บทที่ 728 : สามเรื่องที่คาดคั้นมาได้

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 728 : สามเรื่องที่คาดคั้นมาได้

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินไห่คุนหลิงหยุนก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอนฝ่ามือออกจาหน้าอกของเฉินไห่คุนทันที

 

เวลานี้เฉินไห่คุนสูญเสียจนไม่เหลืออะไรแล้วเพราะทั้งจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของมันตอนนี้ว่างเปล่า กำลังภายในของมันเหลือไม่ถึงขั้นโฮ่วเทียน-3 เลยด้วยซ้ำไป

 

หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบๆและเมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด หลิงหยุนจึงได้เอ่ยออกไปทันที

 

“เรื่องที่สมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดแล้วนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

ความจริงแล้วหลิงหยุนค่อนข้างตกใจอย่างมากเพราะสมุดและพู่กันจักรพรรดิได้ถือกำเนิดแล้วจริงๆ และเวลานี้ก็อยู่ในร่างกายของเขา พู่กันจักรพรรดิอยู่ที่หว่างคิ้ว ส่วนสมุดจักรพรรดิก็อยู่ที่จุดตันเถียน

 

แต่ที่น่าตกใจก็คือว่า..เหล่าจอมยุทธและนิกายลับต่างๆ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรต่างหาก

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เพียงแค่รู้แต่ยังรู้เวลาที่สมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดได้อย่างแม่นยำ ดูอย่างตู้กู่โม่ และตระกูลซันที่ต่างก็รู้เรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลิงหยุนลงไปสำรวจหลุมยักษ์ และที่นั่นไม่ว่าจะเป็นซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน หรือคนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลงไปค้นหาพู่กันและสมุดจักรพรรดิทั้งสิ้น!

 

หลิงหยุนได้แต่คิดว่าช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ยิ่งนักหรือจะเป็นความแม่นยำของเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้!

 

สำหรับหายนะที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ข่าวเรื่องงสมุดและพู่กันจักรพรรดิแพร่หลายออกไปนั้นหลวงจีนสิงชีก็ได้เคยบอกเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว!

 

หลังจากที่สูญเสียกำลังภายในไปจนหมดเฉินไห่คุนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็แทบทรงตัวต่อไปไม่ไหว มันกระอักเลือดสีแดงออกมาพร้อมกับบิดร่างไปมาด้วยความเจ็บปวด เฉินไห่คุนจ้องหน้าหลิงหยุนแล้วพูดต่อว่า

 

“เรื่องนี้ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นล่ะเพียงแต่ใครจะเป็นผู้ได้ครอบครอง แต่ต้องไมใช่เจ้าอย่างแน่นอน!”

 

“เจ้ามันเป็นสายเลือดมารแม่ของเจ้าก็เป็นคนพรรคมาร กระบี่โลหิตแดนใต้นั่นก็เป็นสมบัติพรรคมาร ฮ่า.. ฮ่า.. เช่นนี้แล้วพู่กันและสมุดจักรพรรดิไฉนจึงจะไปอยู่ในมือของผู้ที่ครอบครองกระบี่มารได้เล่า”

 

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..เวลานี้ทั้งพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็อยู่ในร่างกายของเขาแล้ว และหลิงหยุนเองก็ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้มานับครั้งไม่ถ้วน จนถึงเวลานี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการต่อต้านภายในร่างกายแต่อย่างใด

 

หลิงหยุนไม่ได้จัดการเฉินไห่คุนอีกเพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานนัก

 

“แล้วหายนะที่จะเกิดขึ้นหลังสมุดและพู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดนั้น..หมายความว่าอย่างไรกัน” หลิงหยุนถามออกมาเสียงเบา

 

ในเมื่อเฉินไห่คุนยังไม่ตายแน่นอนว่าหลิงหยุนจะต้องรีบสอบถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้อีกสองสามเรื่อง

 

“นั่นเป็นตำนานเรื่องเล่า..”เฉินไห่คุนเริ่มมีอาการคล้ายจะหมดสติ

 

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อว่า“พ่อของข้าไม่อยู่ในตระกูลเฉินจริงๆงั้นรึ!”

