เซี่ยฟางหวามองนางจากไปไกล ดวงอาทิตย์เจิดจ้าส่องลงบนกายนาง แผ่นหลังเหยียดตรง ก้าวเดินหนักแน่น แต่ละก้าวแฝงไปด้วยความหนักแน่นและความมุ่งมั่นอันมาจากเนื้อแท้ กระทั่งอีกฝ่ายเดินหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว นางถึงละสายตากลับมา มิได้รีบร้อนกลับไป หย่อนกายนั่งเชื่องช้า
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสี่ยวเฉวียนจื่อก็กุลีกุจอมายังศาลาอวี่ฮวา ทำความเคารพเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย ฝ่าบาททรงเชิญท่านไปพบที่ห้องทรงอักษรขอรับ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
เสี่ยวเฉวียนจื่อนำทางออกไปก่อน เซี่ยฟางหวาเดินตามหลังไปได้พักหนึ่ง ก็เอ่ยถามเขาเสียงต่ำ “ท่านหญิงจินเยี่ยนไปที่ห้องทรงอักษรแล้วหรือ”
เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า “ท่านหญิงจินเยี่ยนไปถึงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนขอรับ”
“สถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร” เซี่ยฟางหวาถาม
“ฝ่าบาททรงกริ้วมาก ยามนี้โทสะยังมิคลายลงเลยขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อลดเสียงต่ำลง
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ ฉินอวี้มิใช่คนเยือกเย็นไร้หัวใจ จินเยี่ยนบอกเขาเช่นนี้ หากเขาตกลง จิตใจมีหรือยังจะสงบสุขอีก
มาถึงห้องทรงอักษร เสี่ยวเฉวียนจื่อก็รายงานอย่างระวัง “ฝ่าบาท พระชายาน้อยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นของฉินอวี้ดังมาจากด้านใน
เซี่ยฟางหวายกเท้าก้าวเข้าไป พบว่าจินเยี่ยนยืนอยู่กลางห้อง ก้มหน้าต่ำ สีหน้าแลดูสงบนิ่ง ส่วนฉินอวี้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ถึงแม้มองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง ทว่าก็เห็นได้ชัดเจนว่าสีหน้าเขามืดครึ้มอย่างยิ่ง อารมณ์ย่ำแย่ถึงที่สุด
จินเยี่ยนเห็นนางเข้ามาก็เงยหน้า นางยังคงเหมือนตอนที่ออกจากศาลาอวี่ฮวา แววตามุ่งมั่นเด็ดขาด
เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจ กล่าวกับฉินอวี้ว่า “ฝ่าบาทเรียกข้ามามีเรื่องใดหรือ”
“เจ้ารับรู้การตัดสินใจของนางหรือไม่” ฉินอวี้หมุนตัวกลับมามองนาง
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
“เจ้าเห็นด้วยหรือ” ฉินอวี้หรี่ตาลง
เซี่ยฟางหวาเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “ทุกคนล้วนมีปณิธาน”
“การทำลายชีวิตตัวเอง นี่เรียกว่าปณิธานหรือไม่ หนานฉินของข้ายังไม่ร่อแร่ถึงขั้นต้องพึ่งพาการเสียสละชีวิตสมรสของสตรีเพื่อปกป้องใต้หล้า” ฉินอวี้มองนางอย่างไม่พอใจ
เซี่ยฟางหวาเงียบ
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าที่เป็นฮ่องเต้นั้นล้มเหลวอย่างไร” ฉินอวี้เอ่ยด้วยโทสะอีกหน
“พระองค์จะล้มเหลวได้อย่างไร” จินเยี่ยนเงยหน้า แย้งขึ้นทันควัน
ฉินอวี้หันไปมองนาง ทั้งขุ่นเคืองทั้งโกรธแค้น “เจ้าพอได้แล้ว ข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าต้องใช้วิธีการนี้เพื่อทำให้ข้าละอายใจเชียวรึ ข้าบอกเจ้า เจ้าดูถูกบุรุษเกินไปแล้ว ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็มิอาจทำให้ข้าชอบได้ เจ้าทำไปแล้วจะมีประโยชน์ใด เสียสละตัวเองแล้วมีประโยชน์ใด เสียสละไปเปล่าๆ อย่างไรข้าก็ไม่ซาบซึ้งในน้ำใจเจ้า”
“ท่านไม่ชอบข้า ข้ารู้ตั้งนานแล้ว มิใช่เพิ่งรู้แค่วันสองวัน หากท่านชอบข้าคงชอบไปตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้หรอก ข้ามิได้อยากใช้วิธีการนี้ทำให้ท่านต้องละอายใจเช่นกัน และมิได้อยากให้ท่านซาบซึ้งน้ำใจข้า ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าตัดสินใจเองเท่านั้น เกี่ยวข้องกับท่านก็จริง แต่มิได้เกี่ยวกับท่านทั้งหมด”
จินเยี่ยนกล่าวด้วยความสงบ
“เจ้า…” ฉินอวี้มองนางด้วยความโกรธ ทันใดนั้นก็คว้าสาส์นกราบทูลข้อราชการบนโต๊ะมาขวางใส่เท้านาง สาส์นกราบทูลข้อราชการป่นเป็นผุยผงยามตกลงที่ปลายเท้านางเพราะพลังมหาศาล เขาเดือดดาล “ท่านป้าใหญ่อุตส่าห์เลี้ยงเจ้ามาด้วยความลำบาก เห็นเจ้าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต นางมีหรือจะยอมให้เจ้าทำลายชีวิตตัวเอง”
จินเยี่ยนมองเขา ยังคงสงบดังเดิม “ข้ามิได้ทำลายชีวิตตัวเอง เพียงแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าคุ้มค่า”
