ฉินอวี้เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋องที่รออยู่หน้าประตูด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านป้า ตกบ่ายแล้ว ท่านกับฟางหวาอย่าเพิ่งกลับจวนเลย ตามไปทานอาหารที่ตำหนักเสด็จแม่กับข้าเถิด”
พระชายาอิงชินอ๋องมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง เห็นว่านางพยักหน้าให้ จึงยิ้มตอบ “ข้าเองก็มิได้พบไทเฮากับองค์หญิงใหญ่หลายวันแล้ว ไปกันเถิด”
ทั้งสามเดินไปยังตำหนักไทเฮาด้วยกัน
ระหว่างทาง พระชายาอิงชินอ๋องก็ถามเซี่ยฟางหวาเสียงทุ้มต่ำ “จัดการได้แล้วหรือ”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า มองไปยังตำหนักไทเฮาแวบหนึ่ง ก่อนบอกคร่าวๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เกี่ยวข้องกับการสมรสที่องค์หญิงใหญ่เลือกให้จินเยี่ยน ไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องไปตำหนักไทเฮาก่อน หยั่งเชิงดูทัศนคติอีกที แล้วค่อยหาวิธีเจ้าค่ะ”
พระชายาอิงชินอ๋องเดิมเป็นคนฉลาด ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจเรื่องด่วนที่เซี่ยฟางหวาต้องเข้าวังหลายส่วน ใบหน้าฉายความกลัดกลุ้มขึ้นบ้างเช่นกัน “องค์หญิงใหญ่เป็นห่วงเรื่องการสมรสของจินเยี่ยนตลอดมา ตอนนี้อุตส่าห์เลือกตระกูลได้แล้ว จินเยี่ยนก็ตกลงแล้วด้วย หากมีอุปสรรคเกิดขึ้นอีกคงพูดยาก”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ทั้งสามคนมาถึงตำหนักไทเฮาพร้อมกัน
ไทเฮา องค์หญิงใหญ่ และจินเยี่ยนต่างทราบข่าวว่าฉินอวี้ พระชายาอิงชินอ๋อง และเซี่ยฟางหวามายังตำหนัก ทั้งสามคนที่เดิมทีกำลังรอฉินอวี้ก็มองหน้ากัน ก่อนพากันเดินมาต้อนรับด้านนอก
องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยนถวายบังคมฉินอวี้
ฉินอวี้เห็นว่าสีหน้าองค์หญิงใหญ่สดชื่นอย่างยิ่ง ส่วนจินเยี่ยนทำความเคารพตนตามธรรมเนียม ใบหน้าปราศจากความอิ่มเอิบด้วยรักยามได้พบหน้าเขา แม้แต่เปลือกตายังไม่เลิกมอง สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง เขาโบกพระหัตถ์ปราม เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ท่านป้าใหญ่กับน้องไม่ต้องมากพิธี ทำตัวตามสบายเถิด”
ทั้งสองยืดตัวขึ้น
พระชายาอิงชินอ๋องกับเซี่ยฟางหวาถวายบังคมไทเฮา
ไท่เฮาแย้มสรวลพลางโบกพระหัตถ์ รีบเอ่ยว่าไม่ต้องมากพิธี
องค์หญิงใหญ่ยิ้มทักทายกับพระชายาอิงชินอ๋องสองประโยค ทั้งยิ้มกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “มิได้พบกันหลายวัน พระชายาน้อยสีหน้ามิเลว อาการบาดเจ็บคงหายดีแล้วใช่ไหม”
“ลำบากท่านป้าใหญ่แล้ว หายดีแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยฟางหวายิ้มตอบ
“ช่วงนี้จินเยี่ยนเอาแต่รำพันถึงเจ้า เมื่อวานก็อยากไปหาเจ้าที่จวนอิงชินอ๋อง แต่เพราะมีแขกมาที่จวนจึงมิอาจปลีกตัวไปได้ วันนี้ยังถูกข้าพาเข้าวังอีก ไม่นึกว่าพวกเจ้าเองก็บังเอิญเข้าวังมาด้วยเช่นกัน” องค์หญิงใหญ่ยิ้มกล่าว “ครั้งนี้พวกเจ้าได้พบกันแล้ว มีเรื่องใดก็คุยกันให้เต็มที่”
จินเยี่ยนก้าวขึ้นหน้า ดึงมือเซี่ยฟางหวา พลางพินิจมองนางถี่ถ้วน “อาการบาดเจ็บเจ้าหายดีแล้วจริงหรือ ไฉนถึงได้ผอมลงไปเยอะมาก” พูดจบ นางก็ขมวดคิ้ว “ฉินเจิงได้ให้เจ้ากินแต่ของดีๆ หรือไม่กันแน่”
“เขาปล่อยให้ข้าหิว เจ้าพบเขาแล้วก็ตำหนิเขาแทนข้าด้วย” เซี่ยฟางหวายิ้มตอบ
จินเยี่ยนได้ยินคำตอบแบบนั้นก็เม้มปากยิ้ม “เขาไหนเลยจะปล่อยให้เจ้าหิว ข้ามิกล้าตำหนิเขาหรอก”
เซี่ยฟางหวาเองก็ยิ้มขำ
จินเยี่ยนดึงแขนเสื้อนาง “เจ้าดูสิ ชุดเจ้าใหญ่ขึ้นมากขนาดนี้แล้ว เห็นชัดว่าเจ้าผอมลงไปเยอะเพียงใด”
