แม้โรคผีดูดเลือดจะไม่สามารถมองแสงสว่างได้ ทว่าอาการที่ไร้ซึ่งชีพจรนั้น ไม่ใช่อาการของโรคผีดูดเลือด อีกทั้งลมหายใจของจงกุ้ยเฟยในยามนั้นก็มีความสับสนเล็กน้อย ทั้งนางยังเปิดเผยเรื่องที่ตนเองไม่อาจเห็นสิ่งของที่เคลื่อนไหวได้ ซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีความผิดปกติ
ต่อมา ด้วยข้ออ้างในการรักษาโรคประหลาดให้จงกุ้ยเฟย ซูจิ่นซีได้ใช้การฝังเข็มและรมยาเพื่อทะลวงหลอดเลือดในจุดต่างๆ บนพระวรกายของจงกุ้ยเฟยอย่างเชื่องช้า และฟื้นฟูชีพจรของนาง
ในระยะเวลานั้น ซูจิ่นซีได้พบชีพจรการตั้งครรภ์ของจงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นชีพจรที่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว
ชีพจรตั้งครรภ์ห้าเดือน ทว่าท้องกลับไม่นูนแม้แต่น้อย นอกจากนั้น ซูจิ่นซีไม่สามารถใช้เข็มฝังไปที่จุดเริ่นตู เสวียนคง และชื่อโหรว ทั้งสามจุดบนพระวรกายของจงกุ้ยเฟยได้ นางจึงสงสัยว่าการตั้งครรภ์ของจงกุ้ยเฟยต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงยกเลิกความคิดที่จะใช้วิธีอาบน้ำยาเพื่อรักษาโรคผีดูดเลือดให้จงกุ้ยเฟย และวางแผนใช้วิธีอื่น
คาดไม่ถึงว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งคืน จงกุ้ยเฟยก็พบว่าชีพจรของตนฟื้นฟูกลับมาแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องการตั้งครรภ์ของตนคงไม่อาจปกปิดได้อีก ดังนั้นในยามที่หมดสิ้นหนทาง นางจึงคิดผลักปัญหาไปให้มู่หรงฉี
อย่างไรก็ตาม มู่หรงฉีก็เป็นผู้ที่นางเคยรัก นึกไม่ถึงว่าเมื่อเวลาผันเปลี่ยน เหตุการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป นางกลับใช้วิธีสกปรกเช่นนี้กับอดีตคนรักของตน
ซูจิ่นซีไม่ต้องการพูดสิ่งใดอีก
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีให้นางกำนัลนำโอสถไปให้จงกุ้ยเฟยเสวยเพื่อบรรเทาอาการของโรคผีดูดเลือดเท่านั้น จงกุ้ยเฟยจึงสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย รอจนยาหมดฤทธิ์ก็จะกลับสู่สภาพเดิม จงกุ้ยเฟยยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ไม่อาจพบเห็นแสงสว่างในยามกลางวันได้
“ฉีเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าก็ขอมอบให้เจ้าจัดการ” มู่หรงเฟิงมอบอำนาจในการจัดการเรื่องจงกุ้ยเฟยให้มู่หรงฉี
สีหน้าของมู่หรงฉียังคงเรียบเฉย “อย่างไรเสีย กุ้ยเฟยก็เป็นนางสนมของเสด็จพ่อ ในเมื่อวันนี้เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว มีเสด็จลุงกำกับดูแลราชสำนัก ภารกิจของราชสำนักน้อยใหญ่ล้วนมีเสด็จลุงคอยตัดสินพระทัย เรื่องนี้กระหม่อมไม่อาจยื่นมือเข้ามาจัดการได้ เสด็จลุงโปรดตัดสินด้วยเถิด”
มู่หรงเฟิงจึงเข้ามาตัดสินอย่างไม่เกรงใจ “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้ปิดตำหนักชื่อเซี่ย หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามผู้ใดเข้าออกตำหนักชื่อเซี่ยเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักของกุ้ยเฟยต่างรีบคุกเข่าน้อมรับคำสั่ง
จงเนี่ยต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่ายังไม่สามารถหาเหตุผลและความเหมาะสมในการเอ่ยปากได้
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตำหนักชื่อเซี่ยวันนี้ ห้ามเปิดเผยออกไปเป็นอันขาด หากผู้ใดกล้าแพร่งพราย ประหารไม่ละเว้น! ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม้เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ ทว่ากลับทำให้ทุกคนไม่อาจมองข้ามความเด็ดขาดและความน่าเกรงขามนั้นได้
พวกเขาต่างก้มศีรษะลงต่ำ กลั้นลมหายใจและไม่กล้าส่งเสียง
