย่างไร
และการทะลวงเส้นลมปราณบริเวณทั้งสามจุดนั้น มีผลลัพธ์อย่างไร
ทุกคนต่างมองจงกุ้ยเฟยด้วยสายตาแปลกประหลาดครู่หนึ่ง
กระทั่งจงเนี่ยยังมีท่าทีทั้งเคร่งขรึมทั้งอึดอัดใจ
“ไม่… พวกเจ้าพูดสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ ข้าฟังไม่เข้าใจ”จงกุ้ยเฟยยังคงพูดจาโยกโย้
ซูจิ่นซีมีใบหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงในยามนี้กลับดุดันราวกับนางเป็นผู้ควบคุมโชคชะตา
“ในเมื่อกุ้ยเฟยไม่เข้าพระทัย เช่นนั้นกระหม่อมจะอธิบายให้กุ้ยเฟยฟัง เดิมทีอายุครรภ์ของพระองค์คือห้าเดือนเต็ม ทว่าสาเหตุที่ชีพจรการตั้งครรภ์กลายเป็นสองเดือนนั้น เป็นเพราะมีผู้ใช้กำลังภายในสกัดกั้นตำแหน่งลมปราณเริ่นตู เสวียนคง และชื่อโหรวในพระวรกายของพระองค์ ส่งผลให้พลังหยินหยางในพระวรกายของพระองค์เกิดการเปลี่ยนแปลง”
“บัดซบ ช่างชั่วร้ายเกินไปแล้ว” อู๋จุนสบถเสียงต่ำ พลางตบไหล่มู่หรงฉี “เจ้าฉี สตรีผู้นี้ชั่วร้ายเกินไปแล้วจริงๆ เกือบทำร้ายเจ้าเข้าแล้ว”
มู่หรงฉีสีหน้าเรียบเฉย จากท่าทีของเขานั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
“ไม่… เป็นไปไม่ได้… เป็น… เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” พระพักตร์ของจงกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางส่ายศีรษะปฏิเสธและรีบวิ่งไปยังข้างกายจงเนี่ย นางดึงแขนเสื้อของจงเนี่ยแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านพี่… ข้าถูกใส่ร้าย ท่านช่วยพูดแทนข้าด้วย ท่านช่วยพูดแทนข้า! ข้าถูกใส่ร้าย”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา พลางมองจงกุ้ยเฟยด้วยแววตาเฉยเมย “กุ้ยเฟย พระองค์ก็เป็นผู้มีวรยุทธ์ ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงระบบหยินหยางในพระวรกายของพระองค์ได้ การสกัดกั้นเส้นลมปราณทั้งสามจุด พระองค์ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีพูดพลางยกยิ้มมุมปากลึกซึ้ง “หากเป็นเช่นนั้น วรยุทธ์ของพระองค์ก็นับว่าฝึกฝนมาเสียเปล่าแล้ว”
ซูจิ่นซีพูดอย่างชัดเจน ส่วนผู้ใดที่ปิดกั้นเส้นลมปราณทั้งสามจุดของจงกุ้ยเฟยเพื่อเปลี่ยนแปลงชีพจรของนาง ไม่ต้องพูดอันใดให้มากความแล้วกระมัง?
จงเนี่ยอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรปกป้องน้องสาวของตนอย่างไร
เรื่องราวปรากฏชัดเจน แม้เขาจะมีอำนาจทางทหารในราชสำนัก ทว่าซ้ายขวายังมีมู่หรงเฟิงและมู่หรงฉี เขาไม่อาจพูดกลับดำเป็นขาวได้
จงกุ้ยเฟยวิ่งไปแทบเท้าของมู่หรงฉี นางดึงแขนของเขาแล้วพูดว่า “พี่ฉี ท่าน… ช่วยพูดแทนจื่อเยียน ท่านพูดแทนจื่อเยียน จื่อเยียนถูกใส่ร้าย จื่อเยียนถูกใส่ร้ายจริงๆ พี่ฉี ท่านเข้าใจจื่อเยียนมากที่สุด ท่านช่วยพูดแทนจื่อเยียนที”
มู่หรงฉีนิ่งเงียบไม่แสดงท่าที ทำเพียงมองจงจื่อเยียนที่อยู่แทบเท้าตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ครู่หนึ่ง ท่ามกลางแววตาคาดหวังของจงจื่อเยียน มู่หรงฉีก็พูดขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “จงจื่อเยียนในยามนี้ ไม่ใช่จงจื่อเยียนในอดีตอีกแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่มู่หรงฉีในตอนนั้นเช่นกัน”
แววตาที่ลุกโชนด้วยความคาดหวังของจงจื่อเยียนพลันดับวูบ ราวกับถูกน้ำเย็นราดรดจนมอดดับ นางค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อของมู่หรงฉีและทรุดตัวนั่งลงบนพื้น น้ำตาไหลอาบสองแก้มอย่างสิ้นหวัง
ซูจิ่นซีเพียงพูดในสิ่งที่ตนเองทราบเพื่อทวงคืนความบริสุทธิ์ให้มู่หรงฉี ส่วนทารกในพระครรภ์ของจงกุ้ยเฟยเป็นของผู้ใดนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
แท้จริงแล้ว ตอนที่ซูจิ่นซีตรวจชีพจรให้จงกุ้ยเฟยครั้งแรก นางก็ตรวจพบความผิดปกติในพระวรกายของจงกุ้ยเฟยแล้ว