บทที่ 1384 สถานการณ์ของแต่ละคน

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

“ฟิ้ว…”

 

กระแสลมแรงพัดมาพร้อมกับแสงสว่างที่ส่องประกายขึ้น

 

จากภายในแสง ร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมา

 

เขาอยู่ในชุดคลุมยาวที่ดูสง่างาม สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือเขามังกรสีทองม่วงที่อยู่บนหน้าผากของเขา

 

เทพธิดาจื่อเว่ยรอคอยคนผู้นี้มานานแล้ว นางเร่งโค้งคำนับ “ท่านราชันมังกร”

 

เขาไม่ใช่ผู้ใดนอกจากราชันมังกร

 

เขาเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝันของภาคใต้

 

หอคอยดวงตาสวรรค์รวดเร็วมาก มันเคลื่อนที่ผ่านสวรรค์สีขาวและกลับมาถึงภาคกลางนานแล้ว

 

ผู้อมตะของนิกายโบราณทั้งสิบจากไปขณะที่ราชันมังกรและเทพธิดาจื่อเว่ยกลับมายังวังสวรรค์

 

ตามคำแนะนำของราชันมังกร เทพธิดาจื่อเว่ยใช้ค่ายกลวิญญาณของวังสวรรค์ตรวจสอบตัวตนของราชันมังกรเพื่อป้องกันการถูกครอบงำโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ

 

จากสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนเทพปีศาจจิตวิญญาณจะไม่ประสบความสำเร็จในการกลืนกินดวงวิญญาณของราชันมังกร

 

แต่…

 

ใบหน้าของราชันมังกรยังซีดขาว คิ้วของเขาขมวดแน่น ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ดวงวิญญาณของเขาจะสั่นไหว

 

“เทพปีศาจจิตวิญญาณไม่สามารถดูแคลนจริงๆ แม้เขาจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถแข่งขันกับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขา ข้าต้องหยิบยืมพลังอำนาจของสุสานอมตะเพื่อกำหราบเขา” ราชันมังกรกล่าว “เทพธิดาจื่อเว่ย เจ้าต้องเป็นผู้นำวังสวรรค์และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดฟางหยวนและคนอื่นๆ”

 

เทพธิดาจื่อเว่ยพยักหน้า “ข้าแจ้งเตือนวูหยงและหยิบยืนความแข็งแกร่งของผู้อมตะภาคใต้เพื่อแยกกลุ่มของฟางหยวนแล้ว นอกจากนั้นข้ายังส่งจดหมายอีกฉบับถึงวูหยงเพื่อแจ้งตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงของสมาชิกนิกายเงา ข้าคิดว่าเราจะได้รับข่าวดีภายในสองสามวันนี้”

 

ราชันมังกรพยักหน้าเบาๆและรู้สึกยินดีเล็กน้อย

 

นี่คือพลังอำนาจของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

 

พวกเขาสามารถมองเห็นจิตใจของผู้คนและสามารถวางแผนให้ผู้อื่นต่อสู้เพื่อตนเอง

 

เทพธิดาจื่อเว่ยมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา นางเป็นชนชั้นสูงท่ามกลางผู้อมตะระดับแปด นี่คือเหตุผลที่นางได้รับการยอมรับจากวังสวรรค์ และด้วยการใช้กระดานหมากรุกกลุ่มดาว อาจกล่าวได้ว่านางกลายเป็นหนึ่งในผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคปัจจุบัน

 

เหตุผลที่ไม่สามารถกล่าวได้ว่านางเป็นอันดับหนึ่งเพราะโลกใบนี้กว้างใหญ่มาก มีผู้เชี่ยวชาญซ่อนตัวอยู่มากมาย กระทั่งวังสวรรค์ก็ยังไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน มีเพียงความโกลาหลครั้งใหญ่เท่านั้นจึงจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น

 

ก่อนหน้านี้เทพธิดาจื่อเว่ยไม่ประสบความสำเร็จมากนักเพราะนางยังขาดเบาะแสสำคัญ

 

ในเวลานั้นฟางหยวนป้องกันตนเองได้เป็นอย่างดี

 

แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป

 

ราชันมังกรสั่ง “เราต้องกำจัดปีศาจฟางหยวนผู้นี้ เขาเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์และเป็นศัตรูโดยธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียวของโชคชะตา เขาเป็นผู้สืบทอดที่เทพปีศาจบัวแดงรอคอยมาอย่างยาวนาน นอกจากเขาจะได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด เขายังจะได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง”

 

“ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง วังสวรรค์ของเราจำเป็นต้องมีเทพอมตะคนที่สี่ เทพอมตะแห่งความฝันจะนำทางเรา เราต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขจัดอุปสรรคทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฟางหยวน เทพอมตะตะวันเดือด หรือเทพปีศาบัวแดง”

 

“เราจะทำทุกสิ่งเพื่อเทพอมตะแห่งความฝัน จื่อเว่ย เข้าใจหรือไม่?”

