เซี่ยฟางหวากับจินเยี่ยนออกจากตำหนักไทเฮาก็ตรงไปยังอุทยานหลวง
ทั้งสองมิได้คุยกันตลอดทาง ครั้นมาถึงศาลาอวี่ฮวาเหนือทะเลสาบมรกตในอุทยานหลวงแล้ว
จินเยี่ยนจึงหยุดเท้าลง กล่าวกับเซี่ยฟางหวาว่า “ที่นี่เงียบสงบ รอบด้านล้วนเป็นน้ำ มีทัศนวิสัยโล่งกว้าง ไม่มีข้ารับใช้คนใดมารบกวน และไม่มีใครมาแอบฟังอย่างโจ่งแจ้งด้วย ถึงแม้มาแอบฟังก็ห่างไกลจนมิได้ยิน เหมาะเป็นที่ที่เราจะพูดคุยกัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
จินเยี่ยนดึงเซี่ยฟางหวานั่งลง มองนาง แล้วถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “น้องฟางหวา เจ้าคงเดาถึงเจตนาที่ข้าชวนเจ้ามาที่นี่ออกแล้วใช่ไหม”
เซี่ยฟางหวามองนาง ก่อนจะพยักหน้าตอบเชื่องช้า
“เช่นนั้นเจ้าบอกความจริงกับข้า ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีปัญหาใดกันแน่” จินเยี่ยนพูดกับนาง
เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดชั่วขณะ
“ข้ารักเลื่อมใสพี่อวี้มาตั้งแต่เด็ก ทุกอิริยาบถ คำพูด และการแสดงออกของเขาล้วนให้การใส่ใจอย่างละเอียดอ่อน หลายปีที่ผ่านมา ต่อให้เขานั่งเฉยโดยมิเอ่ยคำใด ข้าล้วนรู้ว่าเขาอารมณ์ดีหรือร้าย เขาไม่ชอบข้า นี่เป็นความจริง ไม่ว่าข้าทำสิ่งใดล้วนเปลี่ยนแปลงมิได้ ถ้ามิใช่ว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมีปัญหาจริงๆ หลังเขาได้ยินเรื่องงานสมรสของข้า เกรงว่าคงแทบอยากจะผลักไสข้าออกไป” จินเยี่ยนจ้องนาง
เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ
จินเยี่ยนจับมือนาง “ลำบากใจที่จะบอกข้าใช่หรือไม่ เจ้าก็รู้ ข้ามิใช่จินเยี่ยนในวันวานอีกแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า เจ้าต้องบอกให้ข้ารู้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “น้องฟางหวา หรือว่าเจ้าไม่เชื่อใจข้า”
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา ส่ายหน้าตอบ “ข้ามิใช่ไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกันอย่างใหญ่หลวง ค่อนข้างที่จะพูดยาก”
แววตาจินเยี่ยนเคร่งขรึมทันใด “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้า พี่อวี้ และพี่ชายเจิงล้วนสามัคคีกันเพื่อแผ่นดินหนานฉิน ราชสำนักกับราษฎรต่างยินดีปรีดาที่เห็นพวกเขาสองคนปรองดองกันได้ ท่านแม่เองก็บอกว่าพวกเขาโตแล้ว เมื่อท่านลุงจากไป พวกเขาต้องรับผิดชอบแผ่นดินหนานฉินต่อ มิใช่เด็กหนุ่มที่รู้จักเพียงเรื่องประโลมโลกแล้วทำสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์แล้ว เจ้าบอกความจริงข้ามาเถอะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงรากฐานแผ่นดินหนานฉินใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวามองนาง ก่อนพยักหน้าตอบค่อยๆ
จินเยี่ยนแสดงสีหน้ากะแล้ว จ้องนางต่อ “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางใช่กระทำเรื่องใดลับหลังคุกคามแผ่นดินหนานฉินหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอีก
มือของจินเยี่ยนที่กุมมือนางบีบแน่นขึ้น เงียบลงชั่วเวลาหนึ่ง
เซี่ยฟางหวามองนาง พบว่าแม้นางเดาได้อยู่แล้ว ทว่าใบหน้าก็ยังซีดลงเล็กน้อยหลังได้รับการยืนยันจากตน นางรู้สึกเสียใจไม่น้อย วันนี้หลังจินเยี่ยนได้พบนาง ก็จับแขนเสื้อตนแล้วทักว่าผอมลง ทว่านางไม่รู้หรือว่าตัวเองผอมลงไปตั้งเท่าไร
สตรีเมื่อรักคนผู้หนึ่งแล้ว หากผู้นั้นรักตนตอบก็ดี แต่หากมิได้รักตน ก็เป็นการเริ่มต้นทนความทรมาน