“หวาเอ๋อร์เพิ่งกลับจวน ข้าได้สั่งคนตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้นางแล้ว ผอมจนน่ากลัวไปแล้ว ต้องบำรุงร่างกายให้ถี่ถ้วน” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยขึ้น
“ไปกันเถิด เข้าข้างในกัน กำลังรอพวกเจ้ามาทานมื้อเที่ยงด้วยกันเลย” ไทเฮาเอ่ยกับทุกคน
ฉินอวี้นำเข้าไปก่อน คนที่เหลือจึงพากันเข้าไปในตำหนัก
บนโต๊ะอาหาร หลายคนคุยกันเป็นครั้งคราว บรรยากาศผ่อนคลายอย่างยิ่ง
หลังทานอาหารเสร็จ ฉินอวี้ดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามองค์หญิงใหญ่ “ท่านป้าใหญ่เข้าวังมาวันนี้บอกว่าอยากพบเรา ตกลงว่ามีเรื่องใดหรือ”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตอบ “เรื่องการสมรสของเยี่ยนเอ๋อร์น่ะสิ”
“โอ้” ฉินอวี้ผินใบหน้ามองจินเยี่ยนแวบหนึ่ง ราวกับแปลกใจอยู่บ้าง “เราได้ยินเสี่ยวเฉวียนจื่อบอกแล้ว มิทราบว่าเลือกตระกูลใดหรือ”
จินเยี่ยนยังคงก้มหน้า ไม่แม้แต่จะตวัดตามอง นั่งอย่างสงบเสงี่ยม
องค์หญิงใหญ่ก็มองจินเยี่ยนแวบหนึ่งเช่นกัน ก่อนยิ้มตอบ “หลายวันนี้ฝ่าบาททรงวุ่นกับกิจราชสำนัก ค่อนข้างยุ่งไม่น้อย การสมรสนี้มิได้เผยแพร่ออกไป เพิ่งจะตกลงกันได้ พระองค์มิทราบก็ไม่แปลกเช่นกัน” พูดจบ นางก็ตอบว่า “เป็นตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง”
“หืม” ฉินอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าฉายแววแปลกใจเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่มองฉินอวี้อยู่ตลอดเวลา จึงเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเขาชัดเจน ใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที จึงหยั่งเชิงถามว่า “ฝ่าบาท มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่”
จินเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองฉินอวี้เป็นครั้งแรก
ฉินอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้ตอบคำถามองค์หญิงใหญ่ทันที
องค์หญิงใหญ่มองไปยังไทเฮากับพระชายาอิงชินอ๋องที่อยู่ด้านข้าง
ไทเฮาส่ายใบหน้าให้นางเล็กน้อย พระชายาอิงชินอ๋องไม่แสดงสีหน้าใด
นางจึงหันไปมองเซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวาก็แสร้งไม่รู้เช่นกัน
ชั่วเวลานั้น ภายในห้องตกอยู่ในบรรยากาศหนักอึ้งรูปแบบหนึ่ง
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ยังไม่เอ่ยคำใด
องค์หญิงใหญ่ทนไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งที่สอง “ฝ่าบาท หรือว่า…ไม่เหมาะสมจริงๆ”
ในที่สุดฉินอวี้ก็เปล่งวาจา ถามองค์หญิงใหญ่ว่า “ท่านป้าใหญ่พอใจกับงานสมรสนี้มากหรือ”
องค์หญิงใหญ่ชะงักครู่หนึ่ง ไตร่ตรองความหมายประโยคนี้ของฉินอวี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เติบโตมาในวังหลวง ชั่วเวลานั้นก็เกรงว่าท่าไม่ดี ผินหน้ามองจินเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันคิดว่าก็พอไหว เยี่ยนเอ๋อร์เองก็ตกลงแล้ว อีกอย่างก็ถึงวัยอันควรแล้วเช่นกัน จึงตกลงกันแล้ว”
“ตกลงกันแล้ว” ฉินอวี้ถามอีก
“ตกลงกันได้แล้ว แต่ยังมิได้แลกของแทนใจ หม่อมฉันเข้าวังมาเพื่อถามความเห็นของฝ่าบาท หากพระองค์เองก็คิดว่าเหมาะสม ก็ขอให้ออกพระราชโองการ” องค์หญิงใหญ่ตอบอย่างระวัง
“สมรสพระราชทาน?” ฉินอวี้ถาม
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ตอบตามความจริง “พระองค์เองก็ทราบ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางตั้งใจจะเข้าราชสำนัก หม่อมฉันเองก็ไม่อยากให้เยี่ยนเอ๋อร์ต้องออกเรือนไกล ได้ยินว่าเจิ้งเซี่ยวฉุน ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีบุคลิกสง่าผ่าเผย รูปลักษณ์โดดเด่น และมีพรสวรรค์ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างบริหารกำลังคน ดังนั้นหากฝ่าบาทประเมินแล้วคิดว่าได้ ก็ได้ใช้ประโยชน์ด้วยมิใช่หรือ”
