บทที่ 1812+1813

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1812 บทลงโทษของเขา 2

มู่เฟิงยังคงเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง เขาจึงได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้เช่นกัน

เขายังคงฉงนอยู่บ้าง วาจาที่นายท่านของบ้านตนกล่าวนั้นปกติยิ่งนัก แล้วเหตุใดนางผู้เป็นฮูหยินต้องหน้าแดงด้วยเล่า?

กู้ซีจิ่วไม่คิดจะคุยกับตี้ฝูอีต่อไปแล้ว ปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงเสียเลย

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรงไปหาเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋

ยามนี้สัตว์สองตัวนี้บรรลุระดับสูงสุดของสัตว์ร้ายแล้ว ดังนั้นจึงสามารถเข้าออกวังมรกตแห่งนี้ได้ตามอัธยาศัยยิ่ง

แต่เพรียกวายุทำไม่ได้ ถึงอย่างไรคุณสมบัติก็ต่ำเกินไป ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงให้เพรียกวายุอยู่จวนทูตสวรรค์เสีย มอบให้เป็นสัตว์พาหนะของหลัวจั่นอวี่

หลังจากสัตว์สองตัวนี้เข้าสู่วังมรกตแห่งนี้ก็ราวกับได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ ฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างลิงโลดยินดี

ตอนที่กู้ซีจิ่วหาพวกมันพบ พวกมันกำลังคุยเล่นกันพลางจับปลาในสระวิญญาณ

เมื่อเห็นเธอมา พวกมันก็หดลงไปในน้ำทันที เอ่ยทักทายเธออย่างระมัดระวัง “เจ้านาย…”

กู้ซีจิ่วมองดูสองตัวนี้ เปลือกของเจ้าหอยยักษ์ฝึกฝนจนกลายเป็นสีชมพูเหลือบทองแล้ว ส่องประกายแยงตาอย่างยิ่งอยู่ภายใต้แสงตะวัน ส่วนลู่อู๋ก็แปลงเป็นร่างเดิมดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ มันตัวโตขนาดเท่าลูกม้าแล้ว ยามที่พวงหางทั้งเก้าโบกสะบัดดูราวกับนกยูงรำแพนหาง องอาจอย่างยิ่ง

ร่างเดิมของลู่อู๋คือพยัคฆ์เก้าหางหน้าคน ดวงหน้านั้นของมันน่ามองยิ่งนัก ดวงตาโต ขนตายาวเป็นแพ เสมือนเด็กน้อยหน้ามนที่หล่อเหลาคนหนึ่ง

กู้ซีจิ่วพรูลมหายใจออกมา นับตั้งแต่เจ้าสองตัวนี้มายังวังมรกต ระดับความก้าวหน้ารวดเร็วเหนือธรรมดาจริงๆ!

เธออารมณ์ดียิ่งนัก เอ่ยทักทายเจ้าสองตัวนี้ พลางถามพวกมันด้วยว่าระหว่างฝึกฝนพบความลำบากอันใดหรือไม่

สีหน้าเธอแจ่มใสอ่อนโยน แววตาคลายเจือรอยยิ้มไว้

ลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์สบตากันแวบหนึ่ง เจ้าหอยยักษ์ทำใจกล้า เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “เจ้านาย ท่านอารมณ์ดีแล้วหรือ?”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “พวกเจ้ามองออกด้วยหรือว่าข้าอารมณ์ไม่ดี?”

ลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์พยักหน้ารัวๆ ปานสากตำครก “เจ้านาย ระยะนี้อารมณ์ของท่านเลวร้ายอย่างยิ่ง!” ช่วงที่ผ่านมาเจ้านายทำราวกับมองไม่เห็นพวกมันบ้างล่ะ ติเตียนว่ากล่าวอย่างรุนแรงบ้างล่ะ ดุด่าจนพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้ ดุด่าจนพวกมันหัวโตไปหมดแล้ว

แถมยังยากนักที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้านาย นอกจากเวลาที่อยู่กับตี้ฝูอีแล้ว นางสามารถยิ้มอย่างฝืนๆ ได้แวบเดียวเท่านั้น ยามปกตินางราวกับสูญเสียวิญญาณไปแล้วก็มิปาน อารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งนัก ทำให้ระยะนี้ลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์ไม่กล้าสู้หน้านาง ด้วยเกรงว่าจะโดนพายุอารมณ์ของนางซัดเอา

ยามนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้านายจะมีรอยยิ้มแล้ว ซ้ำยังมิใช่การยิ้มอย่างเนื้อยิ้มหนังไม่ยิ้มด้วย พบเห็นได้น้อยยิ่งนักจริงๆ!

ลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์เล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ให้เธอฟัง กู้ซีจิ่วรู้สึกละอายอยู่ในใจ ช่วงที่ผ่านมาเธอสิ้นหวังจนเกินไป ถึงแม้จะฝืนยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จยิ่งนัก

แม้แต่เจ้าสองตัวนี้ที่ประสาทสัมผัสหนายิ่งกว่าสายไฟก็ยังสัมผัสได้ว่าเธอไม่ปกติ

เมื่อก่อนตนเป็นคนประเภทที่ไม่เผยอารมณ์ออกมา นึกไม่ถึงเลยว่าจะเสียกิริยาด้วยเรื่องนี้ของตี้ฝูอีได้…

เธอมองเจ้าสองตัวนี้ “พรุ่งนี้พวกเจ้าจะเข้าไปในแดนต้องห้ามเป็นเพื่อนข้ากระมัง?”

ลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์พยักหน้า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกพวกเราแล้ว แถมยังสอนเวทวิชาที่พวกเราใช้ในดินเพลิงพุทธะได้ให้อีกด้วย เมื่อกี้ที่พวกเราอยู่ในน้ำก็เพราะฝึกฝนวิชานี้”

หัวใจของกู้ซีจิ่วอบอุ่น ดูเหมือนตี้ฝูอีจะจัดการอะไรๆ ให้เธอเรียบร้อยหมดแล้ว…

เธอสูดหายใจเบาๆ ปลุกกำลังวังชาขึ้นมา “ดีมาก พวกเราจะฝึกไปด้วยกัน! ประเดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปกินของอร่อย!”

เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋สบตากันแวบหนึ่ง ตื่นตันจนอยากจะร้องไห้ออกมา!

ในที่สุดเจ้านายก็กลับเป็นปกติแล้ว! ดีใจเหลือเกิน!

เจ้าหอยยักษ์รับสั่งอาหารทันที “เจ้านาย ข้าอยากกินอกกวางย่าง! แพะย่างทั้งตัว…” มันพูดออกมารวดเดียวเจ็ดแปดอย่าง ล้วนเป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วถนัดที่สุด และเป็นสิ่งที่มันชอบกินที่สุด

——————————————————————-

บทที่ 1813 บทลงโทษของเขา 3

วันนี้กู้ซีจิ่วคุยง่ายอย่างยิ่ง “ได้! ถ้าวันนี้พวกเจ้าฝึกได้ดี เย็นนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้า!”

“เย้!” ดวงตาของเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น!

สวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าพวกมันไม่ได้กินอาหารเลิศรสฝีมือเจ้านายมานานแค่ไหนแล้ว!

พวกมันวนเวียนรอบตัวกู้ซีจิ่วอยู่สองรอบด้วยความดีใจ จากนั้นถึงได้กระโดดลงไปในน้ำอีกครั้งเสียงดังตูม ฝึกฝนอย่างยินดีปรีดา

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองท้องฟ้า เพิ่งพบว่าแสงอาทิตย์ของวันนี้เจิดจ้ายิ่งนัก ดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบข้างก็ผลิบานได้ดี

ทิวทัศน์ของที่นี่งดงามถึงเพียงนี้ เธอยังไม่เคยได้ชมดูดีๆ เลย!

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเดินเล่นอยู่ภายในวังมรกต ชมดูทิวทัศน์

ทิวทัศน์ของที่นี่เรียบง่ายสง่างาม อบอวลด้วยไอเซียน ราวกับแดนเซียนในความฝัน

ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นล้วนมีรสนิยมอย่างยิ่ง

ศาลาริมน้ำ ศาลาเล็ก สะพานหยกขาว อาคารบ้านเรือน…ประดับขับเน้นอยู่ท่ามกลางนั้น

ตี้ฝูอีเป็นคนชมชอบการเขียนอักษรผู้หนึ่ง ทุกหนทุกแห่งที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยงานลิปิศิลป์ของเขา บนต้นไม้ใหญ่ บนโขดหิน บนป้ายเหนือประตู ล้วนมีนามที่เขียนไว้ด้วยลายมือของเขา

กู้ซีจิ่วได้รับอิทธิพลจากงานลิปิศิลป์ของเขา ยามนี้จึงเขียนอักษรได้ยอดเยี่ยมนักเช่นกัน เธอรู้สึกว่าควรจะทิ้งผลงานลิปิศิลป์ของตนไว้ที่นี่ด้วย ดีที่สุดคือต้องจารึกอักษรที่แสดงถึงความรักของคนทั้งสองเอาไว้…