“คุ้มค่าอันใด” ฉินอวี้เดือดดาลยิ่งขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนั้นข้าจะไม่ปล่อยมันเอาไว้ หรือก็คือตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางต้องถูกทำลายจนไม่เหลือกระเบื้องแม้แต่แผ่นเดียว”
“เช่นนั้นข้าก็เต็มใจ” จินเยี่ยนบอก
ฉินอวี้ตวัดพระหัตถ์ “เจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า”
จินเยี่ยนมองเขา กล่าวอย่างเด็ดขาด “ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านก็รู้ว่าขอเพียงข้าเต็มใจ ท่านแม่ย่อมทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ต่อให้เจ้าคัดค้าน หากท่านไม่มีหลักฐานและเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอ หากท่านไม่บอกความจริงกับท่านแม่ แม่ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน และจะทำตามที่ข้าปรารถนา อีกอย่างความลับของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนั้นก็มิอาจหลุดแพร่งพรายออกไปได้ ลองพิจารณาถึงส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ท่านไม่มีทางเลือกอื่น” พูดจบ นางก็ยืดแผ่นหลังเหยียดตรง หมุนตัวเดินออกไป
ฉินอวี้จ้องมองแผ่นหลังนางอย่างเอาเป็นเอาตาย มองนางเดินออกไปจากห้องทรงอักษร มองม่านมุกที่ไหวตามแรงเคลื่อน มองนางที่เดินลับสายตาไปแล้ว ก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะหยก
โต๊ะหยกยุบไปมุมหนึ่งทันที
เสี่ยวเฉวียนจื่อเฝ้าหน้าประตูพลันตกใจจนอกสั่นขวัญหาย
เซี่ยฟางหวามองฉินอวี้ เขาโกรธจริงๆ แล้ว เทียบกับหลายวันก่อนที่ฉินเจิงกลับมาบุกเข้าวังหลวง โทสะของเขามิได้น้อยไปกว่าวันนั้นเลยแม้แต่น้อย
นางเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงโกรธ ความโกรธของเขามิใช่แค่เพราะตัวเองหรือจินเยี่ยน ยังเป็นเพราะในใจเขาเองก็ทราบดีว่านี่เป็นแผนการเดียวที่รัดกุมที่สุด และเป็นทางเดียวที่จะกำจัดตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้อย่างราบรื่น และเป็นเพราะนอกจากหนทางนี้ หนทางอื่นล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ล้วนแต่สร้างความเสียหาย สุดท้ายความเสียหายนั้นก็เกี่ยวพันมาถึงแผ่นดินหนานฉิน ไม่ว่าใครก็มิกล้าตัดสินใจ
เพราะแบบนี้จึงไร้กำลัง นำมาซึ่งความพิโรธ
เขามีฐานะเป็นโอรสสวรรค์ของหนานฉิน เป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ที่สุดในรัชสมัยนี้ ทว่าเมื่อได้ตำแหน่งนี้มาครอบครองอย่างแท้จริงถึงรู้ซึ้งถึงความยากลำเค็ญของมันยิ่งกว่าตอนเป็นองค์ชายสี่หรือรัชทายาท
ฮ่องเต้มากน้อยอาจทุ่มเทแรงกายและใจเช่นนี้ ทนความทุกข์ยากจนผมขาว
การเป็นฮ่องเต้ก็มิได้ราบรื่นดังที่ปรารถนาไว้เสมอไป
ห้องทรงอักษรตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วขณะ หลังฉินอวี้บันดาลโทสะก็พลันหมดกำลังใจ
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ค้ำโต๊ะหยกนั่งลงอย่างเชื่องช้า เอ่ยกับเซี่ยฟางหวาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งหมดกำลัง “หากข้าชอบนางก็คงดี แต่จนป่านนี้แล้ว ข้าก็มิอาจชอบนางได้”
ภายในใจเซี่ยฟางหวาพลันบังเกิดความอ้างว้างถอนใจ เกรงว่าตอนนี้จิตใจของฉินอวี้คงรับไม่ไหวจริงๆ แล้ว ทว่าการชอบหรือไม่ชอบคนผู้หนึ่ง มิอาจบังคับตามที่ตนต้องการได้ ต้องอาศัยหัวใจเท่านั้น
นางเงียบลงพักหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “การช่วยผู้หนึ่งสมปรารถนา มิใช่เพียงแค่การใช้ตัวเองรับรักนางเท่านั้น แต่ยังใช้สิ่งที่นางต้องการบรรลุความรู้สึกนี้ได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ช่วยให้นางสมปรารถนาเถอะ”
ฉินอวี้หลับตาลง “ถึงแม้มิใช่เพื่อรู้สึก นางก็เป็นน้องสาวของข้า ข้าไหนเลยจะทำได้”
“อย่างที่นางบอก คุ้มค่าหรือไม่ต้องดูการตัดสินใจของนาง” เซี่ยฟางหวาหมุนตัวกลับเชื่องช้า เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะกลับไปรอจดหมายของฉินเจิงที่จวน ดูก่อนว่าเขาคิดเช่นไร”
ฉินอวี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาเดินออกจากห้องทรงอักษร
จินเยี่ยนรออยู่นอกห้องทรงอักษรไม่ไกล ครั้นเห็นนางออกมาก็ส่งยิ้มสว่างไสวให้ “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเขาบันดาลโทสะใส่ข้า เพื่อสิ่งนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้วเช่นกัน”