 

น้ำเสียงของเฉินไห่คุนเริ่มเบาลงเรื่อยๆ“อาจเป็นตระกูลหลง ตระกูลเย่ หรือไม่ก็ตระกูลซันที่จับตัวเขาไป แต่ตระกูลเฉินไม่ได้จับตัวเขาไปอย่างแน่นอน!”

 

ดังคำพูดว่า..คนใกล้ตายมักไม่พูดโกหก อีกทั้งเวลานี้สติของเฉินไห่คุนก็ไม่สมประกอบ คำพูดที่ออกมาจึงน่าจะเป็นความจริง หลิงหยุนจึงรีบถามต่อว่า

 

“แล้วตอนนี้เกาเฉินเฉินอยู่ที่ใหน”

 

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้..น้องสองของข้านั้นไม่เพียงโหดเหี้ยมกว่าพ่อของข้ามาก แต่ยังควบคุมทุกอย่างของตระกูลเฉินไว้ในมือ นอกจากเฉินเจี้ยนกุ่ยแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกาเฉินเฉินถูกนำตัวไปซ่อนไว้ที่ใหน”

 

“หลิงหยุน..ข้าขอเตือนเจ้า! เจ้าอย่าได้คิดว่าตนเองนั้นเก่งกาจที่สุดบนโลกใบนี้ แทบไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลงกับตระกูลเย่ เพราะเพียงแค่ตระกูลเฉินของข้า ก็ยังมีอย่างน้อยอีกสามคนที่จะสามารถฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดาย และพวกเขาจะต้องแก้แค้นแทนข้าอย่างแน่นอน..”

 

เสียงของเฉินไห่คุนอ่อนลงเรื่อยๆและยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค มันก็สิ้นใจตายไปทันที

 

หลิงหยุนจ้องมองร่างไร้วิญญาณของเฉินไห่คุนด้วยความรู้สึกเกลียดชังเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบยันต์เตโชออกมาสองใบแปะไว้ที่ร่างไร้วิญญาณของมัน และหลังจากที่ร้องสั่งยันต์ให้ออกฤทธิ์ ร่างของเฉินไห่คุนก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที

 

หลิงเสี่ยวไม่ได้ถูกคนตระกูลเฉินจับตัวไปส่วนที่ซ่อนของเกาเฉินเฉินนั้นก็มีเพียงเฉินเจี้ยนกุ่ยเท่านั้นที่รู้ และในตระกูลเฉินก็ยังมียอดฝีมืออีกสามคนที่จะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย..

 

และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนคาดคั้นมาได้จากเฉินไห่คุนและข่าวทั้งสามนี้หลิงหยุนค่อนข้างเชื่อถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นความจริง

 

นั่นเพราะหากหลิงเสี่ยวถูกตระกูลเฉินจับตัวไปจริงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจับเขาขังแยกคนละที่กับหลิงเย่ว เพราะการขังแยกกันนั้นไม่เพียงสร้างปัญหาให้กับการเฝ้าระวัง แต่ยังไม่สามารถทำให้ตระกูลเฉินต่อรองกับพวกเขาทั้งคู่ได้สะดวกนัก

 

จึงมีเหตุผลที่น่าจะเชื่อได้!เพราะตระกูลเฉินต้องการให้ตระกูลหลิงสนับสนุนตนเอง หากพวกเขาจับตัวคนทั้งคู่ไปขังไว้ด้วยกัน การพูดจาต่อรองของทั้งสองฝ่ายก็ย่อมทำได้ง่ายและสะดวกมากกว่า

 

ยิ่งไปกว่านั้น..สำหรับหลิงเสี่ยวในเวลานี้ เขาแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลเฉินด้วยซ้ำไป

 

ส่วนเกาเฉินเฉินนั้นด้วยอุปนิสัยของเฉินเจี้ยนกุ่ย หลิงหยุนเชื่อว่าคำพูดของเฉินไห่คุนน่าจะเป็นไปได้อย่างมาก และเวลานี้เฉินเจี้ยนกุ่ยเองก็คงเฝ้าเกาเฉินเฉินไม่ต่างจากสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เพราะตราบใดที่มันสามารถดูดเลือดของเกาเฉินเฉินได้ มันก็จะสามารถพัฒนาร่างได้อย่างรวดเร็ว และไม่แน่ว่าอาจสามารถเข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคได้เลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลนี้เป็นไปได้ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะต้องซ่อนนางไว้ในสถานที่ลับสุดยอด ที่ที่แม้แต่พ่อของมันเองก็ไม่รู้

 

“ข้ายังคงต้องเชื่อพันลี้ล่าวิญญาณของตนเองสินะ..”