 

“ข้าเข้าใจ” เทพธิดาจื่อเว่ยพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยกับท่าน ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ภาคใต้แล้ว”

 

“ดี” ราชันมังกรพยักหน้า เขาไม่พูดต่อแต่จากไปทันที

 

เทพธิดาจื่อเว่ยยืนมองราชันมังกรเดินเข้าไปในสุสานอมตะอย่างเงียบๆ

 

นางถอนหายใจก่อนที่ดวงตาจะส่องประกายขึ้น

 

“วังสวรรค์จะต้องยิ่งใหญ่ที่สุด…ชั่วนิรันดร์!” นางพึมพำเบาๆ

 

…..

 

ภาคใต้

 

ร่างสีขาวพุ่งผ่านอากาศ

 

เสียงระเบิดดังขึ้นด้านหลังร่างนี้อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างสีขาวสามารถหลบการโจมตีทั้งหมดและยังสามารถตอบโต้

 

“ฟิ้ว…”

 

พายุหิมะและเกล็ดน้ำแข็งพุ่งออกไปและเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นแดนน้ำแข็ง

 

“ผู้อมตะระดับหกแต่มีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด? น่าสนใจ คู่ควรกับร่างสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืออย่างแท้จริง” ผู้อมตะระดับเจ็ดช่ายโป้จุนยกย่อง

 

“บึม!”

 

ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่บนร่างของเขาระเบิดออก

 

เขาเป็นชายร่างผอม ผิวดำ และมีดวงตาที่ดุร้าย

 

คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในชุดคลุมขาวที่ดูงามสง่า

 

ผมสีเงินยาวลงมาถึงเอว ดวงตามังกรสีฟ้าส่องประกายเย็นเยียบ ผิวของนางขาวราวหิมะ ขณะที่การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา รูปลักษณ์ที่งดงามทำให้ช่ายโป้จุนรู้สึกหวั่นไหวเมื่อเขาเห็นหญิงผู้นี้เป็นครั้งแรก

 

ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือเขามังกรสีแดงคู่เล็กๆที่ดูน่ารักบนหน้าผากของผู้อมตะหญิงนางนี้

 

แน่นอนว่านางก็คือเทพธิดามังกรไป่หนิงปิง

 

หลังจากใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ ฟางหยวนและคนอื่นๆถูกแยกออกจากกันภายใต้พลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยจื่อชิวหยู

 

ไป่หนิงปิงถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่และได้รับบาดเจ็บทันที นางต้องการไปยังจุดนัดพบแต่ถูกปิดกั้นโดยช่ายโป้จุน

 

ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ที่ดุเดือดจึงปะทุขึ้น

 

ทั้งสองต่อสู้กันหลายสิบรอบผ่านระยะทางหลายร้อยลี้แต่ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะ

 

ดวงตาของทั้งสองจ้องมองกันและกัน

 

ไป่หนิงปิงมองผิวของช่ายโป้จุนและไตร่ตรอง ‘นี่คือกายาไม้ พลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะที่โจมตีร่างกายนี้จะลดลง มันอาจลดลงจนกลายเป็นท่าไม้ตายระดับมนุษย์’

 

กายาไม้ของช่ายโป้จุนสามารถป้องกันท่าไม้ตายอมตะดวงตาเยือกแข็งของไป่หนิงปิง

 

เดิมทีท่าไม้ตายนี้ของไป่หนิงปิงเป็นท่าไม้ตายที่รับมือได้ค่อนข้างยากลำบาก

 

อย่างไรก็ตามกายาไม้ของช่ายโป้จุนสามารถเพิกเฉยต่อท่าไม้ตายอมตะนี้

 

แน่นอนว่ามรดกที่แท้จริงไป่เซี่ยงไม่ได้มีเพียงท่าไม้ตายนี้ ดังนั้นหลังจากต่อสู้กับไป่หนิงปิง ช่ายโป้จุนยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

 

“ยอดเยี่ยม” ช่ายโป้จุนยกย่อง “ข้าต้องชื่นชมเจ้าจริงๆ ไป่หนิงปิง”

 

น้ำเสียงของเขาราบเรียบและสงบมาก

 

“เจ้าเป็นผู้อมตะระดับหกแต่กลับสามารถสร้างปัญหาให้ข้า”

 

“ข้าเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งไฟที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในภาคใต้ แต่ตอนนี้ข้ากลับไม่สามารถปัดเป่าพลังงานความเย็นเหล่านี้ออกไป”

 

“หนึ่งในสิบสุดยอดกายา กายาน้ำแข็งแห่งความมืดที่ได้รับมรดกที่แท้จริงไป่เซียง…นี่เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ”

 

“หากเจ้าเดินบนเส้นทางสายธรรมะ เจ้าจะมีที่ยืนในโลกผู้อมตะภาคใต้ น่าเสียดายที่เจ้าเลือกเส้นทางสายปีศาจและนำภัยพิบัติมาสู่โลกใบนี้ ดังนั้นจุดจบของเจ้ามีเพียงความตายเท่านั้น”

 

หลังกล่าวจบคำ เขาชำเลืองมองไปที่ขอบฟ้า

 

“เปรี้ยง!”