แต่เล็กจนโต จินเยี่ยนต้องทุกข์ทรมานมากเท่าไรแล้ว
ตอนนี้นางอุตส่าห์ตัดสินใจตอบตกลงการสมรส แต่สวรรค์กลับกลั่นแกล้ง สร้างอุปสรรคขึ้นมา
ภายในศาลาอวี่ฮวา สายลมเย็นสร้างความเงียบเหงาชั่วขณะ
ผ่านไปเนิ่นนาน จินเยี่ยนก็กล่าวเสียงทุ้ม “น้องฟางหวา แทนที่จะปิดบังข้า มิสู้เจ้าบอกความจริงกับข้ามาเถอะ ให้ข้าดูว่าพอจะมีทางดึงสถานการณ์กลับมาหรือไม่ จะได้ทำการตัดสินใจ”
เซี่ยฟางหวามองนางพร้อมพูดเสียงทุ้มต่ำเช่นเดียวกัน “นอกจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ใต้หล้ามีผู้มากพรสวรรค์อยู่ทั่ว บุรุษดีๆ ยังมีอีกมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเท่านั้น มิใช่หรือ เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องระหว่างเรา ข้าแนะนำว่าอย่าลุยน้ำขุ่นทางนี้จะดีกว่า”
จินเยี่ยนเม้มปาก ส่ายหน้าตอบ “เจ้าไม่เข้าใจ”
เซี่ยฟางหวามองนาง
“แม้ข้าตัดใจไปแล้ว และตาสว่างแล้วด้วย แต่มักคิดอยากทำบางสิ่งให้เขา ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นตระกูลเก่าแก่หลายร้อยปี แม้ตกต่ำลงไปสามรุ่น แต่ฟังว่าสองสามปีมานี้ ภายในตระกูลเริ่มมีเด็กหนุ่มมีพรสวรรค์นำโดยเจิ้งเซี่ยวฉุนเกิดขึ้นบ้างแล้ว ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในช่วงบริหารจัดสรรคน เดิมข้าคิดว่า หากข้าแต่งเข้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เช่นนั้นเมื่อมีความสัมพันธ์นี้แล้ว ท่านพี่จะใช้งานตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็ถือว่าเป็นน้ำมาธารเกิด*[1] ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเดิมทีตั้งใจจะเข้าเมืองมาเพื่อเข้าราชสำนักอยู่แล้ว จะได้อุทิศชีวิตเพื่อรับใช้หนานฉิน” จินเยี่ยนกล่าวเสียงทุ้ม
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าตอบตกลงตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเพราะเหตุผลนี้” เซี่ยฟางหวามองนางด้วยความแปลกใจ
จินเยี่ยนพยักหน้า “บอกตามตรง ข้าตั้งใจว่าจะทำเพื่อสิ่งนี้ ทุกคนใต้หล้าล้วนทราบว่า หลังจากอดีตฮ่องเต้สวรรคตไปได้ทิ้งเรื่องยุ่งยากพวกนี้ไว้ให้พี่อวี้ ห้องทรงอักษรจุดโคมสว่างถึงดึกดื่น เขาลำบากมาก ความรักที่ข้ามีต่อเขานั้นสลักลึกถึงกระดูกไปแล้ว ถึงแม้เขาจะมิได้ชอบข้าก็ตาม ดังนั้นข้าจะออกเรือนกับผู้ใดล้วนเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่เลือกตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่มาประเคนถึงหน้าประตูทั้งยังใช้ประโยชน์ได้พอดีเล่า”
เซี่ยฟางหวาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางไม่เพียงแต่ใช้งานมิได้ กลับยังมีปัญหา” จินเยี่ยนกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวามองนาง พลิกฝ่ามือกุมมืออีกฝ่ายแทน “จินเยี่ยน คนเราไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เจ้ายังเยาว์วัยขนาดนี้ ต้องการพรสวรรค์ย่อมมีให้ ต้องการรูปลักษณ์ก็เพียบพร้อม ต้องการฐานะก็มิได้ด้อยกว่าผู้ใด เจ้าควรหาคนที่รักเจ้าจากใจจริง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต ฉินอวี้ไม่ชอบเจ้า มิใช่สามีของเจ้า และมิใช่วาสนาของเจ้า แล้วไฉนเจ้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วยเล่า แม้เจ้าเกิดมาในจวนองค์หญิงใหญ่ แต่ก็มิได้สกุลฉิน รากฐานแผ่นดินหนานฉินเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อเขาแบบนี้”