 

หลิงหยุนลุกขึ้นยืมพึมพำพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วจึงกระโดดออกจากห้องขังไป

 

หลิงหยุนนึกถึงคำพูดของเฉินไห่คุนที่ว่า..อย่างน้อยสามคนในตระกูลเฉินก็สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย หลิงหยุนแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน และได้แต่คิดว่าการที่เฉินไห่คุนพูดเช่นนั้นก็เพราะประเมินความสามารถของเขาจากการสังหารนินจาขั้นเซียงเทียน-7

 

แต่ถึงกระนั้นเฉินไห่คุนก็ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิงหยุน!

 

ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากกำลังภายในที่แข็งแกร่งของหลิงหยุน เขาก็ยังมีวิชาที่น่ากลัวอย่างวิชาพลังมังกรซึ่งสามารถเพิ่มกำลังภายในของตนเองขึ้นได้ถึงสิบเท่าทันที หลิงหยุนจึงประเมินว่าคงจะมีน้อยคนนักที่จะสามารถเอาชนะตัวเขาได้!

 

อีกทั้งหลิงหยุนยังมีวิชาโจมตีที่น่ากลัวอย่างวิชาพลังลับหยิน-หยางและหากเขาเพิ่มขีดความสามารถของมันขึ้นเป็นสิบเท่าแล้วล่ะก็..

 

หลิงหยุนจึงไม่สนใจเรื่องความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินอีกแต่เรื่องที่หลิงหยุนเป็นกังวลอย่างมากก็คือเรื่องของพู่กันและสมุดจักรพรรดิ เพราะนี่คือความลับสุดยอดของเขา แต่กลับดูเหมือนว่าความลับข้อนี้ นิกายลับแทบจะทุกสำนักต่างก็รู้หมดแล้ว และนั่นทำให้หลิงหยุนค่อนข้างเป็นกังวลอย่างมาก

 

เวลานี้ยังไม่มีใครรู้ว่าสมุดและพู่กันจักรพรรดิอยู่ในตัวของหลิงหยุนและหากเรื่องนี้เกิดแพร่งพรายออกไป เขาไม่ต้องหนีงั้นรึ เพราะถึงตอนนั้นจอมยุทธทั่วหล้าคงจะตามไล่ล่าตัวเขาอย่างแน่นอน!

 

แต่เวลานี้เรื่องที่หลิงหยุนต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือหาตัวเกาเฉินเฉินให้พบและช่วยเธอออกมาโดยเร็วที่สุด!

 

“ดูท่าข้าคงต้องเข้าสู่ขั้นพลังชี่ให้ได้เร็วที่สุด!”หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตนเองระหว่างที่เดินตรงไปยังห้องขังของยามาดะ

 

สภาพของยามาดะเองก็ไม่ต่างจากมิตซุยที่ถูกหลิงหยุนตัดแขนทิ้งและเวลานี้ยามาดะก็กำลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพร้อมกับเลือดที่หยดเต็มพื้นไปหมด

 

หลิงหยุนส่งลมปราณผ่านนิ้วของตนเองไปจัดการคลายจุดให้กับยามาดะหลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“ข้าไว้ชีวิตเจ้าเพราะต้องการถามเจ้าสองสามเรื่อง..”

 

“ไม่ว่าเจ้าจะตอบหรือไม่ตอบจุดจบของเจ้าก็คือความตาย! เพียงแต่การตายของเจ้าจะแตกต่างกันเท่านั้นเอง!”

 

“ช่างไร้ยางอายนัก..เจ้าไม่จำเป็นต้องพร่ามไร้สาระ..” ยามาดะดิ้นขลุกขลักอยู่ที่พื้นพร้อมกับกัดฟันตอบหลิงหยุน

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ข้าก็คือผู้ชนะ! นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่เจ้าเข้ามาเมืองจีนทำลายตระกูลหลิงของข้าเช่นนี้ เจ้าไม่ไร้ยางอายกว่าข้าหรอกรึ”

 

หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วจึงถามขึ้นว่า “ข้าต้องการรู้ว่าตระกูลโทคุงาวะมีนินจาอยู่ทั้งหมดกี่คน และเจ้ารู้เรื่องใดเกี่ยวกับตระกูลโทคุงาวะก็บอกข้ามาให้หมด!”