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเดินเตร่หาตำแหน่งที่เหมาะสำหรับจารึกอักษรแล้วจารึกลงไปทุกที่อย่างสง่าผ่าเผย

‘ฟ้ายั่งดินยืน’ บ้างเอย ‘ตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วไม่พลัดพรากทุกชาติภพ’ บ้างเอย แน่นอนว่าได้เขียนบางอย่างที่เข้ากับวาระด้วยเช่นกัน

ขณะที่เธอกำลังสาละวนอยู่ ไหล่ก็ถูกคนตบเบาๆ “ทำอะไรอยู่?”

เธอหันกลับไป ตี้ฝูอียืนอยู่ด้านหลังเธอ กำลังมองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม แน่นอนว่าเขาเห็นอักษรของเธอแล้ว…

ตัวอักษรของเธอน่ามองมาก หากนำออกไปก็สามารถแอบอ้างเป็นผลงานวรรณศิลป์ได้เลย แต่เมื่อเทียบกับอักษรของเขาแล้ว ก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย

กู้ซีจิ่วเพ่งพิศเขาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง เห็นเขาดูกระปรี้กระเปร่าดียิ่ง สีหน้าก็ยอดเยี่ยมมาก อาภรณ์ม่วงบนร่างพร่างพราวราวกับหมอกควันสีม่วง

ไม่ต่างกับตอนที่เพิ่งจากเธอไปเท่าไหร่ ดูเหมือนจะไม่บาดเจ็บอะไร กู้ซีจิ่วจึงวางใจลง

ดึงมือเขามา ให้เขาดูอักษรของเธอ “ดูสิ อักษรของข้าน่ามองยิ่งนัก!”

สายตาของตี้ฝูอีกวาดผ่านอักษรเหล่านั้นแวบหนึ่ง ‘ตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วไม่พลัดพรากทุกชาติภพ’ ชะงักไปเล็กน้อย แล้วยกนิ้วให้ “ยอดเยี่ยมมาก! ไม่เหมือนก้านหญ้ายึกยือแล้ว มีท่วงท่าของปรมาจารย์ใหญ่!”

กู้ซีจิ่วนึกอยากถีบเขาสักที “นี่ท่านชมข้าหรือว่าดูถูกข้ากันแน่?”

ตี้ฝูอีตอบอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าชม!”

ทั้งสองพูดคุยขบขันกันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็มองเสื้อคลุมของเขา “ทำไมท่านเปลี่ยนเป็นชุดม่วงล่ะ?”

ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “ข้าก็สวมชุดม่วงอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ?”

นี่ก็ใช่ ชุดม่วงคือการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เพียงแต่พักนี้เขามักจะจัดการเรื่องราวด้วยฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์ จึงสวมชุดขาวอยู่บ่อยๆ

เธอไม่ได้เห็นเขาสวมชุดม่วงมาเกือบเดือนแล้ว

เธอเพ่งพิศเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง เอ่ยวิจารณ์อย่างจริงใจ “ท่านสวมชุดม่วงแล้วยังคงน่ามองอย่างยิ่งเช่นเดิม!”

ในตอนแรกที่เธอได้รู้จักเขาก็สวมใส่อาภรณ์ม่วงเช่นกัน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีคนนั้นเธอก็รักเช่นกัน

ดังนั้นถึงแม้ต่อมาเธอจะรู้แล้วว่าเขาก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์ ทราบว่านามจริงของเขาคือหวงถู แต่ก็ยังเคยชินกับการเรียกเขาว่าตี้ฝูอี

ตี้ฝูอีหมุนตัวอยู่ที่เดิมรอบหนึ่ง “ข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ต่อให้ข้าสวมชุดขาว ก็ยังเป็นบุรุษที่หล่อเหลาน่ามองที่สุดในใต้หล้านี้เช่นกัน!”

กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ เธอก็ชอบมองท่าทางจองหองมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้ของเขาเช่นกัน!

อันที่จริงไม่ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าแบบไหน ในสายตาเธอล้วนดีที่สุดทั้งนั้น ผู้ใดก็เทียบไม่ติด!

เธอยังคงเป็นกังวลกับการตามหาเห็ดช่วยชีวิตนั้นยิ่งนัก จึงถามเขาเรื่องอาภรณ์พิเศษอีกครั้ง

—————————————-