ฉินอวี้เงียบไปพักหนึ่ง “เสด็จพ่อจากไปยังไม่ครบร้อยวัน มิควรตกลงหมั้นหมายเร็วปานนี้”
องค์หญิงใหญ่ฟังแล้วก็กลัวว่าจะมีปัญหาจริงๆ กล่าวขึ้นทันใด “ตอนนี้แค่ตกลงหมั้นหมายกัน ครบหนึ่งปีแล้วค่อยแต่ง”
“ท่านป้าใหญ่เคยพบเจิ้งเซี่ยวฉุนแล้วหรือ” ฉินอวี้ถาม
องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “ยังมิเคยพบ ในอดีต ฮูหยินหมิ่นครอบครัวลูกคนโตชื่นชอบเขามาก ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็หมายตาด้วยเช่นกัน สายตาของพวกนางล้วนเฉียบแหลม คิดว่าคนผู้นี้ต้องไม่เลว”
ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “งานสมรสของน้องเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต จำต้องละเอียดรอบคอบ เช่นนี้เถิด เราจะให้คนไปถ่ายทอดโองการ เรียกผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับเจิ้งเซี่ยวฉุนเข้าเมือง เราอยากพบหน้าเขาตัวเป็นๆ”
องค์หญิงใหญ่มองซ้ายแลขวาแวบหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ กดเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ทรงบอกหม่อมฉันมาตามตรง ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนี้มีปัญหาจริงๆ ใช่หรือไม่ เยี่ยนเอ๋อร์จึงออกเรือนด้วยมิได้”
จินเยี่ยนมองฉินอวี้ตลอดเวลา
ฉินอวี้วางถ้วยน้ำชาลง เอ่ยเสียงเรียบ “มิใช่ว่าออกเรือนมิได้ ถึงอย่างไรจวนองค์หญิงใหญ่ก็เป็นเครือญาติในราชวงศ์ ตัวน้องเองก็มีฐานะสูงศักดิ์ เรื่องสมรสย่อมต้องรอบคอบเป็นธรรมดา โดยเฉพาะตอนนี้สถานการณ์ไม่มั่นคง ทุกฝ่ายเกี่ยวข้องกัน ล้วนต้องระวังให้มาก”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นก็ผ่อนลมหายใจทันที ยิ้มกล่าวว่า “ฝ่าบาทเอ่ยถูกแล้ว เช่นนั้นส่งคนไปเรียกผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับเจิ้งเซี่ยวฉุนเข้าเมืองเถิด บุตรีที่ข้าสุดหวงแหนเพียงคนเดียวผู้นี้ อนาคตนางเป็นเรื่องสำคัญ มิอาจประมาทได้”
ฉินอวี้ผงกศีรษะ ตะโกนขึ้น “เสี่ยวเฉวียนจื่อ”
เสียวเฉวียนจื่อมายังเบื้องหน้าเขาทันที
ฉินอวี้ออกคำสั่ง เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำทันใด แล้วออกไปจากตำหนักไทเฮา
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านป้าใหญ่กับท่านป้า น้องจินเยี่ยน และฟางหวาอุตส่าห์อยู่ร่วมกันในตำหนักเสด็จแม่ทั้งที ก็อยู่ให้นานกว่านี้เถิด” ฉินอวี้เอ่ยอีก
ไทเฮา องค์หญิงใหญ่ และพระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้น “ฝ่าบาททรงวุ่นกับกิจราชสำนัก ตรงนี้ไม่มีเรื่องใดแล้ว กลับไปทรงงานเถิด”
ฉินอวี้ลุกขึ้นบอกลา ออกจากตำหนักไทเฮา
ฉินอวี้เสด็จกลับ จินเยี่ยนก็ดึงเซี่ยฟางหวามาหาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามิได้เดินเล่นในอุทยานหลวงหลายวันแล้ว ได้ยินว่าดอกไม้นานาพันธุ์บานแล้ว ฟางหวา ถ้าเจ้าไม่เหนื่อย ก็ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงกับข้าเถิด”
เซี่ยฟางหวารู้ว่าจินเยี่ยนฉลาด จากบทสนทนาระหว่างฉินอวี้กับองค์หญิงใหญ่คงเดาได้ว่ามีปัญหาบางอย่าง นางจึงพยักหน้ารับ ยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เหนื่อย”
“รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าสองคนพี่น้องพบหน้าต้องมีเรื่องคุยกัน วันนี้อากาศร้อนมาก อย่าตากแดดนานเล่า” องค์หญิงใหญ่กำชับ
จินเยี่ยนรับคำ ก่อนดึงเซี่ยฟางหวาออกมาจากตำหนักไทเฮา