จินเยี่ยนหลับตาลง “มิอาจบอกว่าเป็นการเสียสละเช่นกัน บนโลกนี้มีการดำเนินชีวิตกว่าหลายล้านรูปแบบ ข้าเลือกมารูปแบบหนึ่งจากในนั้นเท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว แบบนี้ถึงจะดีที่สุด”
เซี่ยฟางหวามองนางอย่างหมดคำพูด ใต้หล้ามีผู้ชิงชังเพราะรักมากน้อยอยู่ทุกหนแห่ง แต่อย่าง
จินเยี่ยนที่มอบหัวใจทั้งดวงให้โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนเช่นนี้ นางกลับได้พบเห็นเป็นครั้งแรก
“น้องฟางหวา เพื่อฉินเจิง เจ้าเองก็ทำเรื่องที่ยากลำบากไปมากเช่นกัน มิใช่หรือ” จินเยี่ยนมองนาง
“ฉินเจิงรักข้า” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงทุ้ม
จินเยี่ยนส่ายหน้า “พี่อวี้มิได้รักข้า แต่ก็มิได้แตกต่างกันเลย ข้ารักเขาก็พอแล้ว ชีวิตนี้เขาไม่ชอบข้า ไม่รักข้า แล้วเกี่ยวข้องกันอย่างไรเล่า ที่ข้าปล่อยวางจากเขาคือปล่อยสิ่งที่ยึดติดและเลิกวิ่งไล่ตาม แต่มิใช่ละทิ้งความรักที่มีแต่เขา ตอนนี้หัวใจเขามีไว้เพื่อแผ่นดินหนานฉิน เช่นนั้น ข้าก็ได้แต่ต้องทำในสิ่งที่ข้าพอจะทำได้จากความสามารถอันน้อยนิด”
เซี่ยฟางหวามองนางพักหนึ่ง ทอดถอนใจว่า “เป็นวาสนาที่สะสมมากี่ชาติของฉินอวี้กัน”
จินเยี่ยนส่ายหน้า “วาสนาที่เขาสะสมมายังไม่มากพอ หากมากพอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงเลือกฉินเจิงแต่ไม่เลือกเขา” หยุดชั่วครู่ แล้วกล่าวต่อ “หลายวันก่อนข้าอยู่ในจวน ได้ยินข่าวทุกอย่างจากวังหลวง ฟังว่าเจ้ากับพี่อวี้ปรองดองกัน ข้าคิดว่าหากเจ้าออกเรือนกับเขาจริง กลายเป็นฮองเฮาของเขา นี่ก็ดีมากเช่นกัน ข้าปรารถนาให้คนที่ข้ารักมีความสุข มิใช่อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ข้าคิดถึงขั้นภาวนาอย่าให้ฉินเจิงกลับมา กลับเมืองมามิได้ยิ่งดีที่สุด”
เซี่ยฟางหวามองนาง พูดไม่ออกอีกแล้ว
“ดังนั้นเจ้าบอกข้ามาเถอะ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” จินเยี่ยนจ้องนาง
เซี่ยฟางหวาเห็นนางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว โน้มน้าวใจอย่างไรก็ดูท่าจะไม่เป็นผลอีกต่อไป จึงเล่าเรื่องที่ฉินอวี้ ฉินเจิง กับนางสามคนลอบกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉีที่อยู่ในหนานฉิน รวมถึงเรื่องที่ในรายชื่อที่สายสอดแนมตระกูลเซี่ยสืบมามีตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเกี่ยวข้องอยู่อย่างคลุมเครือให้นางฟัง
จินเยี่ยนฟังจบแล้วก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม “มิน่าพี่อวี้ถึงทำหน้าเคร่งเครียด ที่แท้เป็นเช่นนี้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเป็นต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั่วร่างกาย ดังนั้นจึงจัดการได้ยากนัก จำต้องวางแผนการที่รัดกุมรอบคอบ มิฉะนั้นผลลัพธ์คงมิอาจนึกถึง”
จินเยี่ยนกัดริมฝีปาก ครุ่นคิดบางสิ่งชั่วขณะ ไม่เอ่ยคำใด
เซี่ยฟางหวาก็ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน
ทะเลสาบมรกตงดงามทว่าเงียบวิเวก ดอกบัวกลางทะเลสาบบานเต็มที่จนเริ่มเ**่ยวเฉาแล้ว กลีบบัวเริ่มโรยราจนออกเม็ดบัวเล็กๆ เหลือเพียงบางส่วนที่ยังคงเบ่งบานต้านแสงแดดอันร้อนแรง สายลมพัดเอื่อย บรรยากาศเงียบสงบ
ผ่านไปเนิ่นนาน จินเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้น กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ในตอนนี้ ข้าคิดว่ายิ่งไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นต้องบรรลุงานสมรสระหว่างจวนองค์หญิงใหญ่กับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ข้าต้องออกเรือนไปตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง”