 

นับว่าเกินความคาดหมายของหลิงหยุนเพราะยามาดะกลับยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างง่ายดาย!

 

หลิงหยุนสังเกตเห็นว่ายามาดะเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยความภาคภูมิใจ..

 

และนี่คือความแตกต่างระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวจีนคนจีนมักจะถ่อมตัวจนเกินไป แต่คนญี่ปุ่นกลับมักชอบอวดอ้างว่าตนเองนั้นเก่งกาจ และมักจะพูดถึงพลังอำนาจของตนเองอย่างภูมิอกภูมิใจ

 

จากคำบอกเล่าของยามาดะนั้นหลิงหยุนจับใจความได้ว่าเหล่านินจาที่เก่งกาจที่สุดนั้นจะเรียกกันว่า ‘คาเงะ’ และตระกูลโทคุงาวะก็มีนินจาระดับคาเงะอยู่หลายคนมาก แม้กระทั่งนินจาที่ลึกลับที่สุดและเก่งกาจที่สุดที่เรียกว่า ‘เทพคาเงะ’ นั้นก็มี และแม้แต่ยามาดะเองก็ไม่สามารถบรรยายความเก่งกาจของนินจาขั้นเทพคาเงะออกมาได้

 

นินจาจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ..อิงะกับโคงะ และวิชานินจิทสุซึ่งเป็นวิชานินจาขั้นสูงนั้นก็สามารถแบ่งออกเป็นนินจิทสุ – คือการร่ายคาถา และไทจิทสุ – คือกระบวนท่าการต่อสู้ อีกทั้งเหล่านินจายังแบ่งออกเป็นห้าธาตุคือธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดิน..

 

ทั้งยามาดะและมิตซุยต่างก็อยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-7ทั้งสองคน จึงนับว่าเป็นนินจาระดับปลายแถวของขั้นชุนนิน และหากนินจาคนใดที่ยังไม่เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน ก็จะเรียกว่าเกะนิน!

 

และเหนือกว่าขั้นชุนนินก็คือโจนินเหนือกว่าโจนินก็คือคาเงะ และเหนือกว่าคาเงะก็คือเทพคาเงะ

 

“ตามกฎของนินจาแล้วข้าต้องไม่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับเหล่าจอมยุทธชาวจีนได้ล่วงรู้ แต่เจ้านั้นไม่นับว่าเป็นจอมยุทธชาวจีน เพราะมีวิชาบ่มเพาะพลังที่ลึกลับและแปลกประหลาด และถึงแม้ข้าจะไม่บอกเจ้า เจ้าก็ต้องหาวิธีล่วงรู้จนได้ ข้าจึงเลือกที่จะเล่าให้เจ้าฟังอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า!”

 

“ที่ข้าทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวต่อความตาย หรือการทรมาน แต่ข้าเพื่อรักษาเกียรติของเหล่านินจาต่างหาก!”

 

“ในบรรดาผู้บ่มเพาะชาวจีนข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นผู้ทีทรงพลังอย่างมาก แต่เจ้ายังไม่เคยพบกับนินจาขั้นโจนิน และเคงะ หากเจ้าได้พบ เจ้าจะได้รู้และเข้าใจวิชานินจิทสุที่แท้จริงว่าเป็นเช่นใด!”

 

หลังจากพูดจบยามาดะก็กัดอะไรบางอย่างในปาก และเพียงแค่สามวินาทีร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนของมันก็ล้มลงกับพื้นขาดใจตายทันที!

 

หลิงหยุนใช้เนตรหยิน-หยางสำรวจดูจึงพบว่าเป็นยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของยามาดะและดูเหมือนจะเป็นยาพิษขั้นรุนแรงเสียด้วย

 

“น่าเสียดายที่เจ้าตายไปเสียก่อน!เจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องความแข็งแกร่งของตระกูลโทคุงงาวะให้ข้าได้ล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย!”