“ไม่… ” จงกุ้ยเฟยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง นางลุกขึ้นเดินออกไปนอกประตู “ข้าเป็นพระสนมของฝ่าบาท เป็นกุ้ยเฟยที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด ข้าต้องการจะดูสิว่า หากวันนี้ฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว เมื่อไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท พวกเจ้าผู้ใดที่กล้าปิดตำหนักของข้า ผู้ใดกล้าปิดตำหนักชื่อเซี่ย? ”
จงกุ้ยเฟยเพิ่งเดินถึงประตูทางออก นางกำลังจะก้าวเท้าออกไป ทว่าเมื่อพบกับแสงแดดสว่างจ้า นางก็หดตัวกลับมาราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
ใบหน้าที่เดิมทีขาวซีดดั่งหิมะพลันบวมแดงเหมือนถูกไฟแผดเผา ทั้งบริเวณที่มีบาดแผลรุนแรงยังมีเลือดไหลซึมออกมา
อย่างไรก็ตาม จงกุ้ยเฟยยังคงพุ่งตัวออกไปอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด
“จื่อเยียน เจ้าอยากตายหรือ! ”
จงเนี่ยก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดจงกุ้ยเฟย นางกำนัลที่ปรนนิบัติข้างกายจงกุ้ยเฟยต่างรีบออกมาขัดขวางเช่นกัน
จงกุ้ยเฟยไม่อาจสลัดหลุดจากพันธนาการและหลบหนีออกไปได้ ทำได้เพียงถอยกลับเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้องโถง พลางชี้ไปที่มู่หรงเฟิงราวกับกำลังร่ายคำสาปแช่ง “เจ้าทรราชสายเลือดชั่วร้าย! เจ้าทรราชสังหารบิดาและพี่น้อง! บรรพบุรุษสกุลมู่หรงเฝ้ามองอยู่บนสวรรค์! ต้องมีสักวัน สิ่งที่เจ้าติดค้างสกุลมู่หรง ติดค้างฝ่าบาทและพี่ฉี พวกเขาจะเอาคืนเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าต้องไม่ตายดี… ”
จงกุ้ยเฟยพูดพลางกระแทกศีรษะกับดาบที่อยู่ในมือของจงเนี่ย
ทันใดนั้น เลือดแดงฉานก็กระจายไปทั่วอากาศ ราวกับดอกไม้ไฟพุ่งไปบนร่างกายของจงเนี่ย
มู่หรงฉีที่อยู่ใกล้จงเนี่ยและจงกุ้ยเฟยมากที่สุดมีท่าทีตกใจ เดิมทีเขาต้องการเข้าไปขัดขวาง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ทันการณ์
คราบเลือดที่พุ่งออกมาจากลำคอขาวดั่งหยกของจงกุ้ยเฟย กระเซ็นไปบนเสื้อสีขาวนวลจันทร์ของเขา ดุจดอกเหมยสีแดงที่บานสะพรั่งริมแม่น้ำฉินสุ่ยแคว้นหนานหลีในฤดูหนาวปีนั้น
มู่หรงฉีมองจงจื่อเยียนที่อยู่ในอ้อมแขนของจงเนี่ย ดวงตาของเขาค่อยๆ ปิดลงราวกับปลดปล่อยทั้งที่ไม่เต็มใจ นิ้วมือเรียวยาวสั่นเทาเล็กน้อยภายใต้แขนเสื้อกว้าง เขาปรารถนาจะยื่นมือออกไป ทว่าสุดท้ายก็กำหมัดแน่น ไม่กล้ากระทำเกินขอบเขต
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงเฟิงเหลือบไปมองขันทีผู้ดูแลตำหนักชื่อเซี่ย ขันทีผู้นั้นเข้าใจในทันที เขาเดินไปด้านนอกประตูและตะโกนว่า “กุ้ยเฟยทรงประชวรหนัก สิ้นพระชนม์แล้ว… ”
ทันใดนั้น เสียงคุกเข่าและเสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังขึ้นจากทั้งด้านในและด้านนอกตำหนัก
นึกไม่ถึงว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว มู่หรงเฟิงยังเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยท่าทางเรียบเฉย
แววตาของเขาทอดยาวจ้องมองซูจิ่นซี “คุณชายซู ในเมื่อเรื่องของจงกุ้ยเฟยและฉีอ๋องเป็นที่กระจ่างแล้ว ต่อไปควรพูดถึงเรื่องคุณชายใหญ่จงใช่หรือไม่? เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เจ้าต้องรีบสักหน่อย ข้ายังต้องไปเดินชมนกชมไม้อีก! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองจงเนี่ยที่กำลังจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ และพูดอย่างครุ่นคิดว่า “เดิมทีกระหม่อมเพียงต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉีอ๋อง กลับนึกไม่ถึงว่ากุ้ยเฟยไม่อาจแบกรับปัญหาได้และตัดสินพระทัยลาโลกไป ท่านแม่ทัพใหญ่โศกเศร้าเป็นอย่างมาก หากยามนี้ยังพูดถึงเรื่องคุณชายใหญ่ เกรงว่าคงไม่เหมาะสม ท่านอ๋อง พระองค์เห็นว่าเรื่องนี้ควรเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งดีหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น ควรรอจนเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระศพของกุ้ยเฟย แล้วค่อยพูดกันอีกครั้ง? ”
หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี น้ำเสียงที่หนักแน่นและเข้มงวดของจงเนี่ยก็ดังขึ้น “ไม่ต้อง! ”
เขาวางร่างของจงกุ้ยเฟยลง แววตาดั่งเปลวเพลิงจ้องมองซูจิ่นซีด้วยความโกรธแค้น ราวกับเสือหรือหมาป่าดุร้ายที่ต้องการกลืนกินซูจิ่นซี
“ข้ายังทนไหว เรื่องบุตรชายของข้า หากวันนี้เจ้าไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างได้ ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าเพื่อสังเวยต่อดวงวิญญาณของเขาที่อยู่บนสวรรค์อย่างแน่นอน”
ชัดเจนว่าจงเนี่ยพูดถึงซูจิ่นซี ทว่าพลังอำนาจอันเย็นชากลับมุ่งไปยังผู้คนที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง จนพวกเขาต่างสันหลังเย็นวาบไปถึงคอหอย
ซูจิ่นซียังคงมีท่าทีเรียบเฉย นางยกยิ้มมุมปากอย่างมีความหมาย “ตกลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเรามาตัดสินอย่างรวดเร็ว รีบไปที่จวนของท่านแม่ทัพใหญ่กันเถิด”
“ไปที่จวนของท่านแม่ทัพใหญ่? ” อู๋จุนกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง “แม่นางพิษน้อย ไปจวนท่านแม่ทัพใหญ่เพื่ออันใด? ”
หากพูดเรื่องนี้ในวังหลวง ยังมีมู่หรงฉีและมู่หรงเฟิงคอยถ่วงดุลระหว่างกลาง ต่อให้จงเนี่ยโกรธแค้นซูจิ่นซีเพียงใด ก็ไม่สามารถทำอันใดซูจิ่นซีได้
ทว่าหากไปที่จวนท่านแม่ทัพใหญ่ ที่นั่นเป็นถิ่นของจงเนี่ย เขาต้องการกระทำสิ่งใด ถึงเวลานั้นคงไม่ต้องรอให้ผู้ใดตัดสิน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?
นางมองอู๋จุนกับมู่หรงฉีที่เต็มไปด้วยคำถามและมีท่าทางกังวลใจด้วยความมั่นใจ
“เวลานี้ร่างของคุณชายใหญ่จงอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพใหญ่ หากต้องชันสูตรศพก็ต้องไปที่จวนท่านแม่ทัพใหญ่เป็นเรื่องปกติ”
ซูจิ่นซีพูดจบก็หันไปมองมู่หรงเฟิงด้วยสายตาอบอุ่น
มู่หรงเฟิงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอกด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ไปจวนท่านแม่ทัพใหญ่! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
เหล่าคนที่ติดตามมหาอุปราชรีบตอบรับคำ จากนั้นจึงเดินทางไปยังจวนของท่านแม่ทัพใหญ่
มู่หรงเฟิงเดินออกไปแล้ว มู่หรงฉีกับคนอื่นๆ ก็ไม่พูดสิ่งใดให้มากความ และเดินทางไปยังจวนท่านแม่ทัพใหญ่พร้อมกัน
สีหน้าจงเนี่ยยิ่งเย็นชามากขึ้น เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารและความอาฆาตแค้นซึ่งไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
กระทั่งอู๋จุนที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของจงเนี่ย ยังตกใจแทนซูจิ่นซีจนเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมา
จงเนี่ยในยามนี้เป็นดั่งเสือโคร่ง หมาป่า เสือดาว และจวนของท่านแม่ทัพใหญ่ก็เปรียบเสมือนถ้ำเสือ เป็นสถานที่ที่มีแต่ทางไปทว่าไร้หนทางกลับ
แม่นางพิษน้อย เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่?
ไปจวนท่านแม่ทัพใหญ่เพียงลำพังได้อย่างไร?
นี่มันรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?