เซี่ยฟางหวาตกใจ ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้”
“ระหว่างที่สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยิ่งระวังตัว อาศัยเพียงรายชื่อที่ตระกูลเซี่ยสืบมาเพียงอย่างเดียว มิอาจนำมาใช้เป็นหลักฐานว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางลอบสมคบคิดกับศัตรูได้ อีกอย่างท่านแม่ก็เป็นห่วงเรื่องงานสมรสของข้าตลอดมา เรื่องที่สองฝ่ายเห็นพ้องต้องการแล้ว หากยกเลิกกะทันหัน โดยเฉพาะยังอยู่ในระหว่างที่ลอบกำจัดสายสอดแนมเป่ยฉีด้วยแล้ว เช่นนั้นยากรับรองได้ว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะไม่คลางแคลงใจ กับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ควรลดการป้องกันลงก่อน ให้เขาคิดว่าได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากพี่อวี้แล้ว จะได้ลอบวางแผนอย่างช้าๆ ทลายแผนการหลายปีของพวกเขา ขณะเดียวกันใช้ประโยชน์จากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางในการส่งข่าวปลอมไปยังเป่ยฉีได้ด้วยเช่นกัน หากทำเช่นนี้ ตระกูลเก่าแก่อื่นๆ ก็ไม่ต้องหวาดกลัว และไม่ถึงกับต้องกำจัดตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจนทำให้ราชสำนักสั่นคลอน” จินเยี่ยนมองนาง
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนหน้านี้ที่ถูกฉินอวี้ถามถึง นางก็เกิดความคิดนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่หากใช้วิธีการนี้ก็ต้องทำลายการสมรสในชีวิตของจินเยี่ยน ด้วยเหตุนี้จึงตัดทิ้งโดยไม่ลังเล นางคิดว่าฉินอวี้ที่เฉลียวฉลาดย่อมต้องคิดได้เช่นกัน แม้เขาไม่ชอบจินเยี่ยน แต่คงไม่เลือดเย็นเด็ดขาดถึงขั้นเหยียบย่ำชีวิตของนาง คิดไม่ถึงเลยว่าจินเยี่ยนกลับเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง
จินเยี่ยนลุกขึ้น กล่าวกับนางว่า “ข้าจะไปหาพี่อวี้”
เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นตาม ยกมือห้ามนาง “เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน เจ้าอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม”
จินเยี่ยนส่ายหน้า “ข้าคิดดีแล้ว แม้เรื่องนี้สวนทางกับสิ่งที่ข้าคิดไว้คราแรก แต่ก็นับว่ามีเป้าหมายเดียวกัน” พูดจบก็บอกกับนางอย่างจริงจัง “ฟางหวา เจ้าอย่าห้ามข้า ในชีวิตคนเราสิ่งใดมีความหมายที่สุดกันแน่ ข้าเคยคิดอยากตายครั้งหนึ่ง ตอนอยู่ที่อารามลี่อวิ๋น ข้าก็แทบอยากจะไหลตายไปทั้งแบบนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เห็นเจ้ากับฉินเจิงประเดี๋ยวแยกประเดี๋ยวใกล้ชิด ข้าเองก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ว่าการได้เห็นเขามีความสุขดี ได้เห็นเขาโอบอุ้มแผ่นดินหนานฉิน รากฐานแผ่นดินมั่นคง คุณูปการได้รับการสืบต่อพันสารท รุ่งเรืองสืบต่อไปหมื่นปี นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุด ความรักกลายเป็นสิ่งไร้ค่าดุจธุลีสำหรับข้าในตอนนี้แล้ว ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร”
เซี่ยฟางหวาลดมือลงเชื่องช้า กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ย่อมได้ ข้าไม่ห้ามเจ้า เจ้าไปเถิด”
จินเยี่ยนพยักหน้า สาวเท้าออกจากศาลาอวี่ฮวา เดินไปยังห้องทรงอักษร
[1] *น้ำมาธารเกิด หมายถึง เมื่อปัจจัยพร้อม เรื่องราวก็จะสำเร็จได้เอง