 

เสียงสายฟ้าแลบลั่นดังขึ้นขณะที่ผู้อมตะระดับเจ็ดอีกคนบินลงมา

 

“ไป่หนิงปิง เจ้าคิดว่าสามารถหลบหนีจากพวกเราผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคใต้งั้นหรือ?” ผู้อมตะผู้นี้มองไป่หนิงปิงด้วยสายตาเหี้ยมโหด

 

ช่ายโป้จุนถอนหายใจเมื่อเห็นกำลังเสริม

 

เขาตั้งใจกล่าวถ้อยคำมากมายเพื่อถ่วงเวลา

 

หลังจากต่อสู้กับไป่หนิงปิง เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของนางและพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะหญิงผู้นี้โดยไม่ต้องกล่าวถึงการสังหาร

 

เขาต้องการกำลังเสริม

 

โชคดีที่วูหยงเป็นคนควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด และด้วยข้อมูลจากเทพธิดาจื่อเว่ย วูหยงจึงสามารถส่งผู้อมตะเหล่านี้ออกมาปิดล้อมสมาชิกนิกายเงา

 

“ระวัง หญิงผู้นี้แข็งแกร่งมาก เราไม่สามารถประมาท”

 

“สบายใจได้ ข้าได้รับข้อมูลจากท่านวูหยงแล้ว ตราบเท่าที่เราสามารถถ่วงเวลา ผู้เชี่ยวชาญด้านท่าไม้ตายเขตแดนจะมาสนับสนุนพวกเรา”

 

พวกเขาลอบสื่อสารกันอย่างลับๆ

 

“โง่เขลา” เสียงที่เย็นชาของไป่หนิงปิงดังขึ้นเป็นครั้งแรกและทำให้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งสองตกตะลึงเล็กน้อย

 

หลังจากนั้นไป่หนิงปิงก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา

 

“บัดซบ! มันเป็นท่าไม้ตายอมตะชนิดใด? กลิ่นอายของมันน่ากลัวมาก!”

 

“ข้าพยายามถ่วงเวลาแต่ข้าไม่คาดคิดว่าไป่หนิงปิงจะตั้งใจถ่วงเวลาเช่นกันเพื่อกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังของนาง!”

 

หัวใจของผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งสองสั่นสะท้านขึ้น ช่ายโป้จุนรู้สึกราวกับตนเองเดินเข้าสู่กับดัก

 

…..

 

“ข้างหน้ามีอุโมงค์ไฟ ตราบเท่าที่ข้าไปถึงที่นั่น ข้าจะสามารถป้องกันการอนุมานและรอความช่วยเหลือ” ไห่ลั่วหลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

 

ไห่ลั่วหลันถูกส่งมาที่นี่ด้ายค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศที่ล้มเหลว แต่นางได้รับคำแนะนำจากฟางหยวนอย่างรวดเร็วว่าให้ไปซ่อนตัวในอุโมงค์ไฟที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยลี้และรออยู่ที่นั่น

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชคของไห่ลั่วหลันค่อนข้างดีเพราะนางอยู่ไม่ไกลจุดหมาย

 

สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลวิญญาณที่ถูกจัดตั้งไว้โดยราชันภูเขาม่วงในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันถูกสร้างขึ้นด้วยทรัพยากรบนเส้นทางแห่งไฟและสามารถป้องกันการอนุมานจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

 

ไห่ลั่วหลันเดินทางมาถึงระยะห้าลี้จากอุโมงค์ไฟแต่ในจังหวะนี้นางกลับหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน

 

นางมองไปยังต้นไม้เล็กๆที่ไม่โดดเด่นด้านหน้า คิ้วของนางขมวดขณะที่กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนมากปะทุขึ้นจากร่างของนาง

 

“เจ้าพึ่งค้นพบค่ายกลวิญญาณของข้างั้นหรือ? ไห่ลั่วหลัน สายตาของเจ้าค่อนข้างแย่” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากบางแห่ง

 

วินาทีต่อมาค่ายกลวิญญาณก็ถูกกระตุ้นใช้งาน

 

วิสัยทัศน์ของไห่ลั่วหลันเปลี่ยนไป ภูเขาและทุ่งหญ้ากลายเป็นทะเลทรายที่ว่างเปล่า

 

รูม่านตาของไห่ลั่วหลันหดเล็กลง

 

การถูกขังอยู่ในค่ายกลวิญญาณถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางสงสัย

 

‘ความเร็วของข้าไม่ช้า ข้าเคลื่อนไหวตามคำแนะนำของฟางหยวน’

 

‘ศัตรูรู้เส้นทางของข้าและสามารถจัดตั้งค่ายกลวิญญาณไว้ล่วงหน้า”

 

‘ฟางหยวนใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อศัตรูเพื่อให้เขามีเวลาหลบหนีงั้นหรือ?’